หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ เล่ม ๒ – หน้าที่ 671 (เล่ม 4)

ให้เสียสี ด้วยสีเขียวเป็นต้น. ก็แล ภิกษุเมื่อจะถือเอากัปปะนั้น ย้อมจีวร
แล้วพึงถือเอาจุดเครื่องหมายเท่าแววตานกยูง หรือว่าหลังตัวเรือด ที่มุมทั้ง ๔
หรือที่มุมทั้ง ๓ ทั้ง ๒ หรือมุมเดียวก็ได้.
แต่ในมหาปัจจรีกล่าวว่า จะถือเอาพินทุกัปปะที่ผืนผ้า หรือที่ลูกดุม
ไม่ควร. ส่วนในมหาอรรถกถากล่าวว่า ควรแท้ ก็กัปปะที่เป็นแนว และ
กัปปะที่เป็นช่อเป็นต้น ท่านห้ามไว้ในทุก ๆ อรรถกถา; เพราะฉะนั้น จึงไม่
ควรทำกัปปะ โดยวิการแม้อะไรอย่างอื่น เว้นจุดกลมจุดเดียว.
ในคำว่า อคฺคเฬ เเป็นต้น มีวินิจฉัยว่า ไม่มีกิจที่จะเพิ่มผ้าเพาะ
เป็นต้นนี้ ในจีวรที่กระทำกัปปะแล้ว ทำกัปปะใหม่ในภายหลัง. บทที่เหลือตื้น
ทั้งนั้น.
สิกขาบทนี้ มีสมุฎฐานดุจเอฬกโลมสิกขาบท เป็นทั้งกิริยาทั้งอกิริยา
โนสัญญาวิโมกข์ อจิตตกะ ปัณณัตติวัชชะ กายกรรม มีจิต ๓ มีเวทนา ๓ ดัง
นี้แล.
ทุพพัณณกรณสิกขาบทที่ ๘ จบ

671
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ เล่ม ๒ – หน้าที่ 672 (เล่ม 4)

สุราปานวรรค สิกขาบทที่ ๙
เรื่องพระอุปนันทศายบุตร
[๖๒๓] โดยสมัยนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ ณ พระเชตวัน
อารามของอนาถบิณฑิกคหบดี เขตพระนครสาวัตถี ครั้งนั้น ท่านพระอุปนันท-
ศากยบุตร วิกัปจีวรเองแก่ภิกษุสัทธิวิหาริกของภิกษุผู้เป็นพี่น้องกัน แล้วใช้
สอยจีวรนั้นซึ่งยังมิได้ถอน ครั้นแล้วภิกษุนั้นเล่าเรื่องนั้น แก่ภิกษุทั้งหลายว่า
อาวุโสทั้งหลาย ท่านพระอุปนันทศากยบุตรนี้ วิกัปจีวรเองแก่ผมแล้วใช้สอย
จีวรนั้นซึ่งยังมิได้ถอน บรรดาภิกษุที่เป็นผู้มักน้อย.. . ต่างก็เพ่งโทษ ติเตียน
โพนทะนาว่า ท่านพระอุปนันทศากยบุตรวิกัปจีวรเองแก่ภิกษุแล้ว ไฉนจึงได้
ใช้สอยจีวรนั้นซึ่งยังมิได้ถอนเล่า แล้วกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาคเจ้า.
ทรงสอบถาม
พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงสอบถามว่า ดูก่อนอุปนันท์ ข่าวว่า เธอวิกัป
จีวรเองแก่ภิกษุแล้วใช้สอยจีวรนั้นซึ่งยังมิได้ถอน จริงหรือ.
ท่านพระอุปนันทศากยบุตรทูลรับว่า จริง พระพุทธเจ้าข้า.
ทรงติเตียนแล้วบัญญัติสิกขาบท
พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าทรงติเตียนว่า ดูก่อนโมฆบุรุษ เธอวิกัป
จีวรเองแก่ภิกษุแล้ว ไฉนจึงได้ใช้สอยจีวรนั้นซึ่งยังมิได้ถอนเล่า การกระทำ
ของเธอนั้น ไม่เป็นไปเพื่อความเลื่อมใสของชุมชนที่ยังไม่เลื่อมใส หรือเพื่อความ
เลื่อมใสยิ่ง ของชุมชนที่เลื่อมใสแล้ว . . .
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็แลพวกเธอพึงยกสิกขาบทนี้ขึ้นแสดงอย่างนี้
ว่าดังนี้:-

672
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ เล่ม ๒ – หน้าที่ 673 (เล่ม 4)

