No Favorites


หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เอกนิบาตชาดก เล่ม ๓ ภาค ๒ – หน้าที่ 162 (เล่ม 56)

๙. วิสวันตชาดก
ตายดีกว่า ดูดพิษที่คายออกแล้ว
[๖๙] เราจักดูดพิษที่คายออกแล้ว เพราะเหตุ
แห่งชีวิต อันใด พิษที่คายออกแล้วนั้น น่า
ขยะแขยง เราตายเสียยังประเสริฐกว่ามีชีวิตอยู่.
จบ วิสวันตชาดกที่ ๙
อรรถกถาวิสวันตชาดกที่ ๙
พระบรมศาสดาเมื่อประทับอยู่ ณ พระเชตวันมหา-
วิหาร ทรงปรารภพระธรรมเสนาบดี ตรัสพระธรรมเทศนานี้
มีคำเริ่มต้นว่า ธิรตฺถุ ตํ วิสํ วนฺตํ ดังนี้.
ได้ยินว่าในคราวที่พระสารีบุตรเถระขบฉันของเคี้ยวที่
ทำด้วยแป้ง พวกมนุษย์พากันนำของเคี้ยวที่ทำด้วยแป้งเป็น
จำนวนมาก มาสู่วิหารเพื่อพระสงฆ์ ของที่เหลือจากที่ภิกษุสงฆ์
รับเอาไว้ ยังมีมาก พวกมนุษย์พากันพูดว่า พระคุณเจ้าทั้งหลาย
โปรดรับไว้ เพื่อภิกษุที่ไปในบ้านด้วยเถิด. ขณะนั้นภิกษุหนุ่ม
สัทธิวิหาริกของพระเถระเจ้าไปในบ้าน พวกภิกษุรับส่วนของ
เธอไว้ เมื่อเธอยังไม่มา เห็นว่าเป็นเวลาสายจัด ก็ถวายแด่พระ-
เถระเจ้า. เมื่อท่านฉันแล้ว ภิกษุหนุ่มจึงไปถึง. ครั้งนั้นพระเถระ

162
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เอกนิบาตชาดก เล่ม ๓ ภาค ๒ – หน้าที่ 163 (เล่ม 56)

กล่าวกะเธอว่า ผู้มีอายุ ฉันบริโภคของเคี้ยวที่เก็บไว้เพื่อเธอ
หมดแล้ว. ภิกษุนั้นกล่าวว่า ข้าแต่พระคุณเจ้า ธรรมดาของอร่อย
ใครจะไม่ชอบเล่าขอรับ. ความสลดใจ เกิดขึ้นแก่พระมหาเถระเจ้า
ท่านเลยอธิษฐานไว้ว่า ตั้งแต่บัดนี้ไป เราจักไม่ฉันของเคี้ยว
ที่ทำด้วยแป้ง. ข่าวว่า ตั้งแต่บัดนั้น พระสารีบุตรเถระเจ้าไม่เคย
ฉันของที่ชื่อว่า ของเคี้ยวทำด้วยแป้งเลย. ความที่ท่านไม่ฉัน
ของเคี้ยวทำด้วยแป้ง เกิดแพร่หลายไปในหมู่ภิกษุ. ภิกษุทั้งหลาย
นั่งในธรรมสภา พูดกันถึงเรื่องนั้น. ครั้งนั้นพระบรมศาสดา
เสด็จมา ตรัสถามว่า ภิกษุทั้งหลาย พวกเธอประชุมสนทนากัน
ด้วยเรื่องอะไรเล่า ? เมื่อภิกษุทั้งหลายกราบทูลให้ทรงทราบ
แล้ว ตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย สารีบุตรแม้จะเสียชีวิต ก็ไม่
ยอมรับสิ่งที่ตนทิ้งเสียครั้งหนึ่งอีกทีเดียว แล้วทรงนำเรื่องราว
ในอดีตมาสาธก ดังต่อไปนี้ :-
ในอดีตกาล ครั้งพระเจ้าพรหมทัตเสวยราชสมบัติอยู่ในกรุง-
พาราณสี พระโพธิสัตว์เกิดในตระกูลหมอรักษาพิษ เลี้ยง
ชีวิตด้วยเวชกรรม. ครั้งนั้นงูกัดชาวชนบทคนหนึ่ง พวกญาติ
ของเขาไม่ประมาท รีบนำมาหาหมอโดยเร็ว. หมอถามว่า จะ
พอกยาถอนพิษก่อน หรือจะให้เรียกงูตัวที่กัดมา แล้วให้มัน
นั่นแหละ ดูดพิษออกจากแผลที่มันกัด. พวกญาติพากันกล่าวว่า
โปรดเรียกงูมาให้มันดูดพิษออกเถิด. หมอจึงเรียกงูมาแล้ว
กล่าวว่า เจ้ากัดคนผู้นี้หรือ ?

