No Favorites




หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เอกนิบาตชาดก เล่ม ๓ ภาค ๒ – หน้าที่ 342 (เล่ม 56)

กับผู้ไม่คุ้นเคยนั้น ผู้ใดแม้ในกาลก่อนจะไม่เคยเป็นภัย เป็นผู้
สนิทสนมมักคุ้นอยู่กับตน แม้ในมักคุ้นกันนั้น ก็ไม่ควรวางใจ
คือไม่พึงทำความสนิทสนมเลยทีเดียว เพราะเหตุไร ? เพราะ
ภัยย่อมมาจากผู้ที่คุ้นเคยกัน ได้แก่ภัยนั่นแหละ ย่อมมาแต่ความ
คุ้นเคยทั้งในมิตร ทั้งในอมิตร อย่างไร ? เหมือนอย่างภัยของ
ราชสีห์ เกิดแต่แม่เนื้อฉะนั้น คืออย่างเดียวกันกับภัยที่มาถึง
กระชั้นชิดประจวบเข้าแก่สีหะ จากสำนักแม่เนื้อที่ตนกระทำ
ความวางใจ ด้วยอำนาจมิตตสันถวะ อีกนัยหนึ่งมีอธิบายว่า
อย่างเดียวกันกับแม่เนื้อที่ปรารถนาจะมาหา เข้าใกล้สีหะด้วย
ความพิศวาสดังนี้บ้าง.
พระโพธิสัตว์แสดงธรรมแก่บริษัทที่มาประชุมกัน ด้วย
ประการฉะนี้ ทำบุญทั้งหลายมีให้ทานเป็นต้น แล้วไปตาม
ยถากรรม.
พระศาสดาทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแล้ว ทรงประชุม
ชาดกว่า มหาเศรษฐีในครั้งนั้น ได้เป็นเราตถาคต ฉะนี้แล.
จบ อรรถกถาวิสสาสโภชนชาดกที่ ๓

342
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เอกนิบาตชาดก เล่ม ๓ ภาค ๒ – หน้าที่ 343 (เล่ม 56)

๔. โลมหังสชาดก
ว่าด้วยการแสวงหาอย่างประเสริฐ
[๙๔] " เราเร่าร้อนแล้ว หนาวเหน็บแล้ว อยู่
ผู้เดียวในป่าอันน่าสะพึงกลัว เป็นคนเปลือย
ไม่ได้ผิงไฟ เป็นมุนีขวนขวายแล้ว ในการ
แสวงบุญ "
จบ โลมหังสชาดกที่ ๔
อรรถกถาโลมหังสชาดกที่ ๔
พระศาสดาทรงอาศัยพระนครเวสาลี ประทับอยู่ ณ
ปาฏิการาม ทรงปรารภท่านพระสุนักขัตตะ ตรัสพระธรรม-
เทศนานี้ มีคำเริ่มต้นว่า โสตตฺโต โสสีโต ดังนี้.
ความพิสดารว่า สมัยหนึ่งท่านพระสุนักขัตตะเป็นผู้
อุปัฏฐากพระศาสดา ถือบาตรจีวรตามเสด็จไป เกิดพอใจธรรม
ของโกรักขัตติยปริพาชก ถวายบาตรจีวรคืนพระทศพล ไปอาศัย
โกรักขัตติยปริพาชก ในเมื่อโกรักขัตติยปริพาชกนั้นไปเกิดใน
กำเนิดอสูรพวกกาลัญชิกะ จึงสึกเป็นคฤหัสถ์เที่ยวกล่าวติโทษ
พระศาสดา ตามแนวกำแพงทั้ง ๓ ในพระนครเวสาลีว่า อุตตริ-
มนุษยธรรม คือญาณทัสสนอันวิเศษซึ่งพอแก่ความเป็นพระอริยเจ้า

343
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เอกนิบาตชาดก เล่ม ๓ ภาค ๒ – หน้าที่ 344 (เล่ม 56)

