No Favorites




หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๑ – หน้าที่ 118 (เล่ม 55)

ได้ทรงเห็นแต่ความว่างเปล่า เพราะเทวดาทั้งปวงพากันหนีไปหมด ได้ทรง
เห็นพลมารหนุนเนื่องเข้ามาทางด้านเหนืออีก ทรงพระดำริว่า ชนนี้มีประมาณ
เท่านี้ มุ่งหมายเราผู้เดียวกระทำความพากเพียรพยายามอย่างใหญ่หลวง. ในที่นี้
ไม่มีบิดามารดา บุตร ธิดา พี่น้องชาย หรือญาติไร ๆ อื่น มีแต่บารมี ๑๐ นี้เท่านั้น
จะเป็นเช่นกับบุตรแลบริวารชนของเราไปตลอดกาลนาน เพราะฉะนั้น เราจะ
กระทำบารมีให้เป็นโล่ แล้วประหารด้วยศัสตราคือบารมีนั่นแหละ กำจัดหมู่พล
นี้เสียจึงจะควร จึงทรงนั่งระลึกถึงบารมีทั้ง ๑๐ อยู่ ลำดับนั้นเทวปุตตมารได้
บันดาลมณฑลประเทศแห่งลมให้ตั้งขึ้น ด้วยคิดว่า เราจักให้สิทธัตถะหนี
ไปด้วยลมนี้ทีเดียว ขณะนั้นเองลมอันต่างด้วยลมทิศตะวันออกเป็นต้นได้ตั้งขึ้น
แม้สามารถทำลายยอดเขาขนาดกึ่งโยชน์ ๑ โยชน์ ๒ โยชน์ และ ๓ โยชน์ถอน
รากไม้ กอไม้ และต้นไม้เป็นต้น กระทำตามและนิคมรอบด้านให้เป็น
จุรณวิจุรณไปได้ ก็มีอานุภาพอันเดชแห่งบุญของมหาบุรุษจัดเสียแล้ว พอมา
ถึงพระโพธิสัตว์ก็ไม่อาจทำแม้สักว่าชายจีวรให้ไหว ลำดับนั้นเทวปุตตมาร ได้
บันดาลให้ห่าฝนใหญ่ตั้งขึ้นด้วยหวังว่าจักให้น้ำท่วมตาย ด้วยอานุภาพของเทว-
ปุตตมารนั้น เมฆฝนอันมีหลืบได้ร้อยหลืบพันหลืบเป็นต้นเป็นประเภทตั้งขึ้น
ในเบื้องบนแล้วตกลงมา แผ่นดินได้เป็นช่องๆ ไปด้วยกำลังแห่งสายธารน้ำฝน
มหาเมฆลอยมาทางด้านบนป่าไม้ และต้นไม้เป็นต้น ก็ไม่อาจให้น้ำสักเท่า
หยาดน้ำค้างหยดให้เปียกที่จีวรของพระมหาสัตว์ แต่นั้น ได้บันดาลให้ห่าฝน
หินตั้งขึ้น ยอดภูเขาใหญ่ ๆ คุกรุ่นเป็นควันลุกเป็นเปลวไฟ ลอยมาทางอากาศ
พอถึงพระโพธิสัตว์ ก็กลับกลายเป็นกลุ่มดอกไม้ทิพย์ แต่นั้นได้บันดาลให้ห่า
ฝนเครื่องประหารตั้งขึ้น ศัสตราวุธมีดาบ หอก และลูกศรเป็นต้น มีคมข้าง
เดียวบ้าง มีคมสองข้างบ้าง คุกรุ่นเป็นควัน ลุกเป็นเปลวไฟ ลอยมาทาง
อากาศ พอถึงพระโพธิสัตว์ก็กลายเป็นดอกไม้ทิพย์ แต่นั้นได้บันดาลให้ห่าฝน

118
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๑ – หน้าที่ 119 (เล่ม 55)

