No Favorites


หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เอกนิบาตชาดก เล่ม ๓ ภาค ๒ – หน้าที่ 192 (เล่ม 56)

เสียงร่ำไห้ดังสนั่นของพระราชกุมาร ก็ดำริว่า ในเมื่อดาบส
ผู้สมบูรณ์ด้วยเมตตากรุณายังอยู่ จะปล่อยให้บุรุษนี้ตายไม่ควร
เลย เราจักช่วยเขาให้ขึ้นจากน้ำ ให้เขารอดชีวิต แล้วก็ปลอบ
พระราชกุมารว่า อย่ากลัวเลย ว่ายตัดกระแสน้ำไปเกาะท่อนไม้
ที่ปลายข้างหนึ่งฉุดมา ท่านมีกำลังดังช้างสาร สมบูรณ์ด้วย
เรี่ยวแรง พักเดียวก็ถึงฝั่ง อุ้มพระกุมารขึ้นไว้บนฝั่ง ครั้นเห็น
สัตว์ทั้งหลายมีงูเป็นต้น ก็ช่วยนำขึ้นไปสู่อาศรมบท ก่อไฟแล้ว
คิดว่า สัตว์เหล่านี้อ่อนแอกว่า ก็ให้งูเป็นต้นผิงไฟก่อน ให้พระ-
ราชกุมารผิงไฟทีหลัง กระทำให้หายหนาว ถึงเมื่อจะให้อาหาร
ก็ให้แก่งูเป็นต้นก่อน แล้วนำผลไม้ไปให้พระราชกุมารทีหลัง.
พระราชกุมารทรงพระดำริว่า ดาบสโกงผู้นี้ มิได้นับถือเรา
ผู้เป็นพระราชกุมาร กลับยกย่องพวกสัตว์ดิรัจฉาน จึงผูก
อาฆาตในพระโพธิสัตว์. แต่ต่อจากนั้นล่วงไปได้สอง-สามวัน
ครั้นพระกุมารและสัตว์เหล่านั้นแม้ทั้งหมด มีเรี่ยวแรงเป็นปกติ
แล้ว กระแสน้ำในแม่น้ำก็แห้งแล้ว งูไหว้พระดาบสแล้วกล่าวว่า
ข้าแต่พระคุณท่านผู้เจริญ พระคุณเจ้าได้กระทำอุปการะอย่าง
ใหญ่หลวงแก่ข้าพเจ้า ก็แลข้าพเจ้ามิใช่ผู้ขัดสน ฝังเงินไว้ ๔๐
โกฏิ ในที่ชื่อโน้น เมื่อพระคุณเจ้าจะใช้สอยทรัพย์ ข้าพเจ้า
สามารถถวายทรัพย์แม้ทั้งหมดนั้นแด่พระคุณเจ้าได้ พระคุณเจ้า
จงไปที่นั้น แล้วเรียกข้าพเจ้าว่า ทีฆะ เถิด แล้วก็ลาไป. ฝ่ายหนู
ก็ปวารณาพระดาบสไว้อย่างนั้นเหมือนกัน กล่าวว่า เมื่อพระ-

192
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เอกนิบาตชาดก เล่ม ๓ ภาค ๒ – หน้าที่ 193 (เล่ม 56)