163
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เอกนิบาตชาดก เล่ม ๓ ภาค ๒ – หน้าที่ 164 (เล่ม 56)

งู. ใช่แล้ว เรากัด.
หมอ. เจ้านั่นแหละจงเอาปากดูดพิษจากปากแผล ที่เจ้า
กัดแล้ว.
งู. เราไม่เคยกลับดูดพิษที่เราทิ้งไปครั้งหนึ่งแล้วเลย.
เราจักไม่ยอมดูดพิษที่เราคายไปแล้ว หมอให้คนหาฟืนมาก่อไฟ
พลางบังคับว่า ถ้าเจ้าไม่ดูดคืนพิษของเจ้า ก็จงเข้าไปสู่กองไฟ
นี้เถิด. งูกล่าวตอบว่า เราจะขอเข้ากองไฟ แต่ไม่ขอยอมดูดคืน
ซึ่งพิษที่ตนปล่อยไปแล้วครั้งหนึ่ง เป็นอันขาด แล้วกล่าวคาถานี้
ความว่า :-
" พิษที่คายแล้วนั้น น่ารังเกียจนัก การที่
เราต้องดูดพิษที่ตายแล้ว เพราะเหตุแห่งความ
อยู่รอดนั้น ให้เราตายเสียยังดีกว่า " ดังนี้.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ธิรตฺถุ เป็นนิบาต ลงในอรรถ
ว่า ติเตียน.
บทว่า ตํ วิสํ ความว่า พิษที่เราคายแล้ว จักต้องกลับดูดคืน
เพราะเหตุแห่งการอยู่รอดนั้น น่าขยะแขยงนัก.
บทว่า มตํ เม ชีวิตา วรํ ความว่า การเข้าสู่กองไฟแล้วตาย
นั้นประเสริฐกว่าความเป็นอยู่ของเรา เพราะเหตุดูดคืนพิษนั้น
มากมาย.
ก็และครั้นกล่าวอย่างนี้แล้ว ก็เลื้อยเข้าไปสู่กองไฟ.
ครั้งนั้น หมอจึงห้ามงูนั้นไว้ จัดแจงรักษาบุรุษนั้นให้หายพิษ

164
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เอกนิบาตชาดก เล่ม ๓ ภาค ๒ – หน้าที่ 165 (เล่ม 56)

ให้หายโรค ด้วยโอสถและมนต์ แล้วให้ศีลแก่งู กล่าวว่า จำเดิม
แต่นี้ไป เจ้าอย่าเบียดเบียนใคร ๆ ดังนี้แล้วก็ปล่อยไป.
พระบรมศาสดาจึงตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย สารีบุตร
แม้จะต้องสละชีวิต ก็ไม่ยอมรับคืนสิ่งที่ตนทิ้งเสียแล้วครั้งหนึ่ง
เลย ครั้นทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแล้ว ทรงสืบอนุสนธิประชุม
ชาดกว่า งูในครั้งนั้นได้มาเป็นพระสารีบุตร ส่วนหมอได้มาเป็น
เราตถาคต ฉะนี้แล.
จบ อรรถกถาวิสวันตชาดกที่ ๙

165
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เอกนิบาตชาดก เล่ม ๓ ภาค ๒ – หน้าที่ 166 (เล่ม 56)

๑๐. กุททาลชาดก
ว่าด้วยความชนะที่ดี
[๗๐] " ความชนะที่บุคคลชนะแล้วกลับแพ้ได้
นั้น มิใช่ความชนะเด็ดขาด (ส่วน) ความชนะ
ที่บุคคลชนะแล้ว ไม่กลับแพ้นั้นต่างหาก จึงจะ
ชื่อว่า เป็นความชนะเด็ดขาด "
จบ กุททาลชาดกที่ ๑๐
อรรถกถากุททาลชาดกที่ ๑๐
พระศาสดาเมื่อประทับอยู่ ณ พระเชตวันมหาวิหาร
ทรงปรารภพระจิตหัตถสารีบุตร ตรัสพระธรรมเทศนานี้ มีคำ
เริ่มต้นว่า น ตํ ชิตํ สาธุ ดังนี้.
ได้ยินว่า พระจิตหัตถสารีบุตร เป็นเด็กที่เกิดในตระกูล
ผู้หนึ่งในพระนครสาวัตถี อยู่มาวันหนึ่งไถนาแล้ว ขากลับเข้า
ไปสู่วิหาร ได้โภชนะประณีตอร่อย มีรสสนิทจากบาตรพระเถระ
องค์หนึ่ง คิดว่า ถึงแม้เราจะกระทำงานต่าง ๆ ด้วยมือของตน
ตลอดคืนตลอดวัน ก็ยังไม่ได้อาหารอร่อยอย่างนี้ แม้เราก็สมควร
จะเป็นสมณะ ดังนี้. เขาบวชแล้วอยู่มาได้ประมาณครึ่งเดือน
เมื่อไม่ใส่ใจโดยแยบคาย ตกไปในอำนาจกิเลส สึกไป พอลำบาก

