หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๔ – หน้าที่ 41 (เล่ม 58)

ได้ยินว่า เมื่อภิกษุนั้นมรณภาพไปอย่างนี้แล้ว ภิกษุทั้งหลาย
นั่งสนทนากันถึงโทษมิใช่คุณของภิกษุรูปนั้นในโรงธรรมสภาว่า ผู้มี
อายุทั้งหลาย ภิกษุโน้นไม่รู้ประมาณท้องของตน บริโภคมากเกินไป
ไม่สามารถทำอาหารให้ย่อยถึงมรณภาพ. พระศาสดาเสด็จมาตรัสถาม
ว่า ภิกษุทั้งหลาย บัดนี้ พวกเธอนั่งประชุมสนทนากันด้วยเรื่อง
อะไร ? เมื่อภิกษุเหล่านั้นกราบทูลให้ทรงทราบแล้ว จึงตรัสว่า ภิกษุ
ทั้งหลาย มิใช่ในบัดนี้เท่านั้น แม้ในกาลก่อน ภิกษุนี้ก็ตายเพราะ
บริโภคมากเป็นปัจจัย ดังนี้แล้วจึงทรงนำเอาเรื่องในอดีตมาสาธก
ดังต่อไปนี้.
ในอดีตกาล เมื่อพระเจ้าพรหมทัตครองราชสมบัติในพระนคร
พาราณสี พระโพธิสัตว์บังเกิดในกำเนิดนกแขกเต้าในประเทศหิม-
พานต์ ได้เป็นพระยาของนกแขกเต้าหลายพัน อยู่ในหิมวันตประเทศ
อันเลียบไปตามมหาสมุทร. พระโพธิสัตว์นั้นมีลูกอยู่ตัวหนึ่ง เมื่อ
ลูกนกนั้นเจริญวัย พระโพธิสัตว์ก็มีจักษุทุรพล. ได้ยินว่า นกแขกเต้า
ทั้งหลายมีกำลังบินเร็ว ด้วยเหตุนั้นในเวลานกแขกเต้าเหล่านั้นแก่
ตัวลง จักษุนั่นแลจึงทุรพลไปก่อน ลูกนกแขกเต้าตัวนั้น ให้บิดา
มารดาอยู่เฉพาะในรัง แล้วนำอาหารมาเลี้ยงดู. วันหนึ่ง ลูกนก
แขกเต้านั้นไปยังที่หากินแล้วจับอยู่บนยอดเขา มองดูสมุทรเห็นเกาะๆ
หนึ่ง. ก็ที่เกาะนั้น มีป่ามะม่วง มีผลหวาน มีสีเหมือนทอง. วัน
รุ่งขึ้น ได้เวลาหากิน ลูกนกแขกเต้านั้นบินไปลงที่ป่ามะม่วงนั้น

41
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๔ – หน้าที่ 42 (เล่ม 58)

ดื่มรสมะม่วงแล้วได้คาบเอาผลมะม่วงสุกมาให้บิดามารดา พระโพธิ-
สัตว์กินผลมะม่วงนั้นแล้วจำรสได้จึงกล่าวว่า ลูกเอ๋ย นี้ผลมะม่วงสุก
ในเกาะโน้นมิใช่หรือ เมื่อลูกนกแขกเต้ารับว่าใช้จ้ะพ่อ จึงกล่าวว่า
ลูกเอ๋ย พวกนกแขกเต้าที่ไปยังเกาะนั้น ชื่อว่าจะรักษาอายุให้ยืนยาว
ได้ไม่มีเลย เจ้าอย่าได้ไปยังเกาะนั้นอีกเลย ลูกนกแขกเต้านั้นไม่เชื่อ
คำของพระโพธิสัตว์นั้น คงไปอยู่อย่างนั้น. ครั้นวันหนึ่ง ลูกนก
แขกเต้าดื่มรสมะม่วงเป็นอันมาแล้วคาบเอามะม่วงสุกมาเพื่อบิดา
มารดาเมื่อบินมาถึงกลางมหาสมุทร เพราะบินเร็วเกินไป ร่างกายก็
เหน็จเหนื่อยถูกความง่วงครอบงำ ทั้งที่หลับอยู่ก็ยังบินมาอยู่นั่นแหละ.
ส่วนมะม่วงสุกที่คาบมาด้วยจงอยปากก็หลุดล่วงไป. ลูกนกแขกเต้า
นั้นได้ละทางที่เคยมาเสียโดยลำดับ จึงตกลงในน้ำ เขาลอยมาตาม
พื้นน้ำจึงจมลงในน้ำ. ที่นั้น ปลาตัวหนึ่งคาบลูกนกแขกเต้านั้น
กินเสีย. เมื่อลูกนกแขกเต้านั้นไม่มาตามเวลาที่เคยมา พระโพธิสัตว์
ก็รู้ได้ว่า เห็นจะตกมหาสมุทรตายเสียแล้ว. ครั้งนั้น เมื่อบิดามารดา
ของเขาไม่ได้อาหารจึงซูบผอมตายไป.
พระศาสดาครั้นทรงนำเรื่องในอดีตมาสาธกแล้ว ทรงเป็นผู้
ตรัสรู้พร้อมเฉพาะแล้ว จึงได้ตรัสพระคาถาเหล่านี้ว่า :-
ลูกนกแขกเต้าตัวนั้น รู้ประมาณใน
การบริโภคอยู่เพียงใด ก็ได้สืบอายุ และ
ได้เลี้ยงดูบิดามารดาอยู่เพียงนั้น. อนึ่ง ใน