คุณเจ้าต้องการจะใช้สอย จงไปยืนอยู่ในที่ชื่อโน้น เรียกข้าพเจ้า
ว่า "อุนทุระ" เถิด ดังนี้แล้วก็ลาไป. ส่วนนกแขกเต้า ไหว้พระ-
ดาบสแล้วกล่าวว่า ข้าแต่พระคุณเจ้าเจริญ ข้าพเจ้าไม่มีทรัพย์
แต่เมื่อพระคุณเจ้าจะต้องการข้าวสาลีแดงละก็ โปรดไปที่อยู่
ของข้าพเจ้า ในที่ชื่อโน้น เรียกข้าพเจ้าว่า "สุวะ" ข้าพเจ้า
สามารถจะบอกแก่ฝูงญาติ ให้ช่วยขนข้าวสาสีสีแดงมาถวายได้
หลายเล่มเกวียน แล้วลาไป. ฝ่ายพระราชกุมาร เพราะฝังใจใน
ธรรมของผู้ประทุษร้ายมิตร เป็นสันดาน คิดได้ว่า การที่เรา
จะไม่พูดอะไร ๆ บ้าง ไปเสียเฉย ๆ ไม่เหมาะเลย เราจักฆ่า
ดาบสเสียเวลาที่ท่านมาหาเรา จงกล่าวว่า ข้าแต่พระคุณเจ้า
ผู้เจริญ เมื่อข้าพเจ้าดำรงอยู่ในราชสมบัติแล้ว นิมนต์มาเถิด
กระผมจักบำรุงพระคุณเจ้าด้วยปัจจัย ๔ แล้วก็ลาไป. พระกุมาร
นั้นเสด็จไปได้ไม่นาน ก็ดำรงอยู่ในราชสมบัติ.
พระโพธิสัตว์ดำริว่า เราจักทดสอบคนเหล่านั้น ดังนี้แล้ว
จึงไปสู่สำนักงูก่อน ยืนอยู่ไม่ห่าง เรียกว่า "ทีฆะ". เพียงคำเดียว
เท่านั้น งูก็เลื้อยออกมาไหว้พระโพธิสัตว์กล่าวว่า ข้าแต่พระคุณ-
เจ้าผู้เจริญ ที่ตรงนี้มีทรัพย์อยู่ ๔๐ โกฏิ นิมนต์พระคุณเจ้าขุด
ค้นขนเอาไปให้หมดเถิด. พระโพธิสัตว์กล่าวว่า เอาไว้อย่างนี้แหละ
เมื่อมีกิจเกิดขึ้นจึงจะรู้กัน บอกให้งูกลับไปแล้วเลยไปสำนัก
ของหนู เอ่ยเสียงเรียก. แม้หนูก็ปฏิบัติดังนั้นเหมือนกัน. พระ-
โพธิสัตว์ก็บอกให้หนูกลับไป. เลยไปสำนักนกแขกเต้า เรียกว่า

193
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เอกนิบาตชาดก เล่ม ๓ ภาค ๒ – หน้าที่ 194 (เล่ม 56)

"สุวะ" เพียงคำเดียวเท่านั้นเหมือนกัน นกแขกเต้าก็โผลงจาก
ยอดไม้ ไหว้พระโพธิสัตว์แล้วถามว่า ข้าแต่พระคุณเจ้าผู้เจริญ
กระผมจักต้องไปหาพวกญาติของกระผมให้ช่วยขนข้าวสาลี
ที่เกิดเอง จากหิมวันตประเทศ มาถวายพระคุณเจ้าหรือขอรับ ?
พระโพธิสัตว์กล่าวว่า เมื่อต้องการค่อยรู้กัน บอกให้นกแขกเต้า
กับไป แล้วคิดว่า คราวนี้เราจักทดสอบพระราชา จึงไปพัก
อยู่ที่พระราชอุทยาน รุ่งขึ้นก็สำรวมมรรยาทเรียบร้อย เข้าไปสู่
พระนคร ด้วยภิกขาจารวัตร. ในขณะนั้น พระราชาผู้ทำลาย
มิตรพระองค์นั้น ประทับเหนือคอพระคชาธารอันตกแต่งแล้ว
กระทำปทักษิณพระนคร ด้วยข้าราชบริพารขบวนใหญ่ เห็น
พระโพธิสัตว์แต่ไกลทีเดียว ทรงพระดำริว่า ดาบสผู้นี้ คือ
ดาบสโกงคนนั้น คงประสงค์จะอยู่ในสำนักของเรา จึงได้มา ต้อง
ให้ราชบุรุษตัดศีรษะเสียทันที มิทันให้แก่ประกาศคุณที่ทำไว้
แก่เรา ในท่ามกลางฝูงคนได้ แล้วทรงมองดูราชบุรุษ ในเมื่อ
ราชบุรุษกราบทูลถามว่า ข้าแต่สมมติเทพ ข้าพระพุทธเจ้าทั้งหลาย
ต้องทำอะไร พระเจ้าข้า ? จึงรับสั่งว่า ดาบสโกงนั้น ชะรอย
จะมามุ่งขออะไรเราสักอย่าง พวกเจ้าต้องไม่ให้ดาบสกาลกรรณี
ผู้นั้น เห็นเรา จับมันไปมัดมือไพร่หลัง เฆี่ยนทุก ๔ แยก นำออก
จากพระนคร ตัดหัวมันเสียที่ตะแลงแกง แล้วเอาตัวเสียบหลาวไว้
ราชบุรุษเหล่านั้นรับสนองพระบรมราชโองการแล้ว พากันไป
มัดพระโพธิสัตว์ ผู้ปราศจากความผิด เฆี่ยนไปทุก ๔ แยก