166
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เอกนิบาตชาดก เล่ม ๓ ภาค ๒ – หน้าที่ 167 (เล่ม 56)

ด้วยอาหารก็มาบวชอีก เรียนพระอภิธรรม ด้วยอุบายนี้ สึก
แล้วบวชถึง ๖ ครั้ง ในความเป็นภิกษุครั้งที่ ๗ เป็นผู้ทรง
พระอภิธรรม ๗ พระคัมภีร์ ได้บอกธรรมแก่ภิกษุเป็นอันมาก
บำเพ็ญวิปัสสนาได้บรรลุพระอรหัตถ์แล้ว. ครั้งนั้นภิกษุผู้เป็น
สหายของท่าน พากันเยาะเย้ยว่า อาวุโส จิตหัตถ์ เดี๋ยวนี้กิเลส.
ทั้งหลายของเธอ ไม่เจริญ เหมือนเมื่อก่อนดอกหรือ ? ท่าน
ตอบว่า ผู้มีอายุ ตั้งแต่บัดนี้ไป ผมไม่เหมาะเพื่อความเป็นคฤหัสถ์
ก็เมื่อท่านบรรลุพระอรหัตอย่างนี้แล้ว เกิดโจทย์กันขึ้น ใน
ธรรมสภาว่า ผู้มีอายุทั้งหลาย เมื่ออุปนิสัยแห่งพระอรหัต
เห็นปานนี้มีอยู่ ท่านพระจิตหัตถสารีบุตร ต้องสึกถึง ๖ ครั้ง
โอ ! ความเป็นปุถุชน มีโทษมากดังนี้ พระศาสดาเสด็จมาแล้ว
ตรัสถามว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย บัดนี้ พวกเธอสนทนากันด้วย
เรื่องอะไร ? เมื่อภิกษุทั้งหลายกราบทูลให้ทรงทราบแล้ว ตรัสว่า
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ขึ้นชื่อว่าจิตของปุถุชน เมา ข่มได้ยาก
คอยไปติดด้วยอำนาจแห่งอารมณ์ ลงติดเสียครั้งหนึ่งแล้ว ก็ไม่
อาจปลดเปลื้องได้โดยเร็ว การฝึกฝนจิตเห็นปานนี้ เป็นความดี
จิตที่ฝึกฝนดีแล้วเท่านั้น จะนำประโยชน์เกื้อกูลและความสุขมาให้
แล้วตรัสพระคาถานี้ ความว่า :-
" การฝึกฝนจิต ที่ข่มได้ยาก เมา มีปกติ
ตกไปตามอารมณ์ที่ปรารถนาเป็นการดี เพราะจิต
ที่ฝึกฝนแล้ว ย่อมนำสุขมาให้ " ดังนี้.

167
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เอกนิบาตชาดก เล่ม ๓ ภาค ๒ – หน้าที่ 168 (เล่ม 56)

