No Favorites




หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ทุกนิบาตชาดก เล่ม ๓ ภาค ๓ – หน้าที่ 297 (เล่ม 57)

อยู่ไม่ไกล พูดว่า พระเถระรูปนี้จักรู้ว่าเรางามหรือไม่งาม จึง
เข้าไปหาท่านถามว่า ท่านขอรับ ผมทั้งสองนี้ใครงาม. พระเถระ
ตอบว่า เรานี้แหละงามกว่าพวกท่าน. ภิกษุหนุ่มทั้งสองรูป
คิดว่า หลวงตาแก่รูปนี้ไม่ตอบคำที่เราถาม กลับตอบคำที่เรา
ไม่ได้ถาม จึงบริภาษแล้วหลีกไป. กิริยาของภิกษุสองรูปนั้น
ได้ปรากฏในหมู่สงฆ์.
อยู่มาวันหนึ่ง ภิกษุทั้งหลายประชุมสนทนากันในโรงธรรม
ว่า ได้ข่าวว่า พระเถระผู้เฒ่าได้ทำให้ภิกษุหนุ่มอวดรูปโฉม
ทั้งสองนั้นได้อาย. พระศาสดาเสด็จมาตรัสถามว่า ดูก่อนภิกษุ
ทั้งหลาย บัดนี้พวกเธอนั่งสนทนากันด้วยเรื่องอะไร เมื่อกราบทูล
ให้ทรงทราบแล้วจึงตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุหนุ่ม
สองรูปนี้มิใช่ยกยอรูปแต่ในบัดนี้เท่านั้น แม้เมื่อก่อน เธอทั้งสอง
ก็เที่ยวพร่ำเพ้อรูปเหมือนกัน แล้วทรงนำเรื่องอดีตมาตรัสเล่า.
ในอดีตกาลครั้งพระเจ้าพรหมทัตเสวยราชสมบัติอยู่ใน
กรุงพาราณสี พระโพธิสัตว์ได้เป็นรุกขเทวดาอยู่ที่ฝั่งคงคา.
ครั้งนั้นมีปลาสองตัวอยู่แม่น้ำคงคาตัวหนึ่ง อยู่แม่น้ำยมุนาตัวหนึ่ง
ทุ่มเถียงกันเรื่องรูป ณ ที่แม่น้ำคงคาและยมุนามาบรรจบกันว่า
เรางาม ท่านซิไม่งาม เห็นเต่าเกาะอยู่ที่แม่น้ำคงคา ไม่ไกลจาก
ที่นั้นเท่าไร คิดกันว่า เต่านี้คงจักรู้ว่า พวกเรางามหรือไม่งาม
จึงเข้าไปหาเต่านั้น แล้วถามว่า เต่าผู้เป็นสหาย ปลาตัวที่อยู่
แม่น้ำคงคางามหรือปลาตัวที่อยู่แม่น้ำยมุนางาม. เต่าตอบว่า

297
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ทุกนิบาตชาดก เล่ม ๓ ภาค ๓ – หน้าที่ 298 (เล่ม 57)

ปลาตัวที่อยู่แม่น้ำคงคาก็งาม ตัวที่อยู่แม่น้ำยมุนาก็งาม แต่เรา
งามยิ่งกว่าเจ้าทั้งสองเสียอีก เมื่อจะประกาศความนี้ จึงกล่าว
คาถาแรกว่า :-
ปลาชื่อคังเคยยะก็งาม และปลาชื่อว่า ยมุนา
ก็งาม แต่บุรุษ ๔ เท้ามีปริมณฑลเพียงดังต้นไทร
มีคอยาวหน่อยหนึ่งผู้นี้ ย่อมรุ่งเรืองกว่าใคร
ทั้งหมด.
ในบทเหล่านั้น บทว่า จตุปฺปทายํ พระเถระกล่าวหมายถึง
ตัวท่านเองว่า บุรุษผู้นี้มี ๔ เท้า. บทว่า นิโคฺรธปริมณฺฑโล คือ
มีปริมณฑลเพียงดังต้นไทรที่เกิดดีแล้ว. บทว่า อีสกายตคีโว
คือมีคอยาวดุจงอนรถ. บทว่า สพฺเพว อติโรจติ ความว่า เต่า
ผู้สมบูรณ์ด้วยทรวดทรงกล่าวว่า ผู้นี้ย่อมรุ่งเรืองยิ่งกว่าใคร
ทั้งหมด คือเรานี่แหละงามเกินพวกท่านทั้งหมด.
ปลาฟังคำเต่าแล้วกล่าวว่า เจ้าเต่าชั่วพ่อตัวดี เจ้าไม่
ตอบคำที่เราถามกลับไปตอบเป็นอย่างอื่นเสียนี่ แล้วกล่าวคาถา
ที่ ๒ ว่า :-
ท่านไม่บอกเหตุที่เราถาม เราถามอย่าง
หนึ่งท่านบอกเสียอย่างหนึ่ง คนสรรเสริญตนเอง
นี้ ไม่ชอบใจเราเลย.
ในบทเหล่านั้น บทว่า อตฺตปฺปสํสโก ได้แก่ คนชอบ
สรรเสริญตัวเอง คือ ยกย่องตัวเอง. บทว่า นายํ อสฺมาก รุจฺจติ