42
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๔ – หน้าที่ 43 (เล่ม 58)

กาลใด ลูกนกแขกเต้านั้นกลืนกินโภชนะ
มากเกินไป ในกาลนั้น ก็ได้ชื่อว่าไม่รู้จัก
ประมาณในการบริโภค จึงจมลงในมหาสมุทร
นั่นเอง. เพราะฉะนั้น ความเป็นผู้รู้ประมาณ
ความไม่หลงติดในโภชนะเป็นความดี. ด้วย
ว่า บุคคลผู้ไม่รู้จักประมาณ ย่อมจมลงใน
อบายทั้ง ๔ บุคคลผู้รู้จักประมารเท่านั้น
ย่อมไม่จมลงในอบาย ๔.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ยาว โส ความว่า นกนั้นได้รู้
ประมาณในโภชนะอยู่เพียงใด. บทว่า ตาว อทฺธานมาปาทิ
ความว่า ให้ถึงความเป็นอยู่นาน คือได้อายุ ตลอดกาลเพียงนั้น.
บทว่า มาตรญฺจ นี้เป็นเพียงหัวข้อเทศนา. อธิบายว่า ได้เลี้ยงดู
บิดามารดา. บทว่า ยโต จ โข แปลว่า ก็ในกาลใดแล. บทว่า
โภชนํ อชฺฌวาหริ ความว่า กลืนกินรสมะม่วง. บทว่า ตโต
แปลว่า ในกาลนั้น. บทว่า ตตฺเถว สํสีทิ ความว่า จมลง คือ
ดำลงในสมุทรนั้นนั่นแหละ ถึงความเป็นอาหารของปลา. บทว่า
ตสฺมา มตฺตญฺญุตา สาธุ ความว่า เพราะเหตุที่นกแขกเต้าไม่รู้
ประมาณในโภชนะ จึงตกมหาสมุทรตาย เพราะฉะนั้น ความเป็น
ผู้รู้จักประมาณ กล่าวคือความเป็นผู้ไม่ติดในโภชนะเป็นความดี
อธิบายว่า การรู้ประมาณเป็นความดี. อีกอย่างหนึ่งแม้ความเป็นผู้รู้

43
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๔ – หน้าที่ 44 (เล่ม 58)