ของพระสมณโคดม ไม่มีดอก พระสมณโคดมแสดงธรรมที่ตน
กำหนดนึกเอาเอง ค้นคว้าเอาตามที่สอบสวน เป็นปฏิภาณ
ของตนเอง และธรรมที่พระสมณโคดมแสดงนั้นเล่า ก็มิได้
นำไปเพื่อความสิ้นทุกข์โดยชอบ แก่ผู้ปฏิบัติตาม คราวนั้น
ท่านพระสารีบุตรเถระเจ้า เที่ยวบิณฑบาต ได้ยินเขากล่าวติโทษ
เรื่อยมา กลับจากบิณฑบาตแล้ว ก็กราบทูลข้อความนั้นแด่
พระผู้มีพระภาคเจ้า. พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า ดูก่อนสารีบุตร
สุนักขัตตะเป็นคนมักโกรธ เป็นโมฆบุรุษ กล่าวอย่างนี้ด้วย
อำนาจความโกรธเท่านั้น กล่าวอยู่ว่า ธรรมนั้นมิได้นำไป
เพื่อความสิ้นทุกข์โดยชอบ แก่ผู้ปฏิบัติตามนั้น ดังนี้ แม้ต้อง
อำนาจแห่งความโกรธมาก เพราะเหตุที่ไม่รู้จริง จึงกล่าวโทษ
เราอยู่ตลอดเวลา ก็เขาเป็นโมฆบุรุษ จึงไม่รู้คุณของเรา
เลย ดูก่อนสารีบุตร ที่แท้คุณพิเศษที่ชื่อว่า อภิญญา ๖ ของ
เราก็มี แม้ข้อนี้ก็เป็นอุตตริมนุษยธรรมของเราเหมือนกัน
พล ๑๐ ก็มี เวสารัชชญาณ ๔ ประการก็มี ญาณที่จะ
กำหนดรู้กำเนิดทั้ง ๔ ก็มี ญาณที่จะกำหนดรู้คติทั้ง ๕
ก็มี แม้ข้อนี้ก็เป็นอุตตริมนุษยธรรมของเราเหมือนกัน ก็ผู้ใด
กล่าวว่า เราผู้ถึงพร้อมด้วยอุตตริมนุษยธรรมเพียงเท่านี้ อย่างนี้
ว่า อุตตริมนุสสธรรมของพระสมณโคดมไม่มีดอก ผู้นั้นไม่ละคำ
นั้น ไม่ละความคิดนั้น ไม่ถอนคืนความเห็นนั้น ย่อมถูกฝังในนรก
เหมือนกับถูกจับมาฝัง ฉะนั้น ครั้นตรัสพระคุณแห่งอุตตริมนุษย-

344
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เอกนิบาตชาดก เล่ม ๓ ภาค ๒ – หน้าที่ 345 (เล่ม 56)

