หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ เล่ม ๒ – หน้าที่ 711 (เล่ม 4)

ทรงสอบถาม
พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงสอบถามภิกษุรูปนั้นว่า ดูก่อนภิกษุ ข่าวว่า
เธอชักชวนแล้วเดินทางไกลสายเดียวกับมาตุคาม จริงหรือ.
ภิกษุรูปนั้นทูลรับ ว่า จริง พระพุทธเจ้าข้า.
ทรงติเตียนแล้วบัญญัติสิกขาบท
พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าทรงติเตียนว่า ดูก่อนโมฆบุรุษ ไฉนเธอจึง
ได้ชักชวนแล้วเดินทางไกลสายเดียวกับมาตุคามเล่า การกระทำของพวกเธอนั่น
ไม่เป็นไปเพื่อความเลื่อมใสของชุมชนที่ยังไม่เลื่อมใส หรือเพื่อความเลื่อมใสยิ่ง
ของชุมชนที่เลื่อมใสแล้ว . . .
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็แลพวกเธอพึงยกสิกขาบทนี้ขึ้นแสดงอย่างนี้
ว่าดังนี้:-
พระบัญญัติ
๑๑๖. ๗. อนึ่ง ภิกษุใด ชักชวนแล้ว เดินทางไกลสายเดียว
กันกับมาตุคาม โดยที่สุดแม้สิ้นระยะบ้านหนึ่ง เป็นปาจิตตีย์.
เรื่องภิกษุรูปหนึ่ง จบ
สิกขาบทวิภังค์
[๖๕๙] บทว่า อนึ่ง. . . ใด ความว่า ผู้ใด คือ ผู้เช่นใด. . .
บทว่า ภิกษุ ความว่า ที่ชื่อว่า ภิกษุ เพราะอรรถว่าเป็นผู้ขอ . . .
นี้ชื่อว่า ภิกษุ ที่ทรงประสงค์ในอรรถนี้.
ที่ชื่อว่า มาตุคาม ได้แก่หญิงมนุษย์ มิใช่หญิงยักษ์ มิใช่หญิงเปรต
มิใช่สัตว์ดิรัจฉานตัวเมีย เป็นสตรีผู้รู้เดียงสา สามารถทราบซึ้งถึงถ้อยคำเป็น
สุภาษิตทุพภาษิต วาจาชั่วหยาบและสุภาพ.

711
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ เล่ม ๒ – หน้าที่ 712 (เล่ม 4)

บทว่า กับ คือร่วมกัน.
บทว่า ชักชวนแล้ว คือ ชักชวนว่า เราไปกันเถิดจ้ะ เราไปกัน
เถิดค่ะ เราไปกันเถิดพระคุณเจ้า เราไปกันเถิดน้องหญิง เราไปกันวันนี้
ไปกันพรุ่งนี้ หรือไปกันมะรืนนี้ ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติทุกกฏ.
บทว่า โดยที่สุดแม้สิ้นระยะบ้านหนึ่ง ความว่า ในตำบลบ้าน
กำหนดชั่วไก่บินถึง ต้องอาบัติปาจิตตีย์ ทุก ๆ ระยะบ้าน ในป่าหาบ้านมิได้
ต้องอาบัติปาจิตตีย์ ทุก ๆ ระยะกึ่งโยชน์.
บทภาชนีย์
ติกปาจิตตีย์
[๖๖๐] มาตุคาม ภิกษุสำคัญว่ามาตุคาม ชักชวนกันแล้วเดินทางไกล
สายเดียวกัน โดยที่สุดแม้สิ้นระยะบ้านหนึ่ง ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
มาตุคาม ภิกษุสงสัย ชักชวนแล้ว เดินทางไกลสายเดียวกัน โดย
ที่สุดแม้สิ้นระยะบ้านหนึ่ง ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
มาตุคาม ภิกษุสำคัญว่าไม่ใช่มาตุคาม ชักชวนแล้ว เดินทางไกล
สายเดียวกัน โดยที่สุดแม้สิ้นระยะบ้านหนึ่ง ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
จตุกทุกกฏ
ภิกษุชักชวน มาตุคามมิได้ชักชวน. . .ต้องอาบัติทุกกฏ.
ภิกษุชักชวนแล้วเดินทางไกลสายเดียวกันกับหญิงยักษ์ หญิงเปรต
บัณเฑาะก์ หรือสัตว์ดิรัจฉานตัวเมียมีกายคล้ายมนุษย์ โดยที่สุดแม้สิ้นระยะ
บ้านหนึ่ง ต้องอาบัติทุกกฏ.