ประมาณก็เป็นความดี ซึ่งท่านพรรณนาไว้อย่างนี้ว่า ภิกษุพิจารณา
โดยแยบคายแล้วกลืนกินอาหาร มิใช่เพื่อเล่น มิใช่เพื่อมัวเมา ฯลฯ
ด้วยการอยู่อย่างผาสุก และว่า :-
ภิกษุบริโภคของสดหรือของแห้งไม่
ควรให้อิ่มเกินไป เป็นผู้มีท้องพร่อง รู้จัก
ประมาณในอาหาร มีสติพึงงดเว้นเสีย ยังอยู่
๔-๕ คำ ก็จะอิ่ม อย่าบริโภค พึงดื่มน้ำ
แทน เป็นการเพียงพอเพื่อจะอยู่อย่าง
ผาสุก สำหรับภิกษุผู้มีจิตตั้งมั่น. เวทนา
ของภิกษุนั้นผู้เป็นมนุษย์มีสติอยู่ทุกเวลา ผู้
ได้โภชนะแล้วรู้จักประมาณ ย่อมเป็นเวทนา
ที่เบา อาหารที่บริโภคย่อมค่อย ๆ ย่อยไป
เลี้ยงอายุ.
มีความเป็นผู้ไม่ติดก็เป็นความดี ซึ่งท่านพรรณนาไว้อย่าง
นี้ว่า :-
บุคคลไม่ติดรส ย่อมกลืนกินอาหาร
เพื่อต้องการยังอัตภาพให้เป็นไปเหมือน
บริโภคเนื้อบุตรในหนทางกันดาร เหมือนใช้
น้ำมันหยอดเพลารถฉะนั้น.

44
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๔ – หน้าที่ 45 (เล่ม 58)

แต่ในบาลีท่านเขียนว่า อคิทฺธิตา ปาฐะในอรรถกถานี้ไพเราะ
กว่าพระบาลีนั้น. บทว่า อมตฺตญฺญู หิ สีทนฺติ ความว่า ด้วยว่า
บุคคลผู้ไม่รู้จักประมาณในโภชนะ กระทำกรรมอันลามกด้วยอำนาจ
ความอยากในรส ย่อมจมลงในอบายทั้ง ๔. บทว่า มตฺตญฺญูว
น สีทเร ความว่า ส่วนชนเหล่าใดย่อมรู้จักประมาณในโภชนะ
ชนเหล่านั้นย่อมไม่จมลงทั้งในทิฏฐธรรม ทั้งในสัมปรายภพ.
พระศาสดาครั้นทรงนำเอาเรื่องในอดีตมาสาธกแล้ว ทรง
ประกาศอริยสัจ ๔ แล้วประชุมชาดก. ในเวลาจบอริยสัจ ชนเป็น
อันมากได้เป็นพระโสดาบันบ้าง พระสกทาคามีบ้าง พระอนาคามีบ้าง
พระอรหันต์บ้าง. ภิกษุผู้ไม่รู้ประมาณในโภชนะได้เป็นลูกของพระยา
นกแขกเต้าในกาลนั้น ส่วนพระยานกแขกเต้า คือเราตถาคตฉะนี้แล.
จบ อรรถกถาสุกชาดกที่ ๕

45
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๔ – หน้าที่ 46 (เล่ม 58)

๖. ชรูทปานชาดก
ขุดบ่อได้ทรัพย์กลับพินาศเพราะขุดเกิน
[๓๖๗] พ่อค้าทั้งหลายมีความต้องการด้วยน้ำ
พากันขุดบ่อน้ำเก่าได้แร่เหล็ก แร่ทองแดง
ดีบุก ตะกั่ว แก้วมณี เงิน ทอง แก้วมุกดา
และแก้วไพฑูรย์ เป็นอันมาก
[๓๖๘] แต่พวกพ่อค้าเหล่านั้น ไม่ได้ยินดีด้วย
ทรัพย์นั้น ได้พากันขุดให้ลึกยิ่งขึ้น ๆ ในบ่อ
น้ำนั้นมีพระยานาคมีพิษร้ายแรงมีเดช ได้ฆ่า
พวกพ่อค้าเหล่านั้นเสียด้วยเดชแห่งพิษ.
[๓๖๙] เพราะฉะนั้น บุคคลพึงขุดบ่อน้ำเถิดแต่
ไม่ควรขุดให้ลึกเกินไป เพราะว่าบ่อที่ขุดลึก
เกินไปเป็นของลามก ทรัพย์ที่พวกพ่อค้าได้
แล้วด้วยการขุด และชีวิตก็พินาศไปเพราะ
การที่ขุดลึกเกินไป.
จบ ชรูทปานชาดกที่ ๖
อรรถกถาชรูทปานชาดกที่ ๖
พระศาสดาเมื่อประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวัน ทรงปรารภ
พ่อค้าชาวเมืองสาวัตถี จึงตรัสเรื่องนี้ มีคำเริ่มต้นว่า ชรูทปานํ
ขณมานา ดังนี้