194
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เอกนิบาตชาดก เล่ม ๓ ภาค ๒ – หน้าที่ 195 (เล่ม 56)

แล้วเตรียมจะนำไปสู่ตะแลงแกง. พระโพธิสัตว์มิได้คร่ำครวญ
เลยว่า พ่อแม่ทั้งหลาย ในสถานที่ถูกเฆี่ยนทุกแห่ง ปราศจาก
ความสะทกสะท้าน กล่าวคาถานี้ ความว่า
" เป็นความจริง ดังที่ได้ยินมาว่า คนบาง
จำพวกในโลกนี้ เคยกล่าวว่าไม้ลอยน้ำยัง
ประเสริฐกว่า แต่คนบางคนไม่ประเสริฐเลย "
ดังนี้.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า สจฺจํ กิเรวมาหํสุ ความว่า
ได้ยินว่า บัณฑิตทั้งหลายกล่าวไว้อย่างนี้ไม่ผิดเลย.
บทว่า นรา เอกจฺจิยา อิธ ความว่า บุรุษผู้เป็นบัณฑิต
บางพวกในโลกนี้.
บทว่า กฏฺฐํ นิปฺผวิตํ เสยฺโย ความว่า ได้ยินว่าบุรุษผู้
เป็นบัณฑิตเหล่านั้น ที่กล่าวว่า ไม้แห้งที่เป็นไม้เบา ๆ ลอยอยู่
ในแม่น้ำ เอาขึ้นวางไว้บนบก นั้นประเสริฐกว่า คือมันยังดี นั้น
กล่าวไว้เป็นความจริง. เพราะเหตุไร ? เพราะว่าไม้นั้น ยังเป็น
อุปการะแก่ความต้องการ ในอันจะต้มจะหุงข้าวยาคู และข้าวสวย
ก็ได้ เป็นอุปการะแก่ความต้องการในอันจะผิงไฟของหมู่ชน
ผู้เดือดร้อนด้วยความหนาวก็ได้ เป็นอุปการะแก่ความต้องการ
ในอันกำจัดอันตรายอื่น ๆ ก็ได้
บทว่า น เตฺวเวกจฺจิโย นโร ความว่า ส่วนบุคคลบางคน
คือ คนทำลายมิตร คนอกตัญญู คนใจบาป ถูกกระแสน้ำพัด

195
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เอกนิบาตชาดก เล่ม ๓ ภาค ๒ – หน้าที่ 196 (เล่ม 56)