ธรรม ที่มีในพระองค์อย่างนี้แล้ว จึงตรัสว่า ดูก่อนสารีบุตร ได้ยิน
ว่า สุนักขัตตะ เลื่อมใสในมิจฉาตบะ ด้วยกิริยาแห่งกรรมอัน
บุคคลทำได้ยากของโกรักขัตติยะ เมื่อเลื่อมใสอยู่ ก็ไม่สมควร
จะเลื่อมใสในเราทีเดียว ที่จริงในที่สุดแห่งกัป ๙๑ แต่ภัททกัปนี้
เราทดลองมิจฉาตบะของลัทธิภายนอก เพื่อจะรู้ว่าสาระในตบะ
นั้นมีจริงหรือไม่ อยู่บำเพ็ญพรหมจรรย์อันประกอบด้วยองค์ ๔
เรากล่าวได้ว่า เป็นผู้เรืองตบะ เรืองตบะอย่างยอดเยี่ยม เป็น
ผู้เศร้าหมอง เศร้าหมองอย่างยอดเยี่ยม เป็นผู้น่าเกลียด น่าเกลียด
อย่างยอดเยี่ยม เป็นผู้เงียบ เงียบอย่างยอดเยี่ยม ดังนี้ อันพระ-
เถระเจ้ากราบทูลอาราธนา จึงทรงทำเอาเรื่องในอดีตมาสาธก
ดังต่อไปนี้ :-
ในอดีตกาลที่สุดแห่งกัปที่ ๙๑ พระโพธิสัตว์ดำริว่า เรา
จักทดลองตบะของพวกนอกลู่นอกทางดู จึงบวชเป็นอาชีวก ไม่
นุ่งผ้า คลุกเคล้าด้วยธุลี เงียบฉี่อยู่คนเดียว เห็นพวกมนุษย์แล้ว
ต้องวิ่งหนี เหมือนมฤคมีมหาวิกัติเป็นโภชนะ บริโภคโคมัยแห่ง
ลูกโคเป็นต้น เพื่อจะอยู่ด้วยความไม่ประมาท จึงอยู่ในไพรสณฑ์
เปลี่ยวตำบลหนึ่งในราวไพร เมื่ออยู่ในถิ่นนั้น เวลาหิมะตกตอน
กลางคืน ออกจากไพรสณฑ์ อยู่กลางแจ้ง ชุ่มโชกด้วยน้ำหิมะ
เวลากลางวันก็ทำนองเดียวกัน ให้ตนชุ่มโชกด้วยหยาดน้ำที่ไหล
จากไพรสณฑ์ เสวยทุกข์แต่ความหนาว ทั้งกลางวันกลางคืน
อยู่อย่างนี้ อนึ่งในเดือนท้ายแห่งฤดูร้อน ตอนกลางวันก็ถึงความ

345
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เอกนิบาตชาดก เล่ม ๓ ภาค ๒ – หน้าที่ 346 (เล่ม 56)

รุ่มร้อนด้วยแสงแดด ณ ที่โล่ง กลางคืนก็อย่างนั้นเหมือนกับถึง
ความรุ่มร้อนอยู่ในไพรสณฑ์ที่ปราศจากลม หยาดเหงื่อไหลออก
จากสรีระ ครั้งนั้น คาถานี้ที่ไม่เคยได้ยินมาก่อนเลย ได้ปรากฏ
แจ่มแจ้งว่า :-
" เราเร่าร้อนแล้ว หนาวเหน็บแล้ว อยู่
ผู้เดียวในป่าอันน่าสพึงกลัว เป็นคนเปลือย ไม่ได้
ผิงไฟ เป็นมุนีขวนขวายแล้ว ในการแสวงบุญ "
ดังนี้.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า โสตตฺโต ความว่า เราเร่าร้อน
ด้วยความแผดเผาจากดวงอาทิตย์.
บทว่า โสสีโต ความว่า เราหนาวเหน็บ คือชุ่มโชกด้วย
น้ำหิมะ.
ด้วยบทว่า เอโก ภิสนเก วเน นี้ ท่านแสดงความว่า เรา
อยู่แต่ผู้เดียว ไม่มีเพื่อนเลย ในป่าชัฎอันน่าสพึงกลัวถึงกับทำให้
ผู้ที่เข้าไปแล้วต้องขนลุกขนพองโดยมาก.
ด้วยบทว่า นคฺโค น จคฺคิมาสีโน นี้ท่านแสดงว่า เรา
เป็นคนเปลือย ทั้งไม่ได้ผิงไฟ คือแม้จะถูกลมหนาวเบียดเบียน
ก็มิได้อาศัยผ้านุ่งผ้าห่มเป็นต้น และไม่ได้ผิงไฟอีกด้วย.
ด้วยบทว่า เอสนาปสุโต นี้ท่านแสดงว่า แม้ในอพรหมจรรย์
ก็มีความมั่นหมายว่า เป็นพรหมจรรย์ในความเพียรนั้น คือเป็น
ผู้ขวนขวายพากเพียร ถึงความมั่นหมายในการแสวงหาพรหม-