712
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ เล่ม ๒ – หน้าที่ 713 (เล่ม 4)

ไม่ใช่มาตุคาม ภิกษุสำคัญว่ามาตุคาม .. .ต้องอาบัติทุกกฏ.
ไม่ใช่มาตุคาม ภิกษุสงสัย. . .ต้องอาบัติทุกกฏ.
ไม่ใช่มาตุคาม ภิกษุสำคัญว่าไม่ใช่มาตุคาม. . .ไม่ต้องอาบัติ.
อนาปัตติวาร
[๖๖๑] ภิกษุไม่ได้ชักชวนกันไป ๑ มาตุคามชักชวน ภิกษุไม่ได้
ชักชวน ๑ ภิกษุไปผิดวันผิดเวลา ๑ มีอันตราย ๑ ภิกษุวิกลจริต ๑ ภิกษุ
อาทิกัมมิกะ ๑ ไม่ต้องอาบัติแล.
สัปปาณกวรรค สิกขาบทที่ ๗ จบ
สังวิธานสิกขาบทที่ ๗
ในสิกขาบทที่ ๗ มีวินิจฉัยดังนี้:-
สองบทว่า ปธูเปนฺโต นิสีทิ มีความว่า ภิกษุนั้นนั่งพ้อ หรือ
ตำหนิตนเองอยู่.
ข้อว่า นายฺโย โส ภิกฺขุ มํ นิปฺปาเทสิ มีความว่า แน่ะนาย !
ภิกษุนี้มิได้ให้ฉันออกไป คือ มิได้พาฉันไป. คำที่เหลือในสิกขาบทนี้พร้อม
กับสมุฏฐานเป็นต้น บัณฑิตพึงทราบโดยนัยดังกล่าวแล้ว ในสิกขาบทว่าด้วย
การชักชวนเดินทางร่วมกันกับนางภิกษุณีนั่นแล.
สังวิธาน สิกขาบทที่ ๗ จบ

713
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ เล่ม ๒ – หน้าที่ 714 (เล่ม 4)

สัปปาณกวรรค สิกขาบทที่ ๘
เรื่องพระอริฏฐะ มิจฉาทิฏฐิ
[๖๖๒] โดยสมัยนั้น พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าประทับอยู่ ณ พระ-
เชตวัน อารามของอนาถบิณฑิกคหบดี เขตพระนครสาวัตถี ครั้งนั้น พระ
อริฏฐะผู้เกิดในตระกูลพรานแร้ง มีทิฏฐิทรามเห็นปานนี้เกิดขึ้นว่า เรารู้ทั่วถึง
ธรรมที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงแล้วดังข้อที่ตรัสธรรมเหล่าใดว่า ธรรม
เหล่านี้เป็นธรรมทำอันตราย ธรรมเหล่านั้นหาอาจทำอันตรายแก่ผู้เสพได้จริง
ไม่ ภิกษุหลายรูปได้ทราบข่าวว่า พระอริฏฐะผู้เกิดในตระกูลพรานแร้ง มีทิฏฐิ
ทรามเห็นปานนี้เกิดขึ้นว่า เรารู้ทั่วถึงธรรมที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงแล้ว
ดังข้อที่ตรัสธรรมเหล่าใดว่า ธรรมเหล่านี้เป็นธรรมทำอันตราย ธรรมเหล่านั้น
หาอาจทำอันตรายแก่ผู้เสพได้จริงไม่ แล้วพากันเข้าไปหาพระอริฏฐะผู้เกิดใน
ตระกูลพรานแร้งถามว่า อาวุโสอริฎฐะ ข่าวว่า ท่านมีทิฏฐิทรามเห็นปานนี้เกิด
ขึ้นว่า ข้าพเจ้ารู้ทั่วถึงธรรมที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงแล้ว ดังข้อที่ตรัส
ธรรมเหล่าใดว่า ธรรมเหล่านี้เป็นธรรมทำอันตราย ธรรมเหล่านั้นหาอาจทำ
อันตรายแก่ผู้เสพได้จริงไม่ ดังนี้ จริงหรือ.
อ. จริงอย่างว่านั้นแล อาวุโสทั้งหลาย ผมรู้ทั่วถึงธรรมที่พระผู้มี-
พระภาคเจ้าทรงแสดงแล้ว ดังข้อที่ตรัสว่าเป็นธรรมทำอันตราย ธรรมเหล่านั้น
หาอาจทำอันตรายแก่ผู้เสพได้จริงไม่.
ภิ. อาวุโสอริฏฐะ ท่านอย่าได้ว่าอย่างนั้น ท่านอย่าได้กล่าวตู่พระ-
ผู้มีพระภาคเจ้า การกล่าวตู่พระผู้มีพระภาคเจ้าไม่ดีแน่ พระผู้มีพระภาคเจ้า
ไม่ได้ตรัสอย่างนั้นเลย ธรรมอันทำอันตรายพระผู้มีพระภาคเจ้า ตรัสไว้โดย