46
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๔ – หน้าที่ 47 (เล่ม 58)

ได้ยินว่า พ่อค้าเหล่านั้นซื้อสินค้าในเมืองสาวัตถีบรรทุกเกวียน
ในเวลาจะไปเพื่อต้องการค้าขาย ได้นิมนต์พระตถาคตมาแล้ว ถวาย
มหาทานรับสรณะตั้งอยู่ในศีล ถวายบังคมพระศาสดาแล้วกราบทูลว่า
ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพพระองค์ทั้งหลายจักเดินทางไกลไปค้าขาย
จำหน่ายสินค้าหมดแล้ว สำเร็จเสร็จการไป ได้กลับมาโดยปลอดภัย
จักถวายบังคมพระองค์อีก ครั้นกราบทูลแล้วก็ออกเดินทางไป. พ่อค้า
เหล่านั้น ได้พบบ่อน้ำเก่าในหนทางกันดาร จึงกล่าวกันว่า ในบ่อนี้
ไม่มีน้ำดื่ม และพวกเราก็กระหายน้ำ จักขุดบ่อนั้น ว่าแล้วก็พากัน
ขุดได้เหล็ก โลหะ และแก้วไพฑูรย์โดยลำดับ พ่อค้าเหล่านั้นเป็น
ผู้สันโดษด้วยทรัพย์นั้นเท่านั้น เอารัตนะเหล่านั้นบรรทุกจนเต็ม
เกวียน กลับมาพระนครสาวัตถีโดยปลอดภัย. พ่อค้าเหล่านั้นเก็บ
ทรัพย์ที่ได้มาแล้วคิดกันว่า พวกเราเดินทางสำเร็จเรียบร้อยแล้วจัก
ถวายทาน จึงนิมนต์พระตถาคต ถวายทาน ถวายบังคมแล้วนั่ง ณ
ส่วนข้างหนึ่ง กราบทูลถึงเหตุที่ตนได้ทรัพย์แด่พระศาสดา. พระศาสดา
ตรัสว่า ท่านทั้งหลายแลเป็นอุบาสก สันโดษด้วยทรัพย์นั้น จึงได้
ทรัพย์และชีวิต เพราะความเป็นผู้รู้ประมาณ ส่วนพวกเก่าเป็นผู้ไม่
สันโดษ ไม่รู้จักประมาณ ไม่กระทำตามคำของบัณฑิตทั้งหลาย จึง
ถึงความสิ้นชีวิตไป อันพ่อค้าเหล่านั้นอ้อนวอนอาราธนาแล้ว จึงทรง
นำเอาเรื่องในอดีตมาสาธก ดังต่อไปนี้ :-
ในอดีตกาลเมื่อพระเจ้าพรหมทัตครองราชสมบัติอยู่ในนครพา-

47
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๔ – หน้าที่ 48 (เล่ม 58)