พระบัญญัติ
๑๐๘. ๙. อนึ่ง ภิกษุใดวิกัปจีวรเอง แก่ภิกษุก็ดี ภิกษุณีก็ดี
สิกขมานาก็ดี สามเณรก็ดี สามเณรีก็ดี แล้วใช้สอยจีวรนั้น ซึ่ง
ไม่ให้เขาถอนก่อน เป็นปาจิตตีย์.
เรื่องพระอุปนันทศากยบุตร จบ
สิกขาบทวิภังค์
[๖๒๔] บทว่า อนึ่ง . . .ใด ความว่า ผู้ใด คือ ผู้เช่นใด...
บทว่า ภิกษุ ความว่า ที่ชื่อว่า ภิกษุ เพราะอรรถว่าเป็นผู้ขอ...นี้
ชื่อว่า ภิกษุ ที่ทรงประสงค์ในอรรถนี้ .
บทว่า แก่ภิกษุ คือ แก่ภิกษุรูปอื่น.
ที่ชื่อว่า ภิกษุณี ได้แก่ สตรีผู้อุปสมบทแล้วในสงฆ์ ๒ ฝ่าย.
ที่ชื่อว่า สิกขมานา ได้แก่ สามเณรีผู้มีสิกขาอันศึกษาแล้วใน
ธรรม ๖ ประการตลอด ๒ ปี.
ที่ชื่อว่า สามเณร ได้แก่ บุรุษผู้ถือสิกขาบท ๑๐.
ที่ชื่อว่า สามเณรี ได้แก่ สตรีผู้ถือสิกขาบท ๑๐.
บทว่า เอง คือ วิกัปด้วยตน.
ที่ชื่อว่า จีวร ได้แก่ ผ้า ๖ ชนิด ชนิดใดชนิดหนึ่ง ซึ่งเข้าองค์
กำหนดแห่งผ้าต้องวิกัปเป็นอย่างต่ำ.
ที่ชื่อว่า วิกัป (โดยใจความก็คือทำให้เป็นของสองเจ้าของ) มี ๒
อย่าง คือ วิกัปต่อหน้า ๑ วิกัปลับหลัง ๑.
ที่ชื่อว่า วิกัปต่อหน้า คือกล่าวคำว่า ข้าพเจ้าวิกัปจีวรผืนนี้แก่ท่าน
หรือว่าข้าพเจ้าวิกัปจีวรผืนนี้แก่สหธรรมิกผู้มีชื่อนี้.

673
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ เล่ม ๒ – หน้าที่ 674 (เล่ม 4)

ที่ชื่อว่า วิกัปลับหลัง คือกล่าวคำว่า ข้าพเจ้าให้จีวรผืนนี้แก่ท่าน
เพื่อช่วยวิกัป ภิกษุผู้รับวิกัปนั้นพึงถามว่า ใครเป็นมิตรหรือเป็นผู้เคยเห็น
ของท่าน พึงตอบว่า ท่านผู้มีชื่อนี้ และท่านผู้มีชื่อนี้ ภิกษุผู้รับวิกัปนั้น พึง
กล่าวว่า ข้าพเจ้าให้แก่ภิกษุมีชื่อนี้นั้นและภิกษุมีชื่อนั้น จีวรผืนนี้เป็นของภิกษุ
เหล่านั้น ท่านจงใช้สอยก็ตาม จงสละก็ตาม จงทำตามปัจจัยก็ตาม.
ที่ชื่อว่า ซึ่งไม่ให้เขาถอนก่อน คือ ภิกษุใช้สอยจีวรที่ผู้รับวิกัป
นั้นยังมิได้คืนให้ หรือไม่วิสาสะแก่ภิกษุผู้รับวิกัปนั้น ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
บทภาชนีย์
ติกปาจิตตีย์
[๖๒๕] จีวรยังมิได้ถอน ภิกษุสำคัญว่ายังมิได้ถอน ใช้สอย ต้อง
อาบัติปาจิตตีย์.
จีวรยังมิได้ถอน ภิกษุสงสัย ใช้สอย ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
จีวรยังมิได้ถอน ภิกษุสำคัญว่าถอนแล้ว. . . ต้องอาบัติปาจิตตีย์
ติกทุกกฏ
ภิกษุอธิษฐานก็ดี สละให้ไปก็ดี ใช้สอย ต้องอาบัติทุกกฏ.
จีวรที่ถอนแล้ว ภิกษุสำคัญว่ายังมิได้ถอน ใช้สอย ต้องอาบัติทุกกฏ.
จีวรที่ถอนแล้ว ภิกษุสงสัย ใช้สอย ต้องอาบัติทุกกฏ.
ไม่ต้องอาบัติ
จีวรที่ถอนแล้ว ภิกษุสำคัญว่าถอนแล้ว ใช้สอย ไม่ต้องอาบัติ.