714
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ เล่ม ๒ – หน้าที่ 715 (เล่ม 4)

บรรยายเป็นทำอันมาก ก็แลธรรมเหล่านั้น อาจทำอันตรายแก่ผู้เสพได้จริง
กามทั้งหลายพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า มีความยินดีน้อย มีทุกข์มาก มีความ
คับแค้นมาก โทษในกามทั้งหลายนี้มากยิ่งนัก กามทั้งหลายพระผู้มีพระภาคเจ้า
ตรัสว่า เปรียบเหมือนร่างกระดูก มีทุกข์มาก มีความคับแค้นมาก โทษใน
กามทั้งหลายนี้มากยิ่งนัก กามทั้งหลายพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า เปรียบเหมือน
ร่างกระดูก กามทั้งหลายพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า เปรียบเหมือนชิ้นเนื้อ . . .
กามทั้งหลายพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า เปรียบเหมือนคบหญ้า . . . กามทั้งหลาย
พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า เปรียบเหมือนหลุมถ่านเพลิง . . . กามทั้งหลาย
พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า เปรียบเหมือนความฝัน. . . กามทั้งหลาย
พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า เปรียบเหมือนของยืม . . . กามทั้งหลายพระผู้มี-
พระภาคเจ้าตรัสว่า เปรียบเหมือนผลไม้ . . . กามทั้งหลายพระผู้มีพระภาคเจ้า
ตรัสว่า เปรียบเหมือนเขียงสำหรับสับเนื้อ . . . กามทั้งหลายพระผู้มีพระภาคเจ้า
ตรัสว่า เปรียบเหมือนแหลนหลาว . . . กามทั้งหลายพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า
เปรียบเหมือนศีรษะงู มีทุกข์มาก มีความคับแค้นมาก โทษในการทั้งหลาย
นี้มากยิ่งนัก.
พระอริฎฐะผู้เกิดในตระกูลพรานแร้ง แม้อันภิกษุเหล่านั้น ว่ากล่าวอยู่
อย่างนี้ก็ยังยึดถือทิฎฐิเห็นปานนั้นอยู่ ด้วยความยึดมั่นอย่างเดิม ซ้ำยังกล่าว
ยืนยันว่า ผมกล่าวอย่างนั้นจริง อาวุโสทั้งหลาย ผมรู้ทั่วถึงธรรมที่พระผู้มี-
พระภาคเจ้าทรงแสดงแล้ว ดังข้อที่ตรัสธรรมเหล่าใดว่า ธรรมเหล่านี้เป็นธรรม
ทำอันตราย ธรรมเหล่านั้นหาอาจทำอันตรายแก่ผู้เสพได้จริงไม่ ดังนี้ .
เมื่อภิกษุเหล่านั้น ไม่อาจเปลื้องของพระอริฏฐะผู้เกิดในตระกูลพรานแร้ง
จากทิฏฐิอันทรามนั้นได้ จึงพากันเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้า กราบทูลเรื่อง
นั้นให้ทรงทราบ.

715
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ เล่ม ๒ – หน้าที่ 716 (เล่ม 4)