298
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ทุกนิบาตชาดก เล่ม ๓ ภาค ๓ – หน้าที่ 299 (เล่ม 57)

ความว่า เต่าชั่วตัวนี้ ไม่ชอบใจ คือไม่พอใจเราเลย.
ปลาทั้งสองตัวพ่นน้ำใส่เต่าแล้วก็ได้ไปยังที่อยู่ของตน
ตามเดิม.
พระศาสดาทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแล้วทรงประชุม
ชาดก. ปลาสองตัวในครั้งนั้นได้เป็นภิกษุหนุ่มสองรูปในครั้งนี้
เต่าได้เป็นภิกษุแก่ ส่วนรุกขเทวดาผู้เกิดที่ฝั่งคงคาผู้เห็นเหตุการณ์
โดยตลอด คือ เราตถาคตนี้แล.
จบ อรรถกถาคังเคยยชาดกที่ ๕

299
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ทุกนิบาตชาดก เล่ม ๓ ภาค ๓ – หน้าที่ 300 (เล่ม 57)

๖. กุรุงคมิคชาดก
ว่าด้วยการร่วมมือกัน
[๒๖๑] ดูก่อนเต่า เราขอเตือน ท่านจงกัดบ่วงอัน
มีเกลียวแข็งด้วยฟัน เราจักทำอุบายไม่ให้นาย
พรานมาถึงเร็วได้.
[๒๖๒] เต่าก็ลงน้ำไป กวางก็เข้าป่าไป นก
สตปัตตะไปถึงต้นไม้แล้ว ก็พาลูก ๆ ไปอยู่ใน
ที่ห่างไกล.
จบ กุรุงคมิคชาดกที่ ๖
อรรถกถากุรุงคมิคชาดกที่ ๖
พระศาสดาเมื่อประทับอยู่ ณ พระเชตวันมหาวิหาร ทรง
ปรารภพระเทวทัต ตรัสพระธรรมเทศนานี้ มีคำเริ่มต้นว่า
อิงฺฆ วทฺธมยํ ปาสํ ดังนี้.
ความย่อมีอยู่ว่า ในครั้งนั้นพระศาสดาทรงสดับว่า พระ-
เทวทัตพยายามจะปลงพระชนม์พระองค์ จึงตรัสว่า ดูก่อนภิกษุ
ทั้งหลาย เทวทัตพยายามจะปลงชีวิตของเรา มิใช่ในบัดนี้เท่านั้น
แม้เมื่อก่อนก็พยายามเหมือนกัน แล้วทรงนำเรื่องอดีตมาตรัสเล่า.
ในอดีตกาลครั้งพระเจ้าพรหมทัตเสวยราชสมบัติอยู่ใน
กรุงพาราณสี พระโพธิสัตว์ถือกำเนิดเป็นกวางอาศัยอยู่ที่

300
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ทุกนิบาตชาดก เล่ม ๓ ภาค ๓ – หน้าที่ 301 (เล่ม 57)

