No Favorites




หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เอกนิบาตชาดก เล่ม ๓ ภาค ๒ – หน้าที่ 362 (เล่ม 56)

ตลอดทาง จนถึงพระนครตักกสิลา มันทำให้ลูกหายไป ติดตาม
ไปแต่คนเดียว พระโพธิสัตว์เสด็จถึงพระนครแล้ว ประทับนั่ง
ณ ศาลาหลังหนึ่ง เเม้ว่านางยักษิณีนั้นเล่า ไม่อาจเข้าไปได้ด้วย
เดชของพระโพธิสัตว์ ก็เนรมิตรูปเป็นนางฟ้า ยืนอยู่ที่ประตูศาลา.
สมัยนั้น พระราชากำลังเสด็จออกจากพระนครตักกสิลา
ไปสู่พระอุทยาน ทรงมีจิตปฏิพัทธ์ ตรัสใช้ราชบุรุษว่า ไปถามซิ
นางคนนี้มีสามีแล้วหรือยังไม่มี ? พวกราชบุรุษเข้าไปหานาง-
ยักษิณี ถามว่า เธอมีสามีแล้วหรือ ? นางตอบว่า เจ้าค่ะ ผู้ที่
นั่งอยู่บนศาลาคนนี้เป็นสามีของดิฉัน. พระโพธิสัตว์ตรัสว่า
นั่นไม่ใช่เมียของข้าพเจ้าดอก มันเป็นนางยักษิณี คนของข้าพเจ้า
๕ คน ถูกมันกินเสียแล้ว ฝ่ายนางยักษิณีก็กล่าวว่า ท่านเจ้าค่ะ
ธรรมดาผู้ชายในยามโกรธ ก็จะพูดเอาตามที่ใจตนปรารถนา.
ราชบุรุษนั้นก็กราบทูลคำของคนทั้งสองแด่พระราชา. พระราชา
รับสั่งว่า ธรรมดาภัณฑะไม่มีเจ้าของ ย่อมตกเป็นของหลวง
แล้วตรัสเรียกยักษิณีมาให้นั่งเหนือพระคชาธาร ร่วมกับพระองค์
ทรงกระทำประทักษิณพระนคร แล้วเสด็จขึ้นสู่ปราสาท ทรง
สถาปนามันไว้ในตำแหน่งอรรคมเหสี เสด็จสรงสนานแต่ง
พระองค์เรียบร้อย เสวยพระกระยาหารในเวลาเย็นแล้ว ก็เสด็จ
ขึ้นพระแท่นที่สิริไสยาสน์ นางยักษิณีนั้นเล่า กินอาหารที่ควร
แก่ตนแล้ว ตกแต่งประดับประดาตน นอนร่วมกับพระราชา
เหนือพระแท่นที่บรรทมอันมีสิริ เวลาที่พระราชาทรงเปี่ยมไป

362
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เอกนิบาตชาดก เล่ม ๓ ภาค ๒ – หน้าที่ 363 (เล่ม 56)

ด้วยความสุขด้วยอำนาจความรื่นรมย์ ทรงบรรทมแล้ว ก็พลิก
ไปทางหนึ่ง ทำเป็นร้องไห้ ครั้นพระราชาตรัสถามมันว่า ดูก่อน
นางผู้เจริญ เจ้าร้องไห้ทำไม ?
นางจึงทูลว่า ทูลกระหม่อมเพคะ กระหม่อมฉัน
เป็นผู้ที่พระองค์ทรงพบที่หนทางแล้วทรงพามา อนึ่งเล่าใน
พระราชวังของพระองค์ ก็มีหญิงอยู่เป็นอันมาก กระหม่อมฉัน
เมื่ออยู่ในกลุ่มหญิงที่ร่วมบำเรอพระบาท เมื่อเกิดพูดกันขึ้นว่า
ใครรู้จัก มารดา บิดา โคตร หรือชาติของเธอเล่า เธอนะ
พระราชาพบในระหว่างทาง แล้วทรงนำมา ดังนี้ จะเหมือนถูก
จับศีรษะบีบ ต้องเก้อเขินเป็นแน่ ถ้าพระองค์พระราชทานความ
เป็นใหญ่ และการบังคับในแว่นแคว้นทั้งสิ้น แก่หม่อมฉัน ใคร ๆ
ก็จักไม่อาจกำเริบจิตกล่าวแก่หม่อมฉันได้เลย. ทรงรับสั่งว่า
นางผู้เจริญ ชาวแว่นแคว้นทั้งสิ้น มิได้เป็นสมบัติบางส่วนของฉัน
ฉันไม่ได้เป็นเจ้าของของพวกนั้น แต่ชนเหล่าใดละเมิดพระราช-
กำหนดกฎหมาย กระทำสิ่งที่ไม่ควรทำ เราเป็นเจ้าของคนพวกนั้น
เท่านั้น ด้วยเหตุนี้ เราจึงไม่อาจให้ความเป็นใหญ่ และการบังคับ
ในแว่นแคว้นทั้งสิ้นแก่เธอได้ นางกราบทูลว่า ทูลกระหม่อม
เพคะ ถ้าพระองค์ไม่สามารถจะพระราชทานการบังคับ
ในแว่นแคว้น หรือในพระนคร ก็ขอได้โปรดพระราชทานอำนาจ
เหนือปวงชนผู้รับใช้ข้างใน ภายในพระราชวัง เพื่อให้เป็นไป
ในอำนาจของหม่อมฉันเถิดพระเจ้าข้า พระราชาทรงติดพระทัย

