หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ เล่ม ๒ – หน้าที่ 591 (เล่ม 4)

บทว่า สำเร็จการนั่ง ความว่า ในเรือนใหญ่ ภิกษุนั่งละหัตบาส
แห่งบานประตู ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
ในเรือนเล็ก นั่งล้ำท่ามกลางห้องเรือน ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
บทภาชนีย์
ติกปาจิตตีย์
[๕๓๗] ห้องนอนภิกษุสำคัญว่าห้องนอน สำเร็จการนั่งแทรกแซง
ในตระกูลที่มีตน ๒ คน ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
ห้องนอน ภิกษุสงสัย สำเร็จการนั่งแทรกแซงในตระกูลที่มีตน ๒ คน
ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
ห้องนอน ภิกษุสำคัญว่าไม่ใช่ห้องนอน สำเร็จการนั่งแทรกแซง ใน
ตระกูลที่มีตน ๒ คน ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
ทุกะทุกกฏ
ไม่ใช่ห้องนอน ภิกษุสำคัญว่าห้องนอน. . .ต้องอาบัติทุกกฏ.
ไม่ใช่ห้องนอน ภิกษุสงสัย...ต้องอาบัติทุกกฏ
ไม่ต้องอาบัติ
ไม่ใช่ห้องนอน ภิกษุสำคัญว่าไม่ใช่ห้องนอน...ไม่ต้องอาบัติ.
อานาปัตติวาร
[๕๓๘] ภิกษุนั่งในเรือนใหญ่ ไม่ล่วงล้ำหัตถบาสแห่งบานประตู ๑
ภิกษุนั่งในเรือนเล็ก ไม่เลยท่ามกลางห้อง ๑ ภิกษุมีเพื่อนอยู่ด้วย ๑ คนทั้ง
สองออกจากกันแล้ว ทั้งสองปราศจากราคะแล้ว ๑ ภิกษุนั่งในสถานที่อันมิใช่
ห้องนอน ๑ ภิกษุวิกลจริต ๑ ภิกษุอาทิกัมมิกะ ๑ ไม่ต้องอาบัติแล.
อเจลกวรรค สิกขาบทที่ ๓ จบ

591
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ เล่ม ๒ – หน้าที่ 592 (เล่ม 4)

สโภชนสิกขาบทที่ ๓
ในสิกขาบทที่ ๓ มีวินิจฉัยดังนี้:-
[แก้อรรถบางปาฐะในปฐมบัญญัติแห่งสิกขาบท]
บทว่า สยนีฆเร แปลว่า ในเรือนนอน.
คำว่า ยโต อยฺยสฺส ภิกฺขา ทินฺนา แปลว่า เพราะข้าพเจ้าได้
ถวายภิกษาแล้ว. อธิบายว่า สิ่งใดอันผู้มาแล้วพึงได้, ท่านได้สิ่งนั้นแล้ว,
นิมนต์ท่านกลับไปเถิด,
บทว่า ปริยฏฺฐิโต คือ เป็นผู้อันราคะกลุ้มรุมแล้ว, ความว่า มี
ความประสงค์ในเมถุน.
บทว่า สโภชเน ได้แก่ สกุลที่เป็นไปกับด้วยคน ๒ คน ชื่อว่า
สโภชนะ. ในสกุลมีคน ๒ คนนั้น. อีกอย่างหนึ่ง บทว่า สโภชเน คือ
ในสกุลมีโภคะ. เพราะว่า สตรีเป็นโภคะของบุรุษ ผู้อันราคะกลุ้มรุมแล้ว
และบุรุษก็เป็นโภคะของสตรี (ผู้กลัดกลุ้มด้วยราคะ), ด้วยเหตุนั้นนั่นแล
ในบทภาชนะแห่งบทว่า สโภชเน นั้น พระผู้มีพระภาคจึงตรัสว่า มีสตรี
กับบุรุษ เป็นต้น.
สองบทว่า มหลฺลเก ฆเร คือ ในเรือนนอนหลังใหญ่.
สามบทว่า ปิฏฺฐิสงฆาฏสฺส หตฺถปาสํ วิชหิตฺวา มีความว่า
ละหัตถบาสแห่งบานประตูห้องในเรือนนอนนั้น แล้วนั่ง ณ ที่ใกล้ภายในที่
นอน. ก็เรือนนอนเช่นนี้ มีในศาลา ๔ มุขเป็นต้น. พระผู้มีพระภาคเจ้า
ย่อมทรงแสดงการล้ำท่ามกลางด้วยคำนี้ว่า ปิฏฺฐิวํสํ อติกฺกมิตฺวา. เพราะ
เหตุนั้น บัณฑิตพึงทราบอาบัติ เพราะล้ำท่ามกลางแห่งเรือนนอนหลังเล็ก
ที่เขาสร้างไว้ อย่างใดอย่างหนึ่ง. บทที่เหลือในสิกขาบทนี้ ตื้นทั้งนั้น.
สิกขาบทนี้ มีสมุฏฐานดุจปฐมปาราชิก เป็นกิริยา สัญญาวิโมกข์
สจิตตกะ โลกวัชชะ กายกรรม อกุสลจิต มีเวทนา ๒ ดังนี้แล.
สโภชนสิกขาบทที่ ๓ จบ