ละเมาะแห่งหนึ่ง ไม่ไกลสระแห่งหนึ่งในป่า. ไม่ไกลสระนั้นมี
นกชื่อสตปัตตะ จับอยู่ที่ยอดไม้ต้นหนึ่ง. ก็ที่สระมีเต่าอาศัยอยู่.
สัตว์ทั้งสามนั้นเป็นสหายกัน ต่างอยู่กันด้วยความรัก. ครั้งนั้น
พรานเนื้อคนหนึ่งท่องเที่ยวไปในป่า พบรอยเท้าพระโพธิสัตว์
ที่ท่าลงน้ำดื่ม จึงดักบ่วงมีเกลียวแข็งแรงราวกับโซ่เหล็ก แล้ว
กลับไป. พระโพธิสัตว์มาดื่มน้ำ ติดที่บ่วงแต่ยามต้น จึงร้องให้รู้
ว่าติดบ่วงเข้าแล้ว. นกสตปัตตะได้ยินเสียงพระโพธิสัตว์ จึงลง
จากยอดไม้ เต่าก็ขึ้นจากน้ำ ปรึกษากันว่า จะควรทำอย่างไรดี.
นกสตปัตตะจึงบอกเต่าว่า สหายท่านมีฟันจงแทะบ่วงนี้เถิด เรา
จะไปคอยกันไม่ให้พรานมาได้ ด้วยความพยายามที่เราทั้งสอง
ทำอย่างนี้ สหายของเราจักรอดชีวิต เมื่อจะประกาศเนื้อความ
นี้ จึงกล่าวคาถาแรกว่า :-
ดูก่อนเต่าเราขอเตือน ท่านจงกัดบ่วงอัน
มีเกลียวแข็งด้วยฟัน เราจักทำอุบายไม่ให้นาย
พรานมาถึงเร็วได้.
เต่าจึงเริ่มแทะเชือกหนัง นกสตปัตตะก็จับคอยอยู่บนต้นไม้
ไม่ไกลจากบ้านที่นายพรานอยู่. นายพรานถือหอกออกแต่เช้าตรู่.
นกรู้ว่านายพรานออกก็โฉบปรบปีก เอาปากจิกนายพรานผู้จะ
ออกทางประตูหน้า. นายพรานคิดว่าเราถูกนกกาฬกัณณีตีเข้า
ให้แล้ว จึงกลับไปนอนเสียหน่อยหนึ่ง แล้วลุกขึ้นถือหอกไปอีก.
นกรู้ว่านายพรานนี้ออกไปทางประตูหน้า บัดนี้คงจะออกไปทาง

301
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ทุกนิบาตชาดก เล่ม ๓ ภาค ๓ – หน้าที่ 302 (เล่ม 57)

ประตูหลัง จึงไปจับที่เรือนด้านหลัง ฝ่ายนายพรานคิดว่า เมื่อ
เราออกทางประตูหน้าก็พบนกกาฬกัณณี บัดนี้เราจะออกทาง
ประตูหลัง จึงออกไปทางประตูหลัง. นกก็โฉบลงเอาปากจิกอีก.
นายพรานคิดว่า เราถูกนกกาฬกัณณีตีอีก. บัดนี้นกนี้คงไม่ให้
เราออก นอนรอจนอรุณขึ้น จึงถือหอกออกไปในเวลาอรุณขึ้น.
นกรีบไปบอกแก่พระโพธิสัตว์ว่า พรานกำลังเดินมา. ในขณะนั้น
เต่ากัดเชือกขาดยังเหลืออีกเกลียวเดียว. แต่ฟันของเต่าชักจะ
เรรวนจวนจะร่วง ปากก็ฟูมไปด้วยเลือด. พระโพธิสัตว์เห็น
บุตรนายพรานถือหอก เดินมาด้วยความเร็วดุจฟ้าแลบ จึงกัด
เกลียวนั้นขาดเข้าป่าไป. นกจับอยู่บนยอดไม้. แต่เต่าคงนอน
อยู่ในที่นั้นเอง เพราะบอบช้ำมาก. พรานเห็นเต่า จึงจับใส่
กระสอบแขวนไว้ที่ตอไม้ต้นหนึ่ง. พระโพธิสัตว์กลับมาดูรู้ว่า
เต่าถูกจับไปจึงคิดว่า เราจักให้ช่วยชีวิตสหาย จึงทำเป็นคล้าย
จะหมดกำลังแสดงตนให้พรานเห็น. พรานคิดว่า เนื้อนี้คงหมด
แรง เราจักฆ่ามันเสียแล้วถือหอกติดตามไป. พระโพธิสัตว์ไป
ไม่ไกลไม่ใกล้นัก ล่อพรานเข้าป่าไป. ครั้นรู้ว่าพรานไปไกล
แล้ว จึงเหยียบรอยเท้าลวงไว้ แล้วไปเสียทางอื่นด้วยความเร็ว
ราวกะลมพัด เอาเขายกกระสอบขึ้นแล้วทิ้งลงบนพื้นดิน ขวิด
ฉีกขาดนำเต่าออกมาได้. แม้นกสตปัตตะก็ลงจากต้นไม้. พระ-
โพธิสัตว์เมื่อจะให้โอวาทแก่สัตว์ทั้งสอง จึงกล่าวว่า เราได้ชีวิต
ก็เพราะอาศัยพวกท่าน กิจที่ควรทำแก่สหาย พวกท่านก็ได้ทำ