674
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ เล่ม ๒ – หน้าที่ 675 (เล่ม 4)

อนาปัตติวาร
[๖๒๖] ภิกษุใช้สอยจีวรที่ภิกษุผู้รับวิกัปคืนให้ หรือวิสาสะแก่ภิกษุ
ผู้รับวิกกัป ๑ ภิกษุวิกลจริต ๑ ภิกษุอาทิกัมมิกะ ๑ ไม่ต้องอาบัติแล.
สุราปานวรรค สิกขาบทที่ ๙ จบ
วิกัปปนสิกขาบทที่ ๙
ในสิกขาบทที่ ๗ มีวินิจฉัยดังนี้:-
[ว่าด้วยการใช้จีวรยังไม่ได้ถอนวิกัป]
สองบทว่า ตสฺส วา อทินฺนํ ได้แก่ (จีวร) ที่ภิกษุผู้รับวิกัปยัง
ไม่กล่าวให้แก่ภิกษุเจ้าของจีวรอย่างนี้ว่า ท่านจงใช้สอยก็ตาม จงสละก็ตาม
จงทำตามปัจจัยก็ตาม.
สองบทว่า ตสฺส วา อวิสฺสาเสนฺโต มีความว่า หรือด้วยไม่
วิสาสะแก่ภิกษุผู้ทำวินัยกรรม. แต่ไม่เป็นอาบัติแก่ภิกษุผู้ใช้สอยจีวรที่ภิกษุผู้รับ
วิกัป นั้น ให้แล้ว หรือด้วยวิสาสะแก่ภิกษุผู้รับวิกัปนั้น. บทที่เหลือในสิกขาบทนี้
ตื้นทั้งนั้น เพราะมีนัยดังที่ได้กล่าวแล้ว ในติงสกกัณฑวรรณนานั้นแล.
สิกขาบทนี้ มีสมุฏฐานดุจกฐินสิกขาบท เกิดขึ้นทางกายกับวาจา ๑
ทางวาจากับจิต ๑ เป็นทั้งกิริยาทั้งอกิริยา เป็นโนสัญญาวิโมกข์ อจิตตกะ
ปัณณัตติวัชระ กายกรรม วจีกรรม มีจิต ๓ มีเวทนา ๓. ดังนี้แล.
วิกัปปนสิกขาบทที่ ๙ จบ

675
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ เล่ม ๒ – หน้าที่ 676 (เล่ม 4)

สุราปานวรรค สิกขาบทที่ ๑๐
เรื่องพระสัตตรสวัคคีย์
[๖๒๗] โดยสมัยนั้น พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าประทับอยู่ ณ พระ-
เชตวัน อารามของอนาถบิณฑิกคหบดี เขตพระนครสาวัตถี ครั้งนั้น
พระสัตตรสวัคคีย์เป็นผู้ไม่เก็บงำบริขาร พระฉัพพัคคีย์จึงซ่อนบาตรบ้าง จีวร
บ้าง ของพระสัตตรสวัคคีย์ ๆ จึงกล่าวขอร้องพระฉัพพัคคีย์ว่า อาวุโสทั้งหลาย
ขอท่านจงคืนบาตรให้แก่พวกผมดังนี้บ้าง ว่าขอท่านจงคืนจีวรให้แก่พวกผม
ดังนี้บ้าง พระฉัพพัคคีย์พากันหัวเราะ พระสัตตรสวัคคีย์ร้องไห้ ภิกษุทั้งหลาย
พากันถามว่า อาวุโสทั้งหลาย พวกท่านร้องไห้ทำไม.
พระสัตตรสวัคคีย์ตอบว่า อาวุโสทั้งหลาย พวกพระฉัพพัคคีย์เหล่านี้
พากัน ซ่อนบาตรบ้าง จีวรบ้าง ของพวกผม.
บรรดาภิกษุที่เป็นผู้มักน้อย. ..ต่างก็เพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาว่า
ไฉนพระฉัพพัคคีย์จึงได้ซ่อนบาตรบ้าง จีวรบ้าง ของภิกษุทั้งหลายเล่า แล้ว
กราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาคเจ้า. . .
ทรงสอบถาม
พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงสอบถามพระฉัพพัคคีย์ว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย
ข่าวว่า พวกเธอซ่อนบาตรบ้าง จีวรบ้าง ของภิกษุทั้งหลายจริงหรือ.
พระฉัพพัคคีย์ทูลรับว่า จริง พระพุทธเจ้าข้า.
ทรงติเตียนแล้วบัญญัติสิกขาบท
พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าทรงติเตียนว่า ดูก่อนโมฆบุรุษทั้งหลาย ไฉน
พวกเธอจึงได้ซ่อนบาตรบ้าง จีวรบ้าง ของภิกษุทั้งหลายเล่า การกระทำของ