363
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เอกนิบาตชาดก เล่ม ๓ ภาค ๒ – หน้าที่ 364 (เล่ม 56)

โผฏฐัพพะดุจทิพย์เสียแล้ว ไม่สามารถจะละเลยถ้อยคำของนางได้
ตรัสว่า ตกลงนางผู้เจริญ เราขอมอบอำนาจในหมู่ชนผู้รับใช้
ภายในแก่เธอ เธอจงควบคุมคนเหล่านั้นให้เป็นไปในอำนาจ
ของตนเถิด นางยักษิณีรับคำว่าดีแล้ว พระเจ้าข้า พอพระราชา
บรรทมหลับสนิท ก็ไปเมืองยักษ์ชวนพวกยักษ์มา ยังพระราชา
ของตนให้ถึงชีพิตักษัย เคี้ยวกินหนังเนื้อและเลือดจนหมด เหลือ
ไว้แต่เพียงกระดูก พวกยักษ์ที่เหลือก็พากันเคี้ยวกินคนและสัตว์
ตั้งต้นแต่ไก่และสุนัข ภายในวังตั้งแต่ประตูใหญ่จนหมด เหลือไว้
แต่กระดูก รุ่งเช้าพวกคนทั้งหลาย เห็นประตูวังยังปิดไว้ตามเดิม
ก็พากันพังบานประตูด้วยขวาน แล้วชวนกันเข้าไปภายใน เห็น
พระราชวังทุกแห่งหน เกลื่อนกล่นไปด้วยกระดูก จึงพูดกันว่า
บุรุษคนนั้น พูดไว้เป็นความจริงหนอว่า นางนี้มิใช่เมียของเรา
มันเป็นยักษิณี แต่พระราชาไม่ทรงทราบอะไร ทรงพามันมา
แต่งตั้งให้เป็นมเหสีของพระองค์ พอค่ำมันก็ชวนพวกยักษ์มากิน
คนเสียหมดแล้วไปเสีย เป็นแน่.
ในวันนั้นแม้พระโพธิสัตว์ ก็ทรงใส่ทรายเศกพระปริตที่
ศีรษะ วงด้ายเศกพระปริต ทรงถือพระขรรค์ประทับยืนอยู่
ในศาลานั้น จนรุ่งอรุณ. พวกมนุษย์พากันทำความสะอาด
พระราชนิเวศน์ทั้งสิ้น ฉาบสีเหลือง ประพรมข้างบนด้วยของหอม
โปรยดอกไม้ ห้อยพวงดอกไม้ อบควัน ผูกพวงดอกไม้ใหม่ แล้ว
ปรึกษากันว่า เมื่อวานนี้บุรุษนั้นไม่ได้กระทำแม้เพียงแต่จะ

364
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เอกนิบาตชาดก เล่ม ๓ ภาค ๒ – หน้าที่ 365 (เล่ม 56)