346
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เอกนิบาตชาดก เล่ม ๓ ภาค ๒ – หน้าที่ 347 (เล่ม 56)

จรรย์นั้นอย่างนี้ว่า ก็แลข้อนี้เป็นพรหมจรรย์แท้ การแสวงหา
และการค้นหาเป็นอุบายแห่งพรหมโลก.
ด้วยบทว่า มุนี ท่านแสดงว่า ได้เป็นผู้อันชาวโลก
ยกย่องอย่างนี้ว่า ท่านผู้นี้ ปฏิบัติเพื่อต้องการญาณเป็นเครื่องรู้
เป็นมุนีแล.
ก็พระโพธิสัตว์ประพฤติพรหมจรรย์ ประกอบด้วยองค์ ๔
อย่างนี้. เล็งเห็นลางนรกปรากฏชัดขึ้นในเวลารุ่งอรุณ ก็ทราบว่า
การสมาทานวัตรนี้ไร้ประโยชน์ จึงทำลายลัทธินั้นเสียในขณะ
นั้นเอง กลับถือสัมมาทิฏฐิ เกิดในเทวโลกแล้ว.
พระบรมศาสดา ครั้นทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแล้ว
ทรงประชุมชาดกว่า สมัยนั้นเราตถาคตได้เป็นอาชีวกนั้นแล.
จบ อรรถกถาโลมหังสชาดกที่ ๔

347
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เอกนิบาตชาดก เล่ม ๓ ภาค ๒ – หน้าที่ 348 (เล่ม 56)

๕. มหาสุทัสสนชาดก
ว่าด้วยสังขารไม่เที่ยง
[๙๕] "สังขารทั้งหลายไม่เที่ยงหนอ มีความ
เกิดขึ้น และความเสื่อมไปเป็นธรรมดา เกิดขึ้น
แล้วย่อมดับไป ความที่สังขารเหล่านั้นสงบระงับ
เป็นสุข"
จบ มหาสุทัสสนชาดกที่ ๕
อรรถกถามหาสุทัสสนชาดกที่ ๕
พระบรมศาสดา บรรทมเหนือแท่นปรินิพพาน ทรง
ปรารภคำของพระอานนทเถระเจ้าที่ว่า พระผู้มีพระภาคเจ้า
อย่าเสด็จปรินิพพาน ในพระนครเล็ก ๆ นี้เลย ตรัสพระธรรม-
เทศนานี้ มีคำเริ่มต้นว่า อนิจฺจา วต สงฺขารา ดังนี้.
ความย่อว่า เมื่อพระตถาคตเจ้าประทับอยู่ ณ พระเชตวัน-
มหาวิหาร ท่านพระสารีบุตรเถระเจ้า ปรินิพพานแล้ว ณ ห้อง
ที่ท่านเกิด ในหมู่บ้านนาลกะ เมื่อวันเพ็ญเดือน ๑๒ พระมหา-
โมคคัลลานะ ปรินิพพานในวันอมาวสี (สิ้นเดือน) ในกาฬปักษ์
ของเดือน ๑๒ นั่นเอง. พระศาสดาทรงพระดำริว่า เมื่อคู่อัคร-
สาวกปรินิพพานแล้วอย่างนี้ แม้เราก็จักปรินิพพานในเมือง-
กุสินารา เสด็จจาริกไปโดยลำดับในเมืองนั้น เสด็จบรรทมด้วย

348
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เอกนิบาตชาดก เล่ม ๓ ภาค ๒ – หน้าที่ 349 (เล่ม 56)