302
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ทุกนิบาตชาดก เล่ม ๓ ภาค ๓ – หน้าที่ 303 (เล่ม 57)

แก่เราแล้ว บัดนี้พรานคงจะมาจับท่านอีก เพราะฉะนั้น สหาย
สตปัตตะท่านจงพาลูกเล็ก ๆ ของท่านไปอยู่ที่อื่นเสียเถิด สหาย
เต่า แม้ท่านก็จงลงน้ำไปเถิด. สัตว์ทั้งสองได้ทำตาม.
พระศาสดาตรัสรู้แล้ว ตรัสคาถาที่ ๒ ว่า :-
เต่าก็ลงน้ำไป กวางก็เข้าป่าไป นกสต-
ปัตตะไปถึงต้นไม้แล้ว ก็พาลูก ๆ ไปอยู่ในที่
ห่างไกล.
แม้พรานมายังที่นั้น ไม่เห็นใคร ๆ หยิบกระสอบที่ขาด
ขึ้นแล้วก็เสียใจ กลับเรือนของตน. สัตว์ทั้งสามสหายก็มิได้ตัด
ความสนิทสนมกันจนตลอดชีวิต แล้วต่างก็ไปกันตามยถากรรม.
พระศาสดาทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแล้ว ทรงประชุม
ชาดก. นายพรานในครั้งนั้นได้เป็นเทวทัตในครั้งนี้ นกสตปัตตะ
ได้เป็นสารีบุตร เต่าได้เป็นโมคคัลลานะ ส่วนกวาง คือเราตถาคต
นี้แล.
จบ อรรถกถากุรุงคมิคชาดกที่ ๖

303
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ทุกนิบาตชาดก เล่ม ๓ ภาค ๓ – หน้าที่ 304 (เล่ม 57)

๗. อัสสกชาดก
ไม่รู้ของจริงเพราะมีสิ่งใหม่ ๆ ปิดไว้
[๒๖๓] ประเทศนี้ ข้าพเจ้าผู้มีความจงรักได้เที่ยว
เล่นอยู่กับพระเจ้าอัสสกะ ผู้เป็นพระสวามีที่รัก
ผู้มีความประสงค์ตามความใคร่.
[๒๖๔] ความสุขและความทุกข์เก่า ถูกความสุข
และความทุกข์ใหม่ปกปิดไว้ เพราะฉะนั้น หนอน
จึงเป็นที่รักของข้าพเจ้ายิ่งกว่าพระเจ้าอัสสกะอีก.
จบ อัสสกชาดกที่ ๗
อรรถกถาอัสสกชาดกที่ ๗
พระศาสดาเมื่อประทับอยู่ ณ พระเชตวันมหาวิหาร ทรง
ปรารภการเล้าโลมของภรรยาเก่า ตรัสพระธรรมเทศนานี้ มี
คำเริ่มต้นว่า อยมสฺสกราเชน ดังนี้.
ความย่อมีว่า ภิกษุนั้นพระศาสดาตรัสถามว่า ดูก่อนภิกษุ
ได้ยินว่า เธอกระสันจริงหรือ กราบทูลว่า จริงพระเจ้าข้า ตรัส
ถามว่าเพราะเหตุไร เธอจึงกระสัน กราบทูลว่า เพราะภรรยา
เก่าพระเจ้าข้า. จึงตรัสว่า ดูก่อนภิกษุ หญิงนั้นมีความรักใน

304
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ทุกนิบาตชาดก เล่ม ๓ ภาค ๓ – หน้าที่ 305 (เล่ม 57)