ครั้นแล้วตรัสต่อไปว่า ก็เพราะเหตุที่จิตนั้นข่มได้โดยยาก
บัณฑิตทั้งหลาย แม้ในกาลก่อน อาศัยจอบเล่มเดียว ไม่อาจทิ้ง
มันได้ ต้องสึกถึง ๖ ครั้ง ด้วยอำนาจความโลภ ในเพศแห่ง
บรรพชิตครั้งที่ ๗ ทำฌานให้เกิดขึ้นแล้ว จึงข่มความโลภนั้นได้
ดังนี้แล้ว ทรงนำเอาเรื่องในอดีตมาสาธก ดังต่อไปนี้ :-
ในอดีตกาล ครั้งพระเจ้าพรหมทัตเสวยราชสมบัติอยู่ในกรุง-
พาราณสี พระโพธิสัตว์เกิดในตระกูลคนปลูกผัก ถึงความเป็นผู้รู้เดียงสา
แล้ว ได้นามว่า " กุททาลบัณฑิต " ท่านกุททาลบัณฑิต กระทำ
การฟื้นดินด้วยจอบ เพาะปลูกพืชพันธ์และผัก มีน้ำเต้า ฟักเขียว
ฟักเหลือง เป็นต้น เก็บผักเหล่านั้นขาย เลี้ยงชีพด้วยการเบียดกรอ.
แท้จริงท่านกุททาลบัณฑิต นอกจากจอบเล่มเดียวเท่านั้น ทรัพย์
สมบัติอย่างอื่นไม่เลย. ครั้นวันหนึ่งท่านดำริว่า จะมีประโยชน์
อะไรด้วยการอยู่ครั้งเรือน เราจักบวช ดังนี้. ครั้นวันหนึ่ง
ท่านซ่อนจอบนั้นไว้ ในที่ซึ่งมิดชิด แล้วบวชเป็นฤาษี ครั้น
หวลนึกถึงจอบเล่มนั้นแล้ว ก็ไม่อาจตัดความโลภเสียได้ เลย
ต้องสึก เพราะอาศัยจอบกุด ๆ เล่มนั้น. แม้ครั้งที่ ๒ แม้ครั้ง
ที่ ๓ ก็เป็นอย่างนี้ เก็บจอบนั้นไว้ในที่มิดชิด บวช ๆ สึก ๆ
รวมได้ถึง ๖ ครั้ง ในครั้งที่ ๗ ได้คิดว่า เราอาศัยจอบกุด ๆ
เล่มนี้ ต้องสึกบ่อยครั้ง คราวนี้เราจักขว้างมันทิ้งเสียในแม่น้ำ
ใหญ่ แล้วบวช ดังนี้แล้ว เดินไปสู่ฝั่งแม่น้ำ คิดว่า ถ้าเรายังเห็นที่ตก
ของมัน ก็จักต้องอยากงมมันขึ้นมาอีก แล้วจับจอบที่ด้าม ท่าน

168
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เอกนิบาตชาดก เล่ม ๓ ภาค ๒ – หน้าที่ 169 (เล่ม 56)

มีกำลังดังช้างสาร สมบูรณ์ด้วยเรี่ยวแรง ควงจอบเหนือศีรษะ
๓ รอบ หลับตาขว้างลงไปกลางแม่น้ำ แล้วบรรลือเสียงกึกก้อง
๓ ครั้งว่า " เราชนะแล้ว เราชนะแล้ว".
ในขณะนั้น พระเจ้าพาราณสี ทรงปราบปรามปัจจันตชนบท
ราบคาบแล้ว เสด็จกลับ ทรงสนานพระเศียรในในแม่น้ำนั้น ประดับ
พระองค์ด้วยเครื่องอลังการครบเครื่อง เสด็จพระดำเนินโดย
พระคชาธาร ทรงสดับเสียงของพระโพธิสัตว์นั้น ทรงระแวง
พระทัยว่า บุรุษผู้นี้กล่าวว่า เราชนะแล้ว ใครเล่าที่เขาชนะ
จงเรียกเขามา แล้วมีพระดำรัสสั่งให้เรียกมาเฝ้า แล้วมีพระดำรัส
ถามว่า ดูก่อนบุรุษผู้เจริญ เรากำลังชนะสงคราม กำความมีชัย
มาเดี๋ยวนี้ ส่วนท่านเล่าชนะอะไร ? พระโพธิสัตว์กราบทูลว่า
ข้าแต่มหาราช ถึงพระองค์จะทรงชนะสงครามตั้งร้อยครั้ง
ตั้งพันครั้ง แม้ตั้งแสนครั้ง ก็ยังชื่อว่าชนะไม่เด็ดขาดอยู่
นั่นเอง เพราะยังเอาชนะกิเลสทั้งหลายไม่ได้ แต่ข้าพระองค์
ข่มกิเลสในภายในไว้ได้ เอาชนะกิเลสทั้งหลายได้ กราบทูลไป
มองดูแม่น้ำไป ยังฌานมีอาโปกสิณเป็นอารมณ์ ให้เกิดขึ้นแล้ว
นั่งในอากาศด้วยอำนาจของฌานและสมาบัติ เมื่อจะแสดงธรรม
ถวายพระราชา จึงกล่าวคาถานี้ ความว่า :-
"ความชนะที่บุคคลชนะแล้ว กลับแพ้
ได้นั้น มิใช่ความชนะเด็ดขาด (ส่วน) ความชนะ

169
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เอกนิบาตชาดก เล่ม ๓ ภาค ๒ – หน้าที่ 170 (เล่ม 56)