592
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ เล่ม ๒ – หน้าที่ 593 (เล่ม 4)

อเจลกวรรค สิกขาบทที่ ๔
เรื่องพระอุปนันทศากยบุตร
[๕๓๙] โดยสมัยนั้น พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าประทับอยู่ ณ พระ-
เชตวัน อารามของอนาถบิณฑิกคหบดี เขตพระนครสาวัตถี ครั้งนั้น ท่าน
พระอุปนันทศากยบุตรไปสู่เรือนของสหายแล้วสำเร็จการนั่งในที่ลับ คือใน
อาสนะกำบังกับภรรยาของเขา จึงบุรุษสหายนั้นเพ่งโทษติเตียนโพนทะนาว่า
ไฉนพระคุณเจ้าอุปนันท์จึงได้สำเร็จการนั่งในที่ลับ คือ ในอาสนะกำบังกับ
ภรรยาของเขาเล่า
ภิกษุทั้งหลายได้ยินเขาเพ่งโทษติเตียนโพนทะนาอยู่ บรรดาที่เป็นผู้
มักน้อย...ต่างก็เพ่งโทษติเตียนโพนทะนาว่า ไฉนท่านพระอุปนันทศากยบุตร
จึงได้สำเร็จการนั่งในที่ลับ คือในอาสนะกำบังกับมาตุคามเล่า แล้วกราบทูล
เรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาคเจ้า. . .
ทรงสอบถาม
พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงสอบถามท่านพระอุปนันท์ว่า ดูก่อนอุปนันท์
ข่าวว่า เธอสำเร็จการนั่งในที่ลับ คือในอาสนะกำบังกับมาตุคาม จริงหรือ.
ท่านพระอุปนันท์ทูลรับว่า จริง พระพุทธเจ้าข้า.
ทรงติเตียนแล้วบัญญัติสิกขาบท
พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าทรงติเตียนว่า ดูก่อนโมฆบุรุษ ไฉนเธอจึง
ได้สำเร็จการนั่งในที่ลับ คือในอาสนะกำบังกับมาตุคามเล่า การกระทำของ
เธอนั่น ไม่เป็นไปเพื่อความเลื่อมใสของชุมชนที่ยังไม่เลื่อมใส หรือเพื่อความ
เลื่อมใสยิ่งของชุมชนที่เลื่อมใสแล้ว . . .