ประชุมสงฆ์ทรงบัญญัติสิกขาบท
ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้ารับสั่งให้ประชุมภิกษุสงฆ์ ในเพราะเหตุ
เป็นเค้ามูลนั้น ในเพราะเหตุแรกเกิดนั้น แล้วทรงสอบถามพระอริฏฐะผู้เกิด
ในตระกูลพรานแร้งว่า ดูก่อนอริฏฐะ ข่าวว่า เธอมีทิฏฐิทรามเห็นปานนี้เกิด
ขึ้นว่า เรารู้ตัวถึงธรรมที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงแล้ว ดังข้อที่ตรัสธรรม
เหล่าใดว่า ธรรมเหล่านี้เป็นธรรมทำอันตราย ธรรมเหล่านั้นหาอาจทำอันตราย
แก่ผู้เสพได้จริงไม่ จริงหรือ.
พระอริฎฐะทูลรับว่า เป็นจริงดังรับสั่ง พระพุทธเจ้าข้า ข้าพระ-
พุทธเจ้ารู้ทั่วถึงธรรมที่พระองค์ทรงแสดงแล้วดังข้อที่ตรัสว่า เป็นธรรมทำ
อันตรายได้อย่างไร ธรรมเหล่านั้นหาอาจทำอันตรายแก่ผู้เสพได้จริงไม่.
พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า ดูก่อนโมฆบุรุษ เพราะเหตุไรเธอจึงเข้าใจ
ธรรมที่เราแสดงแล้วอย่างนั้นเล่า ธรรมอันทำอันตราย เรากล่าวไว้โดยบรรยาย
เป็นอันมากมิใช่หรือ และธรรมเหล่านั้นอาจทำอันตรายแก่ผู้เสพได้จริง กาม
ทั้งหลายเรากล่าวว่ามีความยินดีน้อย มีทุกข์มาก มีความคับแค้นมาก โทษ
ในกามทั้งหลายนี้มากยิ่งนัก กามทั้งหลายเรากล่าวว่าเปรียบเหมือนร่างกระดูก...
กามทั้งหลายเรากล่าวว่าเปรียบเหมือนชิ้นเนื้อ . . . กามทั้งหลายเรากล่าวว่า
เปรียบเหมือนคบหญ้า . . . กามทั้งหลายเรากล่าวว่าเปรียบเหมือนหลุมถ่านเพลิง
. . . กามทั้งหลายเรากล่าวว่าเปรียบเหมือนความฝัน. . . กามทั้งหลายเรากล่าว
ว่าเปรียบเหมือนของยืม . . . กามทั้งหลายเรากล่าวว่าเปรียบเหมือนผลไม้ . .
กามทั้งหลายเรากล่าวว่าเปรียบเหมือนเขียงสำหรับสับเนื้อ . . . กามทั้งหลายเรา
กล่าวว่าเปรียบเหมือนแหลนหลาว . . . กามทั้งหลายเรากล่าวว่าเปรียบเหมือน
ศีรษะงู มีทุกข์มาก มีความคับแค้นมาก โทษในกามทั้งหลายนี้มากยิ่งนัก

716
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ เล่ม ๒ – หน้าที่ 717 (เล่ม 4)

เมื่อเป็นเช่นนั้น เธอชื่อว่ากล่าวตู่เราด้วยติฎฐิที่ตนยึดถือไว้ผิด ชื่อว่าทำลาย
ตนเอง และชื่อว่าประสบบาปมิใช่บุญเป็นอย่างมาก เพราะข้อนั้นแหละ จัก
เป็นไปเพื่อผลไม่เป็นประโยชน์เกื้อกูล เพื่อผลเป็นทุกข์แก่เธอตลอดกาลนาน
การกระทำของเธอนั่น ไม่เป็นไปเพื่อความเลื่อมใสของชุมชนที่ยังไม่เลื่อมใส
หรือเพื่อความเลื่อมใสยิ่งของชุมชนที่เลื่อมใสแล้ว . . .
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็แลพวกเธอพึงยกสิกขาบทนี้ ขึ้นแสดงอย่างนี้
ว่าดังนี้:-
พระบัญญัติ
๑๑๗. ๘. อนึ่ง ภิกษุใด กล่าวอย่างนี้ว่า ข้าพเจ้ารู้ทั่วถึงธรรม
ที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงแล้ว โดยประการว่าเป็นธรรมทำ
อันตรายได้อย่างไร ธรรมเหล่านั้นหาอาจทำอันตรายแก่ผู้เสพได้จริง
ไม่ ภิกษุนั้นอันภิกษุทั้งหลายพึงว่ากล่าวอย่างนี้ว่า ท่านอย่าได้พูด
อย่างนั้น ท่านอย่าได้กล่าวตู่พระผู้มีพระภาคเจ้า การกล่าวตู่พระผู้มี-
พระภาคเจ้าไม่ดีดอก พระผู้มีพระภาคเจ้าไม่ได้ตรัสอย่างนั้นเลย
แน่ะเธอ พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสธรรมทำอันตรายไว้โดยบรรยาย
เป็นอันมาก ก็แลธรรมเหล่านั้น อาจทำอันตรายแก่ผู้เสพได้จริง
แลภิกษุทั้งหลายว่ากล่าวอยู่อย่างนั้น ขืนถืออยู่อย่างนั้นแล ภิกษุนั้น
อันภิกษุทั้งหลายพึงสวดประกาศห้ามจนหนที่ ๓ เพื่อสละการนั้นเสีย
ถ้าเธอถูกสวดประกาศห้ามอยู่จนทนที่ ๓ สละการนั้นเสียได้ การ
สละได้ดั่งนี้ นั่นเป็นการดี ถ้าไม่สละ เป็นปาจิตตีย์.
เรื่องพระอริฏฐะ มิจฉาทิฏฐิ จบ