ลอยไป ช่วยฉุดมือให้ขึ้นจากแม่น้ำได้ ไม่ประเสริฐเลย เป็น
ความจริงทีเดียว เราช่วยคนใจบาปนี้ให้รอดชีวิตได้ กลับเป็น
อันนำทุกข์มาให้ตน.
พระโพธิสัตว์กล่าวคาถานี้ในที่ที่ถูกเฆี่ยนทุกแห่ง ด้วย
ประการฉะนี้. ฝูงชนต่างได้ยินคำเป็นคาถานั้น ท่านพวกที่เป็น
บัณฑิตในหมู่นั้น พากันกล่าวว่า ข้าแต่ท่านนักพรตผู้เจริญ ท่าน
กระทำคุณอะไรไว้แก่พระราชาของพวกเราหรือ ? พระโพธิสัตว์
จึงเล่าเรื่องนั้นแล้วกล่าวว่า เราเองเป็นผู้ช่วยพระราชานี้ให้ขึ้น
จากห้วงน้ำใหญ่ กลับเป็นการทำทุกข์ให้แก่ตนอย่างนี้ เรามา
หวลรำลึกได้ว่า เราไม่ได้กระทำตามคำของบัณฑิต แต่ครั้งก่อน
สิหนอ จึงกล่าวอย่างนี้. ชาวพระนคร มีกษัตริย์และพราหมณ์
เป็นต้น ฟังคำนั้นแล้ว พากันกล่าวว่า เพราะอาศัยพระราชา
ผู้ทำลายมิตร มิได้รู้แม้มาตรว่าคุณของท่านผู้ถึงพร้อมด้วย
พระคุณ ผู้ให้ชีวิตแก่ตนอย่างนี้ พระองค์นี้ พวกเราจะมีความ
เจริญได้แต่ที่ไหน จับมันเถิด ดังนี้แล้วต่างโกรธแค้น ลุกฮือขึ้น
โดยรอบ ฆ่าพระราชานั้นเสีย ทั้ง ๆ ที่ยังอยู่บนคอช้างนั่นเอง
ด้วยเครื่องประหาร มีลูกศร หอกซัด ก้อนหิน ละไม้ค้อนเป็นต้น
แล้วจับเท้ากระชากลงมาโยนทิ้งไปเหนือสันคู แล้วอภิเษกพระ-
โพธิสัตว์ให้ดำรงราชย์สืบแทน.
ส่วนพระโพธิสัตว์ ดำรงราชย์โดยธรรม วันหนึ่งทรง
ปรารภจะทดลองสัตว์มีงูเป็นต้น จึงเสด็จไปที่อยู่ของงู ตรัส

196
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เอกนิบาตชาดก เล่ม ๓ ภาค ๒ – หน้าที่ 197 (เล่ม 56)

เรียกว่า "ทีฆะ" งูเลื้อยมาซบไหว้ กล่าวว่า ข้าแต่ท่านผู้มีพระคุณ
เชิญมาขนทรัพย์ของท่านไปเสียเถิด. พระราชามีพระดำรัส
ให้อำมาตย์มารับมอบทรัพย์ ๔๐ โกฏิ แล้วเสด็จไปสำนักของ
หนู ตรัสเรียกว่า "อุนทูร" หนูก็มาซบไหว้แล้วมอบถวายสมบัติ
๓๐ โกฏิ พระราชามีดำรัสให้อำมาตย์รับมอบทรัพย์แม้นั้นไว้.
เสด็จไปที่อยู่ของนกแขกเต้า รับสั่งเรียกว่า "สุวะ" แม้นกแขกเต้า
ก็บินมาซบไหว้ พระบาทยุคลกราบทูลว่า ข้าแต่ท่านเจ้าพระคุณ
ข้าพเจ้าจะไปนำข้าวสาลีมาให้. พระราชารับสั่งว่า เมื่อจะต้อง
การข้าวสาลี จึงค่อยนำมา มาเถิด เรามาพากันไป แล้วทรง
พาสัตว์ทั้ง ๓ กับทรัพย์ ๗๐ โกฏิ ไปพระนคร รับสั่งให้ทำ
ทะนานทอง พระราชาทานเป็นที่อยู่ของงู ถ้ำแก้วผลึกเป็นที่อยู่
ของหนู กรงทองเป็นที่อยู่ของนกแขกเต้า พระราชทานข้าวตอก
คลุกน้ำผึ้งใส่จานทองให้งูและนกแขกเต้ากิน พระราชทาน
ข้าวสารสาลีให้หนูกินทุกวัน ทรงกระทำบุญมีให้ทานเป็นต้น.
คนทั้ง ๔ แม้นั้นต่างสมัครสมานกัน ร่าเริงบันเทิงอยู่ชั่วชีวิต
ครั้นสิ้นชีวิตแล้ว ต่างก็ไปตามยถากรรม.
พระบรมศาสดาก็ตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย มิใช่แต่
ในบัดนี้เท่านั้น ที่พระเทวทัตพยายามจะฆ่าเราเสีย แม้ในครั้งก่อน
ก็พยายามมาแล้วเหมือนกัน ดังนี้ ครั้นทรงนำพระธรรมเทศนา
นี้มาแล้ว ทรงสืบอนุสนธิประชุมชาดกว่า พระราชาผู้ร้ายกาจ
ในครั้งนั้น ได้มาเป็นพระเทวทัตในครั้งนี้ งูได้มาเป็นพระสารีบุตร