593
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ เล่ม ๒ – หน้าที่ 594 (เล่ม 4)

ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็แลพวกเธอพึงยกสิกขาบทนี้ขึ้นแสดงอย่างนี้
ว่าดังนี้:-
พระบัญญัติ
๙๓. ๔. อนึ่ง ภิกษุใด สำเร็จการนั่งในที่ลับ คือในอาสนะ
กำบัง กับมาตุคาม เป็นปาจิตตีย์.
เรื่องพระอุปนันทศากยบุตร จบ
สิกขาบทวิภังค์
[๕๔๐] บทว่า อนึ่ง ...ใด ความว่า ผู้ใด คือ ผู้เช่นใด...
บทว่า ภิกษุ ความว่า ที่ชื่อว่า ภิกษุ เพราะอรรถว่าเป็นผู้ขอ...
นี้ ชื่อว่า ภิกษุ ที่ทรงประสงค์ในอรรถนี้
ที่ชื่อว่า มาตุคาม ได้แก่หญิงมนุษย์ ไม่ใช่หญิงยักษ์ ไม่ใช่หญิงเปรต
ไม่ใช่สัตว์ดิรัจฉานตัวเมีย โดยที่สุดแม้เด็กหญิงที่เกิดในวันนั้น ไม่ต้องพูดถึง
หญิงผู้ใหญ่.
บทว่า กับ คือ ร่วมกัน.
ที่ชื่อว่า ในที่ลับ ได้แก่ ที่ลับตา ๑ ที่ลับหู ๑
ที่ชื่อว่า ที่ลับตา ได้แก่ ที่ซึ่งไรเมื่อภิกษุหรือมาตุคามขยิบตา ยักคิ้ว
หรือชะเง้อศรีษะ. ไม่มีใครสามารถจะแลเห็นได้
ที่ชื่อว่า ที่ลับหู ได้แก่ ที่ซึ่งไม่มีใครสามารถจะได้ยินถ้อยคำที่สนทนา
กันตามปกติได้
อาสนะที่ชื่อว่า กำบัง คือ เป็นอาสนะที่เขากำบังด้วยฝา บานประตู
ลำแพน ม่านบัง ต้นไม้ เสา หรือฉางข้าว อย่างใดอย่างหนึ่ง

594
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ เล่ม ๒ – หน้าที่ 595 (เล่ม 4)

คำว่า สำเร็จการนั่ง ความว่า เมื่อมาตุคามนั่งแล้ว ภิกษุนั่งใกล้
หรือนอนใกล้ ต้องอาบัติปาจิตตีย์
เมื่อภิกษุนั่งแล้ว มาตุคามนั่งใกล้ หรือนอนใกล้ ต้องอาบัติปาจิตตีย์
ทั้งสองนั่งก็ดี ทั้งสองนอนก็ดี ภิกษุก็ดี อาบัติปาจิตตีย์.
บทภาชนีย์
ติกปาจิตตีย์
[๕๔๑] มาตุคาม ภิกษุสำคัญว่ามาตุคาม สำเร็จการนั่งในที่ลับ คือ
ในอาสนะกำบัง ต้องอาบัติปาจิตตีย์
มาตุคาม ภิกษุสงสัย สำเร็จการนั่งในที่ลับคือในอาสนะกำบัง ต้อง
อาบัติปาจิตตีย์
มาตุคาม ภิกษุสำคัญว่าไม่ใช่มาตุคาม สำเร็จการนั่งในที่ลับ คือใน
อาสนะกำบัง ต้องอาบัติปาจิตตีย์
ติกทุกกฏ
ภิกษุสำเร็จการนั่งในที่ลับ คือ ในอาสนะกำบังกับหญิงยักษ์ หญิงเปรต
บัณเฑาะก์ หรือสัตว์ดิรัจฉานตัวเมียมีกายดังมนุษย์ ต้องอาบัติทุกกฏ
ไม่ใช่มาตุคาม ภิกษุสำคัญว่ามาตุคาม...ต้องอาบัติทุกกฏ
ไม่ใช่มาตุคาม ภิกษุสงสัย ... ต้องอาบัติทุกกฏ
ไม่ต้องอาบัติ
ไม่ใช่มาตุคาม ภิกษุสำคัญว่าไม่ใช่มาตุคาม... ไม่ต้องอาบัติ.