ทำลายอินทรีย์ มองดูยักษิณีอันจำแลงรูปดุจรูปทิพย์เดินมา
ข้างหลังเลย เขาเป็นสัตว์ประเสริฐยิ่งล้น หนักแน่น สมบูรณ์
ด้วยญาณ เมื่อบุรุษเช่นนั้น ปกครองแว่นแคว้น รัฐสีมามณฑล
จักมีแต่สุขสันต์ พวกเราจงทำให้เขาเป็นพระราชาเถิด. ครั้งนั้น
พวกอำมาตย์และชาวเมืองทุกคน ร่วมกันเป็นเอกฉันท์ เข้าไปเฝ้า
พระโพธิสัตว์ กราบทูลว่า ข้าแต่สมมติเทพ เชิญพระองค์ทรง
ครองราชสมบัตินี้เถิด พระเจ้าข้า. เชิญเสด็จเข้าสู่พระนครแล้ว
เชิญขึ้นประทับเหนือกองแก้ว อภิเศก กระทำให้เป็นพระราชา
แห่งตักกสิลายนคร. ท้าวเธอทรงเว้นการลุอคติ ๔ มิให้ราชธรรม
๑๐ กำเริบ ครองราชสมบัติโดยธรรม ทรงบำเพ็ญบุญมีให้ทาน
เป็นต้น แล้วเสด็จไปตามยถากรรม.
พระศาสดาทรงนำเอาเรื่องในอดีตนี้มาสาธก ครั้นตรัสรู้
สัมโพธิญาณแล้ว ตรัสพระคาถานี้ความว่า
" ผู้ปรารถนาทิศที่ยังไม่เคยไป พึงรักษา
จิตของตนไว้ เหมือนคนประคองไปซึ่งโถน้ำมัน
อันเต็มเปี่ยมเสมอขอบ มิได้มีส่วนพร่องเลย"
ดังนี้.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า สมติตฺติกํ ความว่า เต็ม
เสมอขอบ ถึงลวดที่วงปากด้านใน.
บทว่า อนวเสกํ ความว่า การทำให้ใส่ลงไปอีกไม่ได้ คือ
หยดลงไปไม่ได้อีกเลย.

365
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เอกนิบาตชาดก เล่ม ๓ ภาค ๒ – หน้าที่ 366 (เล่ม 56)

บทว่า เตลปตฺตํ ได้แก่โถที่เขาใส่น้ำมันงา.
บทว่า ปริหเรยฺย ความว่า พึงประคองไป คือถือเอาไป.
บทว่า เอวํ สจิตฺตมนุรกฺเข ความว่า พระโยคาวจรผู้เป็น
บัณฑิต พึงประคองจิตของตน อันเป็นดุจโถที่เต็มเปี่ยมด้วย
น้ำมันนั้นไว้ ในระหว่างแห่งธรรมแม้ทั้งสอง คือ ในอารมณ์
กับสติ ที่ประกอบไว้เป็นอันดี แล้วพึงรักษาไว้คือ คุ้มครองไว้
ด้วยกายคตาสติ โดยจิตไม่ซัดส่ายไปในอารมณ์ภายนอก แม้
เพียงครู่เดียวฉันนั้น.
เพราะเหตุไร ?
" เพราะเหตุว่าการฝึกจิตที่ข่มได้ยาก เบา
พลันตกไปในอารมณ์ที่ปรารถนานี้ ยังประโยชน์
ให้สำเร็จ จิตที่ฝึกแล้ว เป็นเหตุนำความสุข
มาให้"
เพราะฉะนั้น :-
"ท่านผู้มีปัญญา พึงรักษาจิตที่เห็นได้ยาก
แท้ ละเอียดลออ พลันตกไปในอารมณ์ที่น่า
ปรารถนา จิตที่คุ้มครองไว้ได้แล้ว นำความสุข
มาให้"
ด้วยว่า :-
" ชนเหล่าใด จักสำรวมจิตนี้ ซึ่งไปได้ไกล
เที่ยวไปโดดเดี่ยว ไม่มีรูปร่าง อาศัยถ้ำ คือ

366
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เอกนิบาตชาดก เล่ม ๓ ภาค ๒ – หน้าที่ 367 (เล่ม 56)

ร่างกายไว้ได้ ชนเหล่านั้น จักพ้นจากบ่วงแห่ง
มารได้ "
ส่วนคนนอกนี้ คือ-
" ผู้ที่มีจิตไม่มั่นคง ไม่ทราบพระสัทธรรม
มีความเลื่อมใสรวนเร ย่อมมีปัญญาบริบูรณ์
ไม่ได้"
ส่วนผู้ที่คุ้นเคยกับพระกรรมฐานมานาน
"มีจิตอันราคะไม่รั่วรดแล้ว มีใจอันโทสะ
ตามกำจัดไม่ได้ ละบุญและบาปเสียได้แล้ว เป็น
ผู้ตื่นอยู่ ย่อมไม่มีภัยเลย"
เพราะฉะนั้น :-
" ผู้มีปัญญา ย่อมกระทำจิตอันดิ้นรน
กวัดแกว่ง รักษาได้ยาก ห้ามได้ยาก ให้ตรง
เหมือนช่างศร ดัดลูกศรฉะนั้น"
เมื่อพระโยคาวจรกระทำจิตให้ตรงอยู่อย่างนี้ ชื่อว่า ตาม
รักษาจิตของตน.
บทว่า ปฏฺฐยมาโน ทิสํ อคตปุพฺพํ ความว่า พระโยคาวจร
เมื่อปรารถนาบริกรรม ในกายคตาสติกรรมฐานนี้แล้ว ปรารถนา
ต้องการทิศที่ยังไม่เคยไป ในสงสารอันไม่มีที่สุดและเบื้องต้น
พึงรักษาจิตของตนโดยนัยดังกล่าวแล้ว.
ก็ที่ชื่อว่า ทิศ นี้ คืออะไร เล่า ?