676
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ เล่ม ๒ – หน้าที่ 677 (เล่ม 4)

พวกเธอนั่น ไม่เป็นไปเพื่อความเลื่อมใสของชุมชนที่ยังไม่เลื่อมใส หรือเพื่อ
ความเลื่อมใสยิ่งของชุมชนที่เลื่อมใสแล้ว . . .
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็แลพวกเธอพึงยกสิกขาบทนี้ขึ้นแสดงอย่างนี้
ว่าดังนี้ :-
พระบัญญัติ
๑๐๙. ๑๐. อนึ่ง ภิกษุใด ซ่อนก็ดี ให้ซ่อนก็ดี ซึ่งบาตรก็ดี
จีวรก็ดี ผ้าปูนั่งก็ดี กล่องเข็มก็ดี ประคดเอวก็ดี ของภิกษุ โดยที่สุด
แม้หมายจะหัวเราะ เป็นปาจิตตีย์.
เรื่องพระสัตตรสวัคคีย์ จบ
สิกขาบทวิภังค์
[๖๒๘] บทว่า อนึ่ง. . .ใด ความว่า ผู้ใด คือ ผู้เช่นใด. . .
บทว่า ภิกษุ ความว่า ที่ชื่อว่า ภิกษุ เพราะอรรถว่าเป็นผู้ขอ. . .นี้
ชื่อว่า ภิกษุ ที่ทรงประสงค์ในอรรถนี้ .
บทว่า ของภิกษุ คือ ของภิกษุอื่น.
ที่ชื่อว่า บาตร ได้แก่ บาตร ๒ ชนิด คือ บาตรเหล็กชนิดหนึ่ง
บาตรดินเผาชนิดหนึ่ง.
ที่ชื่อว่า จีวร หมายถึงผ้า ๖ ชนิด ชนิดใดชนิดหนึ่ง ซึ่งเข้าองค์
กำหนดแห่งผ้าต้องวิกัป เป็นอย่างต่ำ.
ที่ชื่อว่า ผ้าปูนั่ง ตรัสหมายผ้าปูนั่งที่มีชาย.
ที่ชื่อว่า กล่องเข็ม ได้แก่กล่องที่มีเข็มก็ตาม ไม่มีเข็มก็ตาม
ที่ชื่อว่า ประคดเอว ได้แก่ประคดเอว ๒ ชนิด คือ ประคดผ้า
ชนิดหนึ่ง ประคดไส้สุกรชนิดหนึ่ง.

677
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ เล่ม ๒ – หน้าที่ 678 (เล่ม 4)

บทว่า ซ่อน คือ ซ่อนเอง ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
บทว่า ให้ซ่อน คือ ใช้ผู้อื่นให้ซ่อน ต้องอาบัติปาจิตตีย์ ใช้
หนเดียว เขาซ่อนแม้หลายหน ก็ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
บทว่า โดยที่สุดแม้หมายจะหัวเราะ คือ มุ่งจะล้อเล่น.
บทภาชนีย์
ติกปาจิตตีย์
[๖๒๙] อุปสัมบัน ภิกษุสำคัญว่าอุปสัมบัน ซ่อนก็ดี ให้ซ่อนก็ดี
ซึ่งบาตรก็ดี จีวรก็ดี ผ้าปูนั่งก็ดี กล่องเข็มก็ดี ประคดเอวก็ดี โดยที่สุดแม้
หมายจะหัวเราะ ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
อุปสัมบัน ภิกษุสงสัย ซ่อนก็ดี ให้ซ่อนก็ดี ซึ่งบาตรก็ดี จีวรก็ดี
ผ้าปูนั่งก็ดี กล่องเข็มก็ดี ประคดเอวก็ดี โดยที่สุดแม้หมายจะหัวเราะ ต้อง
อาบัติปาจิตตีย์.
อุปสัมบัน ภิกษุสำคัญว่าอนุปสัมบัน ซ่อนก็ดี ให้ซ่อนก็ดี ซึ่งบาตร
ก็ดี จีวรก็ดี ผ้าปูนั่งก็ดี กล่องเข็มก็ดี ประคดเอวก็ดี โดยที่สุดแม้หมายจะ
หัวเราะ ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
ปัญจกทุกกฏ
ภิกษุซ่อนก็ดี ให้ซ่อนก็ดี ซึ่งบริขารอย่างอื่น โดยที่สุดแม้หมายจะ
หัวเราะ ต้องอาบัติทุกกฏ.
ภิกษุซ่อนก็ดี ให้ซ่อนก็ดี ซึ่งบาตรก็ดี จีวรก็ดี บริขารอย่างอื่นก็ดี
ของอนุปสัมบัน โดยที่สุดแม้หมายจะหัวเราะ คือ อาบัติทุกกฏ.