595
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ เล่ม ๒ – หน้าที่ 596 (เล่ม 4)

อนาปัตติวาร
[๕๔๒] ภิกษุมีบุรุษผู้รู้เตียงสาคนใดคนหนึ่งอยู่เป็นเป็นเพื่อน ๑ ภิกษุ
ยืนมิได้นั่ง ๑ ภิกษุมิได้มุ่งที่ลับ ๑ ภิกษุนั่งส่งใจไปในอารมณ์อื่น ๑ ภิกษุ
วิกลจริต ๑ ภิกษุอาทิกัมมิกะ ๑ ไม่ต้องอาบัติแล.
อเจลกวรรค สิกขาบทที่ ๔ จบ
สิกขาบทที่ ๔ และที่ ๕
คำที่จะพึงกล่าวในสิกขาบทที่ ๔ และที่ ๕ ทั้งหมด มีนัยดังกล่าวแล้ว
ในอนิยสิกขาบททั้ง ๒ นั่นแล. เหมือนอย่างว่า สโภชนสิกขาบทมีสมุฏฐาน
ดุจปฐมปาราชิกสิกขาบท ฉันใด สิกขาบทที่ ๔ และที่ ๕ แม้น ก็มีสมุฏฐาน
ดุจปฐมปาราชิกสิกขาบทเหมือนกันฉันนั้นแล.
สิกขาบทที่ ๔-๕ จบ

596
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ เล่ม ๒ – หน้าที่ 597 (เล่ม 4)

อเจลกวรรค สิกขาบทที่ ๕
เรื่องพระอุปนันทศากยบุตร
[๕๔๓] โดยสมัยนั้น พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าประทับอยู่ ณ พระ-
เชตวัน อารามของอนาถบิณฑิกคหบดี เขตพระนครสาวัตถี ครั้งนั้น ท่าน
พระอุปนันทศากยบุตรไปสู่เรือนของสหายแล้ว สำเร็จการนั่งในที่ลับกับภรรยา
ของเขาหนึ่งต่อหนึ่ง จึงบุรุษสหายนั้นเพ่งโทษติเตียนโพนทะนาว่า ไฉน
พระคุณเจ้าอุปนันท์จึงได้สำเร็จการนั่งในที่ลับกับภรรยาของเขาหนึ่งต่อหนึ่งเล่า
ภิกษุทั้งหลายได้ยินบุรุษนั้นเพ่งโทษติเตียนโพนทะนาอยู่ บรรดาที่เป็น
ผู้มักน้อย... ต่างก็เพ่งโทษติเตียนโพนทะนาว่า ไฉน ท่านพระอุปนันท-
ศากยบุตรจึงได้สำเร็จการนั่งในที่ลับกับมาตุคาม หนึ่งต่อหนึ่งเล่า แล้วกราบทูล
เรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาคเจ้า.
ทรงสอบถาม
พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงสอบถามท่านพระอุปนันท์ว่า ดูก่อนอุปนันท์
ข่าวว่าเธอสำเร็จการนั่งในที่ลบกับมาตุคามหนึ่งต่อหนึ่ง จริงหรือ.
ท่านพระอุปนันท์ทูลรับว่า จริง พระพุทธเจ้าข้า.
ทรงติเตียนแล้วบัญญัติสิกขาบท
พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าทรงติเตียนว่า ดูก่อนโมฆบุรุษ ไฉนเธอจึง
ได้สำเร็จการนั่งในที่ลับกับมาตุคามหนึ่งต่อหนึ่งเล่า การกระทำของเธอนั่น
ไม่เป็นไปเพื่อความเลื่อมใสของชุมชนที่ยังไม่เลื่อมใส หรือเพื่อความเลื่อมใสยิ่ง
ของชุมชนที่เลื่อมใสแล้ว . . .