367
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เอกนิบาตชาดก เล่ม ๓ ภาค ๒ – หน้าที่ 368 (เล่ม 56)

ก่อนอื่น บุตรและภรรยาเป็นต้น ท่านกล่าวว่า เป็นทิศ
ดังในคาถานี้ว่า
" มารดาบิดาเป็นทิศเบื้องหน้า อาจารย์
เป็นทิศเบื้องขวา บุตรภรรยาเป็นทิศเบื้องหลัง
มิตรและอำมาตย์เป็นทิศเบื้องซ้าย ทาสและ
กรรมกรทั้งหลายเป็นทิศเบื้องต่ำ สมณะและ
พราหมณ์เป็นทิศเบื้องบน คฤหัสถ์ชนในสกุล
ไม่พึงประมาท นอบน้อมทิศเหล่านี้"
ยังมีทิศต่าง ๆ แยกประเภทออกเป็นทิศบูรพาเป็นต้น
ท่านก็เรียกว่าทิศ ดังในคาถานี้ว่า :-
" ทิศใหญ่ ๔ ทิศเฉียง ๔ ทิศเบื้องบน
เบื้องต่ำ รวมเป็น ๑๐ ทิศ เหล่านี้ หม่อมฉันได้
เห็นพระยาช้าง ๖ วา ในความฝัน พระยาช้างนั้น
สถิตย์อยู่ทิศไหน ?"
พระนิพพานท่านก็เรียกว่าทิศ ดังในคาถานี้ว่า :-
"คฤหัสถ์ทั้งหลาย ผู้ให้ข้าวน้ำ และผ้า
ท่านกล่าวว่า เป็นทิศแม้ของบรรพชิต ผู้ขอร้อง
ผู้มีทุกข์ ถึงทิศใดเล่าจึงจะมีความสุขได้ ทิศนี้
เป็นทิศอย่างยิ่งนะ เจ้าเสตเกตุ"
แม้ในบาทคาถานี้ ที่ว่า "ทิศที่ไม่เคยไป" ก็ประสงค์เอาทิศ
คือพระนิพพานนั่นแล. เพราะว่า พระนิพพานนั้น ย่อมปรากฏด้วย

368
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เอกนิบาตชาดก เล่ม ๓ ภาค ๒ – หน้าที่ 369 (เล่ม 56)

ลักษณะเป็นต้นว่า ความสิ้นไป ความคลายกำหนัด เหตุนั้น
พระผู้มีพระภาคเจ้า จึงตรัสเรียกว่า ทิศ. ส่วนที่ตรัสว่า ชื่อว่า
ทิศที่ไม่เคยไป เพราะพาลปุถุชนไร ๆ ในสงสารอันหาเบื้องต้น
และเบื้องปลายไม่พบนี้ ไม่เคยไปกันเลยแม้แต่ความฝัน. อัน
พระโยคาวจรผู้ปรารถนาทิศนั้น พึงกระทำความเพียร ในกาย-
คตาสติ.
พระบรมศาสดาทรงถือเอายอดแห่งเทศนา ด้วยพระ-
นิพพาน ด้วยประการฉะนี้ แล้วทรงประชุมชาดกว่า ราชบริษัท
ในครั้งนั้น ได้มาเป็นพุทธบริษัทในครั้งนี้ ส่วนพระราชกุมาร
ผู้ครองราชสมบัติในครั้งนั้น ได้มาเป็นเราตถาคต ฉะนี้แล.
จบ อรรถกถาเตลปัตตชาดกที่ ๖

369
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เอกนิบาตชาดก เล่ม ๓ ภาค ๒ – หน้าที่ 370 (เล่ม 56)