อนุฏฐานไสยาเหนือพระแท่น ผันพระเศียรทางอุตตรทิศ ระหว่าง
ไม้รังทั้งคู่. ครั้งนั้น พระอานนทเถระเจ้า กราบทูลวิงวอนพระองค์
ว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ พระผู้มีพระภาคเจ้าอย่าเสด็จปรินิพพาน
ในเมืองเล็ก ๆ นี้ เป็นเมืองดอน เป็นเมืองเขิน เป็นเมืองกิ่ง เชิญ
พระองค์เสด็จปรินิพพาน ณ เมืองมหานคร เมืองใดเมืองหนึ่ง
บรรดามหานคร มีจัมปากะและราชคฤห์เป็นต้นอื่น ๆ พระศาสดา
ตรัสว่า อานนท์ เธออย่ากล่าวว่า นครนี้เป็นเมืองเล็ก ๆ เมืองดอน
เมืองกิ่ง ครั้งก่อนในรัชกาลแห่งพระเจ้าจักรพรรดิสุทัสสนะ
เราอยู่ในเมืองนี้ ในครั้งนั้นเมืองนี้แวดล้อมด้วยกำแพง ๑๒ โยชน์
เป็นมหานครมาแล้ว พระเถระเจ้ากราบทูลอาราธนา ทรงนำ
เอาเรื่องในอดีตมาสาธก มหาสุทัสสนสูตร ดังต่อไปนี้ :-
ก็ในครั้งนั้น เมื่อพระนางสุภัททาเทวี ทอดพระเนตรเห็น
พระเจ้ามหาสุทัสสนะ เสด็จลงจากปราสาทสุธัมมา เสด็จบรรทม
โดยอนุฏฐานไสยา โดยพระปรัศเบื้องขวา เหนือพระแท่น
อันสมควร ล้วนแล้วไปด้วยแก้ว ๗ ประการ อันราชบุรุษจัดไว้
ในป่าตาลไม่ไกลนัก จึงกราบทูลว่า ข้าแต่พระทูลกระหม่อม
พระนครแปดหมื่นสี่พัน มีราชธานีกุสาวดี เป็นประมุขเหล่านี้
เป็นของทูลกระหม่อม โปรดพอพระทัยในพระนครเหล่านี้เถิด
พระเจ้ามหาสุทัสสนะตรัสว่า เทวี อย่าได้พูดอย่างนี้เลย จง
ตักเตือนเราอย่างนี้เถิดว่า พระองค์จงกำจัดความพอใจในพระนคร
เหล่านี้เสียให้จงได้เถิด อย่าทรงกระทำความเพ่งเล็งเลย พระเทวี

349
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เอกนิบาตชาดก เล่ม ๓ ภาค ๒ – หน้าที่ 350 (เล่ม 56)

ทูลถามว่า เพราะเหตุไรเล่า พระเจ้าข้า ? ตรัสว่า เราจักต้อง
ตายในวันนี้. ทันใดนั้นพระเทวีทรงพระกรรแสงเช็ดพระเนตร
ตรัสคำอย่างนั้นกะพระเจ้ามหาสุทัสสนะ โดยยากลำบาก เอาแต่
ทรงพระกรรแสงร่ำไห้ เหล่าสตรีแปดหมื่นสี่พันนางแม้ที่เหลือ
ก็พากันร้องไห้ร่ำไร ถึงในหมู่อำมาตย์เป็นต้น แม้คนเดียวก็ไม่อาจ
อดกลั้นความโศกไว้ได้ ต่างร้องไห้ระงมทั่วกัน พระโพธิสัตว์
ห้ามคนทั้งหมดว่า อย่าเลยพนาย อย่าได้ส่งเสียงคร่ำครวญไปเลย
เพราะสังขารที่ชื่อว่า เที่ยง แม้เท่าเมล็ดงาไม่มีเลย ทุกอย่าง
ไม่เที่ยง มีความแตกดับเป็นธรรมดาทั้งนั้น เมื่อจะทรงสั่งสอน
พระเทวีตรัสพระคาถานี้ ความว่า
"สังขารทั้งหลาย ไม่เที่ยงหนอ มีความ
เกิดขึ้น และความเสื่อมไป เป็นธรรมดา เกิดขึ้น
แล้วก็ดับไป การเข้าไประงับสังขารเหล่านั้น
เสียได้เป็นสุข" ดังนี้.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อนิจฺจา วต สงฺขารา ความว่า
ดูก่อนสุภัททาเทวีผู้เจริญ สังขารทั้งหลายมีขันธ์และอายตนะ
เป็นต้น อันปัจจัยมีประมาณเท่าใดมาประชุมก่อกำเนิดไว้ ทั้งหมด
นั้น ชื่อว่าไม่เที่ยงไปทั้งหมด เพราะบรรดาสังขารเหล่านี้ รูป
ไม่เที่ยง ฯลฯ วิญญาณไม่เที่ยง จักษุไม่เที่ยง ฯลฯ ธรรมทั้งหลาย
ไม่เที่ยง รวมความว่าสิ่งที่ยังความยินดีให้เกิด ทั้งที่มีวิญญาณ