597
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ เล่ม ๒ – หน้าที่ 598 (เล่ม 4)

ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็แลพวกเธอพึงยกสิกขาบทนี้ขึ้นแสดงอย่างนั้น
ว่าดังนี้:-
พระบัญญัติ
๙๔. ๕ อนึ่ง ภิกษุใด ผู้เดียว สำเร็จการนั่งในที่ลับ กับ
มาตุคามผู้เดียว เป็นปาจิตตีย์.
เรื่องพระอุปนันทศากยบุตร จบ
สิกขาบทวิภังค์
[๕๔๔] บทว่า อนึ่ง ...ใด ความว่า ผู้ใด คือ ผู้เช่นใด...
บทว่า ภิกษุ ความว่า ที่ชื่อว่า ภิกษุ เพราะอรรถว่าเป็นผู้ขอ...
นี้ชื่อว่า ภิกษุ ที่ทรงประสงค์ในอรรถนี้.
ที่ชื่อว่า มาตุคาม ได้แก่หญิงมนุษย์ไม่ใช่หญิงยักษ์ ไม่ใช่หญิงเปรต
ไม่ใช่สัตว์ดิรัจฉานตัวเมีย. เป็นหญิงที่รู้เดียงสา สามารถทราบถ้อยคำที่เป็น
สุภาษิต และทุพภาษิต ที่ชั่วหยาบและไม่ชั่วหยาบ.
บทว่า กับ คือ ร่วมกัน.
บทว่า ผู้เดียว. . .ผู้เดียว คือ มีภิกษุ ๑ มาตุคาม ๑
ที่ชื่อว่า ที่ลับ ได้แก่ที่ลับตา ๑ ที่ลูบหู ๑
ที่ชื่อว่า ที่ลับตา ได้แก่ สถานที่ซึ่งมีภิกษุหรือมาตุคาม ขยิบตา
ยักคิ้ว หรือชะเง้อศีรษะ ไม่มีใครสามารถจะแลเห็นได้
ที่ชื่อว่า ที่ลับหู ได้แก่ สถานที่ซึ่งไม่มีใครสามารถจะได้ยินถ้อยคำ
ที่สนทนากันตามปกติได้
คำว่า สำเร็จการนั่ง ความว่า เมื่อมาตุคามนั่งแล้ว ภิกษุนั่งใกล้
หรือนอนใกล้ ต้องอาบัติปาจิตตีย์

598
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ เล่ม ๒ – หน้าที่ 599 (เล่ม 4)

เมื่อภิกษุนั่งแล้ว มาตุคามนั่งใกล้หรือนอนใกล้ ต้องอาบัติปาจิตตีย์
ทั้งสองนั่งก็ดี ทั้งสองนอนก็ดี ภิกษุต้องอาบัติปาจิตตีย์.
บทภาชนีย์
ติกปาจิตตีย์
[๕๔๕] มาตุคามภิกษุสำคัญ ว่ามาตุคาม สำเร็จการนั่งในที่ลับหนึ่งต่อ
หนึ่ง ต้องอาบัติปาจิตตีย์
มาตุคาม ภิกษุสงสัย สำเร็จการนั่งในที่ลับ หนึ่งต่อหนึ่ง ต้องอาบัติ
ปาจิตตีย์
มาตุคาม ภิกษุสำคัญว่าไม่ใช่มาตุคาม สำเร็จการนั่งในที่ลับ หนึ่ง
ต่อหนึ่ง ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
ติกทุกกฏ
ภิกษุสำเร็จการนั่งในที่ลับ กับหญิงยักษ์ หญิงเปรต บัณเฑาะก์ หรือ
สัตว์ดิรัจฉานตัวเมียมีกายดังมนุษย์ หนึ่งต่อหนึ่ง ต้องอาบัติทุกกฏ.
ไม่ใช่มาตุคาม ภิกษุสำคัญว่ามาตุคาม . . . ต้องอาบัติทุกกฏ.
ไม่ใช่มาตุคาม ภิกษุสงสัย... ต้องอาบัติทุกกฏ.
ไม่ต้องอาบัติ
ไม่ใช่มาตุคาม ภิกษุสำคัญว่าไม่ใช่มาตุคาม ... ไม่ต้องอาบัติ.
อนาปัตติวาร
[๕๔๖] ภิกษุมีบุรุษผู้รู้เดียงสา คนใดคนหนึ่ง อยู่เป็นเพื่อน ๑
ภิกษุยืน ไม่ได้นั่ง ๑ ภิกษุไม่ได้มุ่งที่ลับ ๑ ภิกษุนั่งส่งใจไปในอารมณ์อื่น ๑
ภิกษุวิกลจริต ๑ ภิกษุอาทิกัมมิกะ ๑ ไม่ต้องอาบัติแล.
อเจลกวรรค สิกขาบทที่ ๕ จบ