เธอมิใช่ในบัดนี้เท่านั้น แม้เมื่อก่อนเธอก็ได้รับทุกข์ใหญ่หลวง
เพราะอาศัยหญิงนั้นเหมือนกัน แล้วทรงนำเรื่องอดีตมาตรัสเล่า
ในอดีตกาลพระราชาพระนามว่า อัสสกะ ครองราชสมบัติ
อยู่ในนครชื่อว่า ปาฏลิแคว้นกาสี. พระองค์มีอัครมเหสีพระนาม
ว่าอุพพรี เป็นที่รักใคร่โปรดปรานของพระองค์ มีรูปโฉมงดงาม
น่าดู มีพระฉวีเหนือมนุษย์ แต่ยังไม่ถึงวรรณะทิพย์. พระนางได้
สิ้นพระชนม์ลง. พระราชาทรงโศกาดูร เสวยทุกข์โทมนัสยิ่งนัก
เพราะการสิ้นพระชนม์ของพระนางนั้น. พระองค์ให้เชิญพระศพ
ของพระนางลงในรางแล้วใส่น้ำมันหล่อไว้ ยกไปตั้งไว้ใต้พระ-
แท่นไสยาสน์ ทรงอดพระกระยาหารบรรทมกันแสงปริเทวนาการ.
พระราชมารดาพระราชบิดา หมู่พระญาติมิตรอำมาตย์ พราหมณ์
คหบดีเป็นต้น พากันทูลปลอบโยนเป็นต้นว่า อย่าทรงเศร้าโศก
ไปเลย มหาราช สังขารทั้งหลาย เป็นของไม่เที่ยง ก็ไม่สามารถ
ให้พระองค์ยินยอมได้. พระองค์ทรงรำพันอยู่เช่นนั้นล่วงไป ๗ วัน.
ในกาลนั้นพระโพธิสัตว์เป็นดาบสสำเร็จอภิญญาห้าและสมาบัติ
แปด อยู่ในหิมวันตประเทศ เจริญอาโลกกสิณตรวจดูชมพูทวีป
ด้วยทิพยจักษุ เห็นพระราชาปริเทวนาการอยู่อย่างนั้น ดำริว่า
เราควรเป็นที่พึ่งของพระราชาพระองค์นั้น จึงเหาะไปบนอากาศ
ด้วยอิทธานุภาพ แล้วลงไปในพระอุทยานนั่งเหนือแผ่นมงคลสิลา
ราวกะว่า พระปฏิมาทองคำ.

305
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ทุกนิบาตชาดก เล่ม ๓ ภาค ๓ – หน้าที่ 306 (เล่ม 57)

ครั้งนั้นมาณพพราหมณ์ชาวนครพาราณสีคนหนึ่ง ไป
พระอุทยานเห็นพระโพธิสัตว์จึงนั่งลงไหว้. พระโพธิสัตว์กระทำ
ปฏิสันถารกับมาณพนั้นแล้วถามว่า มาณพพระราชาทรงตั้งอยู่
ในธรรมหรือ. มาณพตอบว่า ขอรับพระคุณเจ้า พระราชาทรง
ตั้งอยู่ในธรรม แต่พระมเหสีของพระองค์สิ้นพระชนม์เสียแล้ว
พระองค์เชิญพระศพของพระนางไว้ในรางแล้วทรงบรรทม
พร่ำเพ้อรำพันวันนี้เป็นวันที่ ๗ พระคุณเจ้าจะไม่ช่วยพระราชา
ให้พ้นจากทุกข์บ้างหรือ เมื่อมีผู้มีศีล เช่นท่านสมควรจะให้
พระราชาเสวยทุกข์เช่นนั้นหรือ. พระโพธิสัตว์กล่าวว่า ดูก่อน
มาณพ เราไม่รู้จักพระราชา หากพระราชาจะเสด็จมาถามเรา
เรานี่แหละจะทูลบอกที่ที่พระมเหสีไปเกิด จะให้พระนางตรัส
สนทนากับพระราชาทีเดียว. มาณพนั้นกล่าวว่า ข้าแต่พระคุณเจ้า
ถ้าเช่นนั้น ขอพระคุณเจ้านั่งรออยู่ที่นี้ จนกว่ากระผมจะทูลเชิญ
พระราชาเสด็จมา มาณพรับปฏิญญาของพระโพธิสัตว์แล้ว ไป
เฝ้าพระราชา กราบทูลความนั้น แล้วทูลพระองค์ควรเสด็จไป
ยังสำนักของท่านผู้มีจักษุทิพย์. พระราชาทรงดีพระทัยที่จะได้
ทรงเห็นพระนางอุพพรี. เสด็จขึ้นรถไปอุทยาน ไหว้พระโพธิสัตว์
แล้วนั่ง ณ ส่วนหนึ่งถามว่า ได้ยินว่าท่านรู้ที่เกิดของพระเทวี
จริงหรือ. พระโพธิสัตว์ทูลว่า จริงพระเจ้าข้า. ตรัสถามว่า เกิด
ที่ไหน. ทูลว่า ข้าแต่มหาราช พระนางทรงมัวเมาในรูป อาศัย
ความเมาไม่ทรงทำกรรมดี จึงไปเกิดในกำเนิดหนอนมูลโค. ตรัส

306