350
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เอกนิบาตชาดก เล่ม ๓ ภาค ๒ – หน้าที่ 351 (เล่ม 56)

และหาวิญญาณมิได้ มีอันใดบ้าง อันนั้นทั้งหมด ไม่เที่ยงทั้งนั้น
ด้วยเหตุนี้จงกำหนดถือเอาว่า สังขารทั้งหลายไม่เที่ยงหนอ.
เพราะเหตุไร ? เพราะเป็นอุปปาทวยธรรม คือ เพราะสังขาร
เหล่านี้ทั้งหมดมีความเกิดขึ้นเป็นธรรมดาด้วย และมีความเสื่อม
เป็นธรรมดาด้วย ล้วนมีความเกิดขึ้นและความแตกดับเป็น
สภาวะทั้งนั้น เพราะเหตุนั้น บัณฑิตพึงทราบเถิดว่า เป็นของ
ไม่เที่ยง ก็เพราะไม่เที่ยง จึงเกิดแล้วก็ดับ คือแม้จะเกิดแล้ว
ถึงความดำรงอยู่ได้ ก็ต้องดับทั้งนั้น แท้จริง สังขารเหล่านี้
ทุกอย่างกำลังเกิด ชื่อว่าย่อมเกิดขึ้น กำลังสลาย ชื่อว่าย่อมดับ
เมื่อความเกิดขึ้นแห่งสังขารเหล่านั้น มีอยู่ ชื่อว่า ฐีติ จึงมีได้
เมื่อ ฐิติมีอยู่ ชื่อว่า ภังคะ จึงมีได้ เพราะเมื่อสังขารไม่เกิดขึ้น
ฐีติก็มีไม่ได้, ฐีติขณะปรากฏแล้ว ชื่อว่าความไม่แตกดับ ก็
ไม่มี เพราะฉะนั้น สังขารแม้ทั้งหมด ถึงขณะทั้ง ๓ แล้ว
ก็ย่อมดับไปในขณะนั้น ๆ เอง เพราะเหตุนั้น สังขารเหล่านี้
แม้ทั้งหมด จึงเป็นของไม่เที่ยง เป็นไปชั่วขณะ เป็นสิ่งเปลี่ยนแปลง
ได้ ไม่ยั่งยืน เปื่อยเน่า หวั่นไหว โยกคลอน ตั้งอยู่ได้ไม่นาน
แปรผันได้ เป็นของชั่วคราว ไร้สาระ เป็นเช่นกับของหลอกลวง
พยับแดด และฟองน้ำ ด้วยอรรถว่า เป็นของเป็นไปชั่วขณะ.
ดูก่อนสุภัททาเทวีผู้เจริญ เพราะเหตุไรเธอจึงยังสุขสัญญา
(ความสำคัญว่าเป็นสุข) ให้บังเกิดขึ้นในสังขารทั้งหลายเหล่านั้น
เล่า อย่าได้ถือเอาอย่างนั้นเลย.

351