599
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ เล่ม ๒ – หน้าที่ 600 (เล่ม 4)

อเจลกวรรค สิกขาบทที่ ๖
เรื่องพระอุปนันทศากยบุตร
[๕๔๗] โดยสมัยนั้น พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าประทับอยู่ ณ พระ-
เวฬุวันวิหาร อันเป็นสถานที่พระราชทานเหยื่อแก่กระแต เขตพระนครราชคฤห์
ครั้งนั้น ตระกูลอุปัฏฐากของท่านพระอุปนันทศากยบุตร นิมนต์ท่านฉัน
ภัตตาหาร แม้ภิกษุเหล่าอื่นเขาก็นิมนต์ด้วย เวลานั้น เป็นเวลาก่อนอาหาร ท่าน
พระอุปนันทศากยบุตรยังกำลังเข้าไปสู่ตระกูลทั้งหลายอยู่ จึงภิกษุเหล่านั้น ได้
บอกทายกเหล่านั้นว่า ท่านทั้งหลายจงถวายภัตตาหารเถิด พวกทายกกล่าวว่า
นิมนต์รออยู่จนกว่าพระคุณเจ้าอุปนันท์จะมา ขอรับ.
แม้ครั้งที่สอง ภิกษุเหล่านั้นก็ได้บอกทายกเหล่านั้นว่า ท่านทั้งหลาย
จงถวายภัตตาหารเถิด พวกทายกกล่าวว่า นิมนต์รออยู่จนกว่าพระคุณเจ้า
อุปนันท์จะมา ขอรับ.
แม้ครั้งที่สาม ภิกษุเหล่านั้นก็ได้บอกทายกเหล่านั้นว่า ท่านทั้งหลาย
จงถวายภัตตาหารเถิด เวลาก่อนเที่ยงจะล่วงเลยแล้ว ทายกอ้อนวอนว่า พวก
กระผมตกแต่งภัตตาหารก็เพราะเหตุแห่งพระคุณเจ้าอุปนันท์ นิมนต์รออยู่จน
กว่าพระคุณเจ้าอุปนันท์จะมา ขอรับ.
คราวนั้น ท่านพระอุปนันท์ศากยบุตรได้เข้าไปสู่ตระกูลทั้งหลาย ก่อน
เวลาฉัน มาถึงเวลาบ่ายภิกษุทั้งหลายไม่ได้ฉันตามประสงค์ บรรดาภิกษุที่เป็น
ผู้มักน้อย. . .ต่างก็เพ่งโทษติเตียนโพนทะนาว่า ท่านพระอุปนันทศากยบุตรรับ
นิมนต์เขาแล้ว มีภัตตาหารอยู่แล้ว ไฉนจึงได้ถึงความเป็นผู้เที่ยวไปในตระกูล
ทั้งหลาย ก่อนเวลาฉันเล่า แล้วกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาคเจ้า ...

600