717
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ เล่ม ๒ – หน้าที่ 718 (เล่ม 4)

สิกขาบทวิภังค์
[๖๖๓] บทว่า อนึ่ง. . .ใด ความว่า ผู้ใด คือ ผู้เช่นใด . . .
บทว่า ภิกษุ ความว่า ที่ชื่อว่า ภิกษุ เพราะอรรถว่าเป็นผู้ขอ. . .นี้
ชื่อว่า ภิกษุ ที่ทรงประสงค์ในอรรถนี้.
บทว่า กล่าวอย่างนี้ ความว่า พูดอย่างนี้ว่า ข้าพเจ้ารู้ทั่วถึงธรรม
ที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงแล้ว โดยประการที่ตรัสว่าเป็นธรรมทำอันตราย
ธรรมเหล่านั้นหาอาจทำอันตรายแก่ผู้เสพได้จริงไม่.
[๖๖๔] บทว่า ภิกษุนั้น ได้แก่ ภิกษุผู้ที่พูดอย่างนี้ .
บทว่า อันภิกษุทั้งหลาย ได้แก่ ภิกษุพวกอื่น คือ ภิกษุพวกที่
ได้เห็น ที่ได้ยินเหล่านั้น พึงว่ากล่าวว่า ท่านอย่าได้พูดอย่างนั้น ท่านอย่าได้
กล่าวตู่พระผู้มีพระภาคเจ้า การกล่าวตู่พระผู้มีพระภาคเจ้าไม่ดีแน่ พระผู้มี-
พระภาคเจ้าไม่ได้ตรัสอย่างนั้นเลย แน่ะเธอ พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสธรรม
อันทำอันตรายไว้โดยบรรยายเป็นอันมาก ก็แลธรรมเหล่านั้นอาจทำอันตราย
แก่ผู้เสพได้จริง พึงว่ากล่าวแม้ครั้งที่ ๒ พึงว่ากล่าวแม้ครั้งที่ ๓ ถ้าเธอสละ
ได้ การสละได้ดังนี้ นั่นเป็นการดี ถ้าเธอสละไม่ได้ ต้องอาบัติทุกกฏ ภิกษุ
ทั้งหลายทราบเรื่องแล้ว ไม่ว่ากล่าวต้องอาบัติทุกกฏ ภิกษุทั้งหลายพึงคุมตัว
ภิกษุนั้นมา ณ ที่ท่ามกลางสงฆ์ แล้วพึงว่ากล่าวว่า ท่านอย่าได้พูดอย่างนั้น
ท่านอย่าได้กล่าวตู่พระผู้มีพระภาคเจ้า การกล่าวตู่พระผู้มีพระภาคเจ้าไม่ดีแน่
พระผู้มีพระภาคเจ้าไม่ได้ตรัสอย่างนั้นเลย แน่ะเธอ พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัส
ธรรมอันทำอันตรายไว้โดยบรรยายเป็นอันมาก ก็แลธรรมเหล่านั้นอาจทำ
อันตรายแก่ผู้เสพได้จริง พึงว่ากล่าวแม้ครั้งที่ ๒ พึงว่ากล่าวแม้ครั้งที่ ๓ ถ้า
เธอสละได้ การสละได้ดังนี้ นั่นเป็นการดี ถ้าไม่สละ ต้องอาบัติทุกกฏ.