๗. นามสิทธิชาดก
ว่าด้วยชื่อไม่เป็นของสำคัญ
[ ๙๗] " เพราะเห็นคนชื่อ ชีวกะตาย นางธนปาลี
ตกยาก นายปันถกะหลงทางในป่า เจ้าปาปกะ
จึงกลับมา"
จบ นามลิทธิชาดกที่ ๗
อรรถกถานามสิทธิชาดกที่ ๗
พระศาสดา เมื่อประทับอยู่ ณ พระเชตวันมหาวิหาร
ทรงปรารภภิกษุผู้หวังความสำเร็จโดยชื่อ รูปหนึ่ง ตรัสพระ-
ธรรมเทศนานี้มีคำเริ่มต้นว่า ชีวกญฺจ มตํ ทิสฺวา ดังนี้.
ได้ยินว่า กุลบุตรผู้หนึ่ง โดยนาม ชื่อว่า ปาปกะ บวช
ถวายชีวิตในพระศาสนา เมื่อถูกพวกภิกษุเรียกว่า มาเถิด
อาวุโส ปาปกะ หยุดเถิดอาวุโส ปาปกะ ก็คิดว่า ในโลกผู้ที่มี
ชื่อว่า ปาปกะ เขากล่าวกันว่า ลามก เป็นตัวกาฬกรรณี เรา
ต้องให้พระอุปัชฌาย์อาจารย์หาชื่อที่ประกอบไปด้วยมงคล
อย่างอื่น เธอเข้าไปหา อุปัชฌาย์อาจารย์กราบเรียนว่า ข้าแต่
ท่านผู้เจริญ ชื่อของผมเป็นอัปมงคล กรุณาตั้งชื่ออย่างอื่นให้
กระผมเถิด. ครั้งนั้นอาจารย์และอุปัชฌาย์ ก็กล่าวก็เธออย่างนี้

370
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เอกนิบาตชาดก เล่ม ๓ ภาค ๒ – หน้าที่ 371 (เล่ม 56)

ว่า ชื่อเป็นเพียงบัญญัติสำหรับเรียกกัน ขึ้นชื่อว่าความสำเร็จ
ประโยชน์ไร ๆ มิได้มีเพราะชื่อเลย เธอจงพอใจชื่อของตนนั้น
เถิด เธอคงยังอ้อนวอนอยู่ร่ำไป ความที่เธอมุ่งความสำเร็จโดย
ชื่อนี้ เกิดแพร่หลายกระจายไปในสงฆ์ อยู่มาวันหนึ่ง ภิกษุ
ทั้งหลายนั่งประชุมกันในธรรมสภา ตั้งเรื่องสนทนากันว่า ท่าน
ผู้มีอายุทั้งหลาย ได้ยินว่า ภิกษุโน้น มุ่งความสำเร็จโดยชื่อ
ขอให้ช่วยหาชื่อที่เป็นมงคลให้ พระบรมศาสดาเสด็จมาสู่
ธรรมสภา ตรัสถามว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย พวกเธอประชุม
สนทนากันด้วยเรื่องอะไร เมื่อภิกษุทั้งหลายกราบทูลให้ทรงทราบ
แล้ว ตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย มิใช่แต่ในบัดนี้เท่านั้น แม้ใน
กาลก่อน เธอก็มุ่งความสำเร็จเพราะชื่อเหมือนกัน แล้วทรงนำ
เอาเรื่องในอดีตมาสาธกดังต่อไปนี้ :-
ในอดีตกาล พระโพธิสัตว์เสวยพระชาติเป็นอาจารย์ทิศา-
ปาโมกข์ บอกมนต์กะมาณพ ๕๐๐ ในพระนครตักกสิลา มาณพ
ผู้หนึ่งของท่าน ชื่อ ปาปกะ โดยนาม ถูกเขาเรียกอยู่ว่า มาเถิด
ปาปกะ ไปเถิดปาปกะ คิดว่า ชื่อของเราเป็นอัปมงคล ต้อง
ขอให้อาจารย์ตั้งชื่ออื่นให้ใหม่ เขาไปหาอาจารย์เรียนว่า ท่าน
อาจารย์ขอรับ ชื่อของกระผมเป็นอัปมงคล โปรดตั้งชื่ออย่างอื่น
ให้เถิดขอรับ ครั้งนั้นอาจารย์ได้กล่าวกะเขาว่า ไปเถิดพ่อ เจ้า
จงเที่ยวไปตามชนบทแล้ว กำหนดเอาชื่อที่เป็นมงคล ชื่อหนึ่ง
ที่ตนชอบใจอย่างยิ่งแล้วมา เราจักเปลี่ยนชื่อของเจ้าเป็นชื่อ

371