678
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ เล่ม ๒ – หน้าที่ 679 (เล่ม 4)

อนุปสัมบัน ภิกษุสำคัญว่าอุปสัมบัน. . .ต้องอาบัติทุกกฏ.
อนุปสัมบัน ภิกษุสงสัย. . .ต้องอาบัติทุกกฏ
อนุปสัมบัน ภิกษุสำคัญว่าอนุปสัมบัน. . .ต้องอาบัติทุกกฏ.
อนาปัตติวาร
[๖๓๐] ภิกษุไม่มีความประสงค์จะหัวเราะ ๑ ภิกษุเก็บบริขารที่ผู้อื่น
วางไว้ไม่ดี ๑ ภิกษุเก็บไว้ด้วยหวังสั่งสอนแล้วจึงจะคืนให้ ๑ ภิกษุวิกลจริต ๑
ภิกษุอาทิกัมมิกะ ๑ ไม่ต้องอาบัติแล.
สุราปานวรรค สิกขาบทที่ ๑๐ จบ
ปาจิตตีย์ วรรคที่ ๖ จบ

679
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ เล่ม ๒ – หน้าที่ 680 (เล่ม 4)

จีวราปนิธานสิกขาบทที่ ๑๐
ในสิกขาบทที่ ๑๐ มีวินิจฉัยดังนี้:-
บทว่า อปนิเธนฺติ คือ นำไปเก็บซ่อนไว้.
บทว่า หสฺสาเปกฺโข คือ มีความประสงค์จะหัวเราะ.
สองบทว่า อญฺญํ ปริกฺขารํ ได้แก่ บริขารอื่นมีถุงบาตรเป็นต้น
ซึ่งมิได้มาในพระบาลี.
สามบทว่า ธมฺมึ กถํ กตฺวา มีความว่า เมื่อภิกษุเก็บไว้ด้วยทำใจว่า
เราจักกล่าวธรรมกถาอย่างนี้ว่า ชื่อว่า สมณะเป็นผู้ไม่เก็บงำบริขารไม่ควร
แล้วจึงจักให้ ดังนี้ ไม่เป็นอาบัติ. บทที่เหลือในสิกขาบทนี้ ตื้นทั้งนั้นแล.
สิกขาบทนี้ มีสมุฏฐาน ๓ เป็นกิริยา สัญญาวิโมกข์ สจิตตกะ โลก
วัชชะ กายกรรม วจีกรรม อกุศลจิต มีเวทนา ๓ ดังนี้แล.
จีวราปนิธานสิกขาบทที่ ๑๐ จบ
สุราปานวรรคที่ ๖ จบบริบูรณ์
ตามวรรณนานุกรม
หัวข้อประจำเรื่อง
๑. สุราปานสิกขาบท ว่าด้วยการดื่มสุรา
๒. อังคุลิปโตทกสิกขาบท ว่าด้วยการจี้
๓. หัสสธัมสิกขาบท ว่าด้วยการเล่นน้ำ
๔. อนาทริยสิกขาบท ว่าด้วยความไม่เอื้อเฟื้อ
๕. ภิงสาปนสิกขาบท ว่าด้วยการหลอนภิกษุ
๖. โชติสมาทหนสิกขาบท ว่าด้วยการติดไฟ
๗. นหานสิกขาบท ว่าด้วยการอาบน้ำ
๘. ทุพพัณณกรณสิกขาบท ว่าด้วยของสำหรับทำให้เสียสี
๙. วิกัปปนสิกขาบท ว่าด้วยการวิกัปจีวร และ
๑๐. จีวราปนิธานสิกขาบท ว่าด้วยการซ่อนจีวร

680