718
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ เล่ม ๒ – หน้าที่ 719 (เล่ม 4)

[๖๖๕] ภิกษุนั้นอันภิกษุทั้งหลายพึงสวดประกาศห้าม ดูก่อนภิกษุ
ทั้งหลายพึงสวดประกาศห้าม ดูก่อนภิกษุทั้งหลายก็แลพึงสวดประกาศห้าม
อย่างนี้:-
ภิกษุผู้ฉลาด ผู้สามารถ พึงประกาศให้สงฆ์ทราบด้วยญัตติจตุตถกรรม
วาจา ว่าดังนี้:-
กรรมวาจาสมนุภาส
ท่านเจ้าข้า ขอสงฆ์จงพึงข้าพเจ้า ทิฏฐิอันเป็นบาปมีอย่างนี้
เป็นรูป บังเกิดแก่ภิกษุมีชื่อนี้ว่า เรารู้ทั่วถึงธรรมที่พระผู้มีพระภาค-
เจ้าทรงแสดงแล้ว โดยประการที่ตรัสว่าเป็นธรรมทำอันตราย ธรรม-
เหล่านี้หาอาจทำอันตรายแก่ผู้เสพได้ไม่ ภิกษุนั้นไม่สละทิฏฐินั้น
ถ้าความพร้อมพรั่งของสงฆ์ถึงที่แล้ว สงฆ์พึงสวดประกาศห้ามภิกษุ
มีชื่อนี้เพื่อละทิฏฐินั้น นี่เป็นญัตติ.
ท่านเจ้าข้า ขอสงฆ์จงฟังข้าพเจ้า ทิฏฐิอันเป็นบาปมีอย่างนี้
เป็นรูป บังเกิดแก่ภิกษุมีชื่อนี้ว่า เรารู้ทั่วถึงธรรมที่พระผู้มีพระภาค
เจ้าทรงแสดงแล้ว โดยประการที่ตรัสว่าเป็นธรรมทำอันตราย ธรรม
เหล่านั้นหาอาจทำอันตรายแก่ผู้เสพได้ไม่ เธอไม่สละทิฏฐินั้น สงฆ์
สวดประกาศห้ามภิกษุมีชื่อนี้ เพื่อสละทิฏฐินั้น การสวดประกาศ
ห้ามภิกษุมีชื่อนี้ เพื่อสละทิฏฐินั้น ชอบแก่ท่านผู้ใด ท่านผู้นั้นพึง
เป็นผู้นิ่ง ไม่ชอบแก่ท่านผู้ใด ท่านผู้นั้นพึงพูด.
ข้าพเจ้ากล่าวความนี้แม้ครั้งที่ ๒ . . .
ข้าพเจ้ากล่าวความนี้ครั้งที่ ๓...

719
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ เล่ม ๒ – หน้าที่ 720 (เล่ม 4)

ภิกษุมีชื่อนี้ อันสงฆ์สวดประกาศห้ามแล้ว เพื่อสละทิฏฐิ
นั้นชอบแก่สงฆ์ เหตุนั้นจึงนิ่ง ข้าพเจ้าทรงความนี้ไว้ ด้วยอย่างนี้.
บทภาชนีย์
[๖๖๖] จบญัตติ ต้องอาบัติทุกกฏ. จบกรรมวาจา ๒ ครั้ง ต้อง
อาบัติทุกกฏ ๒ ตัว จบกรรมวาจาครั้งสุด ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
ติกปาจิตตีย์
[๖๖๗] กรรมเป็นธรรม ภิกษุสำคัญว่ากรรมเป็นธรรม ไม่ยอม
สละต้องอาบัติปาจิตตีย์.
กรรมเป็นธรรม ภิกษุสงสัย ไม่ยอมสละ ต้องอาบัติปาจิตตีย์
กรรมเป็นธรรม ภิกษุสำคัญว่ากรรมไม่เป็นธรรม ไม่ยอมสละ ต้อง
ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
ติกทุกกฏ
กรรมไม่เป็นธรรม ภิกษุสำคัญว่ากรรมเป็นธรรม ไม่ยอมสละ ต้อง
อาบัติทุกกฏ.
กรรมไม่เป็นธรรม ภิกษุสงสัย ไม่ยอมสละ ต้องอาบัติทุกกฏ.
กรรมไม่เป็นธรรม ภิกษุสำคัญว่ากรรมไม่เป็นธรรม ไม่ยอมสละ
ต้องอาบัติทุกกฏ.
อนาปัตติวาร
[๖๖๘] ภิกษุผู้ไม่สวดประกาศห้าม ๑ ภิกษุผู้ยอมสละ ๑ ภิกษุวิกล -
จริต ๑ ภิกษุอาทิกัมมิกะ ๑ ไม่ต้องอาบัติเเล.
สัปปาณกวรรค สิกขาบทที่ ๘ จบ

720