197
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เอกนิบาตชาดก เล่ม ๓ ภาค ๒ – หน้าที่ 198 (เล่ม 56)

หนูได้มาเป็นพระโมคคัลลานะ นกแขกเต้าได้มาเป็นอานนท์
ธรรมราชาผู้เถลิงราชย์ในภายหลังได้มาเป็นเราตถาคต ฉะนี้แล.
จบ อรรถกถาสัจจังกิรชาดก

198
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เอกนิบาตชาดก เล่ม ๓ ภาค ๒ – หน้าที่ 199 (เล่ม 56)

๔. รุกขธัมมชาดก
ต้นไม้โดดเดี่ยวย่อมแพ้ลม
[๗๔] "หมู่ญาติยิ่งมีมากได้ ยิ่งดี แม้ถึงไม้เกิด
ในป่า เป็นหมวดหมู่ได้เป็นดี (เพราะ) ต้นไม้ที่
ตั้งอยู่โดดเดี่ยว แม้จะใหญ่โต เป็นเจ้าป่า ย่อม
ถูกลมแรง โค่นลงได้"
จบ รุกขธัมมชาดกที่ ๔
อรรถกถารุกขธัมมาดกที่ ๔
พระศาสดาเมื่อประทับอยู่ ณ พระเชตวันมหาวิหาร
ทรงทราบความพินาศใหญ่ กำลังจะเกิดแก่พระญาติทั้งหลาย
ของพระองค์ เพราะทะเลาะกันเรื่องน้ำ ก็เสด็จเหาะไปในอากาศ
ประทับนั่งโดยบัลลังก์ เบื้องบนแม่น้ำโรหิณี ทรงเปล่งรัศมี
สีขาบ ให้พระญาติทั้งหลายสลดพระทัย แล้วเสด็จลงจากอากาศ
ประทับนั่ง ณ ฝั่งแม่น้ำ ทรงปรารภการทะเลาะนั้น ตรัสพระ-
ธรรมเทศนานี้ มีคำเริ่มต้นว่า สาธุ สมฺพหุลา ญาตี ดังนี้.
ในชาดกที่ยกมานี้เป็นสังเขปนัย ส่วนวิตถานัยจักปรากฏ
แจ้งในกุณาลชาดก ก็และในครั้งนั้น พระศาสดาตรัสเรียก
พระญาติทั้งหลายมาตรัสว่า มหาบพิตรทั้งหลาย ท่านทั้งหลาย

199
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เอกนิบาตชาดก เล่ม ๓ ภาค ๒ – หน้าที่ 200 (เล่ม 56)

ได้นามว่าเป็นญาติกัน ควรจะสมัครสมานสามัคคีร่วมใจกัน
เพราะว่าเมื่อพระญาติทั้งหลาย ยังสามัคคีกันอยู่ หมู่ปัจจามิตร
ย่อมไม่ได้โอกาส อย่าว่าแต่หมู่มนุษย์เลย แม้ต้นไม้ทั้งหลาย
อันหาเจตนามิได้ ยังควรจะได้ความสามัคคีกัน เพราะในอดีตกาล
ที่หิมวันตประเทศ มหาวาตภัยรุกรานป่ารัง แต่เพราะป่ารังนั้น
เกี่ยวประสานกันและกันแน่นขนัดไปด้วยลำต้น กอพุ่มและ
ลดาวัลย์ ไม่อาจจะให้ต้นไม้แม้ต้นเดียวโค่นลงได้ พัดผ่านไป
ตามยอด ๆ เท่านั้น แต่ได้พัดเอาไม้ใหญ่ต้นหนึ่ง ที่ขึ้นอยู่บนเนิน
แม้จะสมบูรณ์ด้วยกิ่งก้าน ด่าคบไม้ล้มลงที่พื้นดิน ถอนราก
ถอนโคนขึ้น เพราะไม่เกี่ยวประสานกันกับต้นไม้อื่น ๆ ด้วยเหตุนี้
จึงควรที่พวกท่านทั้งหลาย จะสมัครสมานสามัคคีร่วมใจกัน
อันพระญาติเหล่านั้น กราบทูลอารธนา จึงทรงนำเรื่องในอดีต
มาสาธก ดังต่อไปนี้ :-
ในอดีตกาล ครั้งพระเจ้าพรหมทัตเสวยราชสมบัติอยู่ใน
กรุงพาราณสี ท้าวเวสวรรณมหาราชที่ทรงอุบัติพระองค์แรก
จุติ ท้าวสักกะทรงตั้งท้าวเวสสวรรณองค์ใหม่ ในคราวเปลี่ยน-
แปลงท้าวเวสสวรรณนี้ ท้าวเวสสวรรณองค์หลัง ส่งข่าวไปแก่
หมู่เทพยดาว่า จงจับจองต้นไม้ กอไผ่ พุ่มไม้ และลดาวัลย์
เป็นวิมานในสถานที่อันพอใจแห่งตน ๆ เถิด. ครั้งนั้น พระโพธิสัตว์
เสวยพระชาติเป็นรุกขเทวดา ณ ป่ารังแห่งหนึ่ง ในหิมวันตประเทศ