ที่บุคคลชนะแล้ว ไม่กลับแพ้นั้นต่างหาก จึงชื่อว่า
เป็นความชนะเด็ดขาด " ดังนี้.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า น ตํ ชิตํ สาธุ ชิตํ ยํ ชิตํ
อวชิยฺยติ ความว่า การปราบปรามปัจจามิตร ราบคาบชนะ
แว่นแคว้น ตีเอาได้แล้ว ปัจจามิตรเหล่านั้น ยังจะตีกลับคืนได้
ความชนะนั้นจะชื่อว่าเป็นความชนะเด็ดขาดหาได้ไม่
เพราะเหตุไร ?
เพราะยังจะต้องชิงชัยกันบ่อย ๆ.
อีกนัยหนึ่ง ชัยเรียกได้ว่า ความชนะ ชัยที่ได้เพราะรบ
กับปัจจามิตร ต่อมาเมื่อปัจจามิตรเอาชนะคืนได้ ก็กลับเป็น
ปราชัย ชัย นั้นไม่ดีไม่งาม เพราะเหตุไร ? เพราะเหตุที่ยัง
กลับเป็นปราชัยได้อีก.
บทว่า ตํ โข ชิตํ สาธุ ชิตํ ยํ ชิตํ นาวชิยฺยติ ความว่า
ส่วนการครอบงำมวลปัจจามิตรไว้ได้แล้วชนะ ปัจจามิตรเหล่านั้น
จะกลับชิงชัยไม่ได้อีก ใด ๆ ก็ดี การได้ชัยชนะครั้งเดียวแล้ว
ไม่กลับเป็นปราชัยไปได้ ใด ๆ ก็ดี ความชนะนั้น ๆ เป็นความ
ชนะเด็ดขาด คือชัยชนะนั้นชื่อว่าดี ชื่อว่างาม. เพราะเหตุไร ?
เพราะเหตุที่ไม่ต้องชิงชัยกันอีก. ดูก่อนมหาบพิตร เพราะเหตุนั้น
แม้พระองค์จะทรงชนะ ขุนสงคราม ตั้งพันครั้ง ตั้งแสนครั้ง
ก็ยังจะเฉลิมพระนามว่า จอมทัพ หาได้ไม่.
เพราะเหตุใด ?

170
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เอกนิบาตชาดก เล่ม ๓ ภาค ๒ – หน้าที่ 171 (เล่ม 56)

เพราะเหตุที่พระองค์ยังทรงชนะกิเลสของพระองค์เอง
ไม่ได้ ส่วนบุคคลใด ชนะกิเลสภายในของตนได้ แม้เพียงครั้งเดียว
บุคคลนี้ จัดเป็นจอมทัพผู้เกรียงไกรได้. พระโพธิสัตว์นั่งใน
อากาศนั่นแล แสดงธรรมถวายพระราชาด้วยพระพุทธลีลา
ก็ในความเป็นจอมทัพผู้สูงสุดนั้น มีพระสูตร์เป็นเครื่องสาธก
ดังนี้ :-
" ผู้ที่ชนะหมู่มนุษย์ในสงคราม ถึงหนึ่ง
ล้านคน ยังสู้ผู้ที่ชนะตนเพียงผู้เดียวไม่ได้ ผู้นั้น
เป็นจอมทัพสูงสุด โดยแท้ " ดังนี้.
ก็เมื่อพระราชาทรงสดับธรรมอยู่นั่นเอง ทรงละกิเลส
ได้ด้วยอำนาจ ตทังคปหาน พระทัยน้อมไปในบรรพชา. ถึงพวก
หมู่โยธาของพระองค์ ก็พากันละได้เช่นนั้นเหมือนกัน. พระ-
ราชาตรัสถามพระโพธิสัตว์ว่า บัดนี้พระคุณเจ้าจักไปไหน
เล่า ? พระโพธิสัตว์กราบทูลว่า ข้าแต่มหาราช ข้าพระองค์
จักเข้าป่าหิมพานต์บวชเป็นฤๅษี. พระราชารับสั่งว่า ถ้า
เช่นนั้น แม้ข้าพเจ้าก็จะบรรพชา แล้วเสด็จพระราชดำเนิน
ไปพร้อมกับพระโพธิสัตว์. พลนิกายทั้งหมด คือ พราหมณ์
คฤหบดี และทวยหาญ ทุกคนประชุมกันในขณะนั้น เป็นมหาสมาคม
ออกบรรพชา พร้อมกับพระราชาเหมือนกัน. ชาวเมือง
พาราณสี สดับข่าวว่า พระราชาของเราทั้งหลาย ทรงสดับ
พระธรรมเทศนาของกุททาลบัณฑิตแล้ว ทรงบ่ายพระพักตร์

171