ราณสี พระโพธิสัตว์บังเกิดในตระกูลพ่อค้าในนครพาราณสี พอเจริญ
วัยก็ได้เป็นหัวหน้าพ่อค้าเกวียน พระโพธิสัตว์นั้น ซื้อสินค้าในนคร
พาราณสีบรรทุกเกวียน พาพวกพ่อค้าเป็นอันมากเดินไปทางกันดาร
นั้นเหมือนกัน ได้เห็นบ่อน้ำเหมือนกัน. ณ ที่นั้น พ่อค้าเหล่านั้น
กล่าวกันว่าจักดื่มน้ำ จึงขุดบ่อนั้น ได้ทรัพย์มีแก้วไพฑูรย์เป็นต้น
มากมายโดยลำดับ. พ่อค้าเหล่านั้นได้รัตนะแม้มากมาย ก็ยังไม่สันโดษ
คือยินดีเท่าที่ได้รัตนะนั้น พากันขุดบ่อนั้นหนักยิ่งขึ้นด้วยหมายใจว่า
ในบ่อนี้ จักมีสิ่งแม้อื่นที่ดีกว่ารัตนะแม้นี้. ลำดับนั้น พระโพธิสัตว์
จึงกล่าวกะพ่อค้าเหล่านั้นว่า พ่อค้าทั้งหลายผู้เจริญ ขึ้นชื่อว่าความโลภ
นี้เป็นมูลแห่งความพินาศ พวกท่านให้ทรัพย์มากแล้ว จงสันโดษด้วย
ทรัพย์มีประมาณเท่านี้เถิด อย่าขุดเกินไปนัก. พ่อค้าเหล่านั้นแม้จะ
ไว้. ลำดับนั้น พระยานาคผู้อยู่ภายใต้บ่อน้ำนั้น เมื่อวิมานของตนถูก
ทำลาย เมื่อก้อนดินและผู้อายุตกใส่ก็โกรธใช้ลมจมูกเป่าพ่อค้าทั้งหมด
ให้ถึงความสิ้นชีวิตไม่มีเหลือ เว้นไว้แต่พระโพธิสัตว์ แล้วออกจาก
นาคพิภพให้เทียมเกวียนบรรทุกรัตนะทั้ง ๗ จนเต็ม ให้พระโพธิสัตว์
นั่งในยานน้อยอันสบาย พวกนาคมาณพขับเกวียนนำพระโพธิสัตว์
ไปยังนครพาราณสี เข้าไปยังเรือนเก็บทรัพย์แล้วก็ไปสู่นาคพิภพ
ของตนตามเดิม. พระโพธิสัตว์จ่ายทรัพย์นั้น กระทำให้ชมพูทวีป
ทั้งสิ้นไม่ต้องไถนา ให้ทาน สมาทานศีล รักษาอุโบสถ ในเวลาสิ้น

48
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๔ – หน้าที่ 49 (เล่ม 58)

ชีวิตได้ไปเกิดในสวรรค์.
พระศาสดาครั้นทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแล้ว เป็นผู้ตรัสรู้
ยิ่งเอง ได้ตรัสคาถาเหล่านี้ว่า :-
พ่อค้าทั้งหลายผู้มีความต้องการน้ำ
พากันขุดบ่อน้ำเก่า ได้แร่เหล็ก แร่ทองแดง
ดีบุก ตะกั่ว แก้วมณี เงินทอง แก้วมุกดา
และแก้วไพฑูรย์ เป็นอันมาก แต่พ่อค้า
เหล่านั้นไม่ได้ยินดีด้วยทรัพย์นั้น พากันขุด
ลึกยิ่งขึ้น ๆ ในบ่อน้ำมัน มีพระยานาคมีพิษ
ร้ายแรง มีเดช ได้ฆ่าพ่อค้าเหล่านั้นเสียด้วย
เดชเเห่งพิษ. เพราฉะนั้น บุคคลพึงขุดบ่อ
น้ำเถิด แต่ไม่ควรขุดให้ลึกเกินไป เพราะบ่อ
ที่ขุดลึกเกินไปเป็นของลามก ทรัพย์ที่พวก
พ่อค้าได้แล้วด้วยการขุดก็พินาศไป เพราะ
การขุดลึกเกินไป.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อยํ ได้แก่ โลหะสีดำ (เหล็ก).
บทว่า โลหํ ได้แก่ โลหะสีแดง (ทองแดง) บทว่า มุตฺตา ได้แก่
แก้วมุกดาเป็นต้น. บทว่า เต จ เตน อสนฺตุฏฺฐา ความว่า ก็พ่อค้า
เหล่านั้นไม่ได้ยินดีด้วยทรัพย์นั้น. บทว่า เต ตตฺถ ได้แก่ พ่อค้า
เหล่านั้น ในบ่อน้ำนั้น. บทว่า เตชสี ได้แก่ เป็นผู้ประกอบด้วย

49
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๔ – หน้าที่ 50 (เล่ม 58)

เดชแห่งพิษ. บทว่า เตชสา หนิ ได้แก่ ฆ่าด้วยเดชแห่งพิษ บทว่า
อติกฺขาเตน นาสิตํ ความว่า เพราะขุดลึกเกินไป ทรัพย์สละชีวิต
นั้น จึงพินาศไป.
พระศาสดาครั้นทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแล้ว จึงทรง
ประชุมชาดกว่า พระยานาคในกาลนั้น ได้เป็นพระสารีบุตรในบัดนี้
ส่วนหัวหน้าพ่อค้าเกวียนคือเราตถาคต ฉะนี้แล.
จบ อรรถกถาชรูทปานชาดกที่ ๖

50