200
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เอกนิบาตชาดก เล่ม ๓ ภาค ๒ – หน้าที่ 201 (เล่ม 56)

ทรงประกาศบอกเทพที่เป็นหมู่ญาติว่า เมื่อท่านทั้งหลายจะจับ
จองวิมาน จงอย่าจับจองที่ต้นไม้อันตั้งอยู่บนเนิน แต่จงจับจอง
วิมานที่ต้นไม้ตั้งล้อมรอบวิมานที่เราจับจองแล้ว ในป่ารังนี้เถิด.
บรรดาเทวดาเหล่านั้น พวกที่เป็นบัณฑิต ก็กระทำตามคำของ
พระโพธิสัตว์ จับจองวิมานต้นไม้ที่ตั้งล้อมวิมานของพระโพธิสัตว์
ฝ่ายพวกที่มิใช่บัณฑิต ต่างพูดกันว่า พวกเราจะต้องการอะไร
ด้วยวิมานในป่า จงพากันจับจองวิมานที่ประตูบ้าน นิคม และ
ราชธานี ในถิ่นมนุษย์กันเถิด ด้วยว่าพวกเทวดาที่อยู่อาศัยบ้าน
เป็นต้น ย่อมประสบลาภอันเถิด และยศอันเลิศ แล้วพากันจับจอง
วิมานที่ต้นไม้ใหญ่ ๆ อันเกิด ณ ที่อันเป็นเนิน ในถิ่นมนุษย์
ครั้นอยู่มาวันหนึ่ง เกิดลมฝนใหญ่ แม้ถึงต้นไม้ที่ใหญ่ ๆ ในป่า
มีรากมั่นคง ต่างมีกิ่งก้าน ค่าคบ หักล้มระเนระนาดทั้งราก
ทั้งโคน เพราะโต้ลมเกินไป. แต่พอถึงป่ารัง ซึ่งตั้งอยู่ชิดติด
ต่อกัน ถึงจะพัดกระหน่ำ ทุก ๆ ด้านไม่สร่างซา ก็ไม่อาจทำให้
ต้นไม้ล้มได้สักต้นเดียว. หมู่เทวดาที่มีวิมานหักต่างก็ไม่มีที่
พำนัก พากันจูงมือเด็ก ๆ ไปป่าหิมพานต์ แจ้งเรื่องราวของตน
แก่เทวดาผู้อยู่ในป่ารัง เทวดาเหล่านั้นก็พากันบอกเรื่องที่พวก
เหล่านั้นพากันกระเซอะกระเซิงมาแด่พระโพธิสัตว์. พระโพธิสัตว์
กล่าวว่า ขึ้นชื่อว่า ผู้ที่ไม่เชื่อถือถ้อยคำของหมู่บัณฑิต แล้วพากัน
ไปสู่สถานที่อันหาปัจจัยมิได้ ย่อมเป็นอย่างนี้ทั้งนั้น เมื่อจะ
แสดงธรรม จึงกล่าวคาถาความว่า :-

201