ถ่านเพลิงตั้งขึ้น ถ่านเพลิงทั้งหลายมีสีดังดอกทองกวาว ลอยมาทางอากาศ
กลายเป็นดอกไม้ทิพย์โปรยปรายลงแทบบาทมูลของพระโพธิสัตว์ แต่นั้นได้
บันดาลให้ห่าฝนเถ้ารึงตั้งขึ้น เถ้ารึงร้อนจัดมีสีดังไฟลอยมาทางอากาศ กลาย
เป็นฝุ่นไม้จันทน์ตกลงแทบบาทมูลของพระโพธิสัตว์ แต่นั้น ได้บันดาลให้ห่า
ฝนทรายตั้งขึ้น ทรายทั้งหลายละเอียดยิบ คุเป็นควันลุกเป็นไฟ ลอยมาทาง
อากาศ กลายเป็นดอกไม้ทิพย์ตกลงแทบบาทมูลของพระโพธิสัตว์ แต่นั้น จึง
บันดาลห่าฝนเปือกตมให้ตั้งขึ้น เปือกตมคุเป็นควันลุกเป็นไฟ ลอยมาทาง
อากาศ กลายเป็นเครื่องลูบไล้ทิพย์ตกลงที่บาทมูลของพระโพธิสัตว์ แต่นั้นได้
บันดาลความมืดให้ตั้งขึ้นด้วยคิดว่า เราจักทำให้ตกใจกลัวด้วยความมืดนี้แล้ว
ให้สิทธัตถะหนีไป ความมืดนั้นเป็นความมืดตื้อประดุจประกอบด้วยองค์ ๔
[คือแรม ๑๔ ค่ำ ป่าชัฏ เมฆทึบ และเที่ยงคืน] พอถึงพระโพธิสัตว์ก็อันตร-
ธานไป เหมือนความมืดที่ถูกขจัดด้วยแสงสว่างแห่งพระอาทิตย์ มารไม่อาจทำ
ให้พระโพธิสัตว์หนีไปด้วยลม ฝน ห่าฝนหิน ห่าฝนเครื่องประหาร ห่าฝน
ถ่านเพลิง ห่าฝนเถ้ารึง ห่าฝนทราย ห่าฝนเปือกตม และห่าฝนคือความมืด
รวม ๙ อย่างนี้ ด้วยประการฉะนี้ จึงสั่งบริษัทนั้นว่า แน่ะพนาย พวกท่าน
จะหยุดอยู่ทำไม จงจับสิทธัตถกุมารนี้ จงฆ่า จงทำให้หนีไป ส่วนตนเอง
นั่งบนคอช้างคีรีเมข ถือจักราวุธเข้าไปใกล้พระโพธิสัตว์แล้วกล่าวว่า สิทธัตถะ
ท่านจงลุกขึ้นจากบัลลังก์นี้ บัลลังก์นี้ไม่ถึงแก่ท่าน บัลลังก์นี้ถึงแก่เรา พระ-
มหาสัตว์ได้ฟังคำของมารนั้น จึงได้ตรัสว่า ดูก่อนมาร ท่านไม่ได้บำเพ็ญ
บารมี ๑๐ อุปบารมี ๑๐ และปรมัตถบารมี ๑๐ ทั้งไม่ได้บริจาคมหาบริจาค ๕
ไม่ได้บำเพ็ญญาตัตถจริยา โลกัตถจริยาและพุทธัตถจริยา บัลลังก์นี้จึงไม่ถึง
แก่ท่าน บัลลังก์นี้ได้ถึงแก่เรา. มารโกรธอดกลั้นกำลังความโกรธไว้ไม่ได้จึง
ขว้างจักราวุธใส่พระมหาสัตว์ เมื่อพระมหาสัตว์นั้นทรงรำพึงถึงบารมี ๑๐ ทัศ

119
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๑ – หน้าที่ 120 (เล่ม 55)

อยู่ จักราวุธนั้น ได้ตั้งเป็นเพดานดอกไม้อยู่ในส่วนเบื้องบน ได้ยินว่าจักราวุธ
นั้นคมกล้านัก มารนั้นโกรธแล้วขว้างไปในที่อื่น ๆ จะตัดเสาหินแต่งทึบเป็น
อันเดียวไปเหมือนตัดหน่อไม้ไผ่ แต่บัดนี้ เมือจักราวุธนั้น กลายเป็นเพดาน
ดอกไม้ตั้งอยู่ บริษัทมารนอกนี้คิดว่า สิทธัตถกุมารจักลุกจากบัลลังก์หนีไปใน
บัดนี้ จึงพากันปล่อยยอดเขาหินใหญ่ ๆ ลงมา เนื้อพระมหาบุรุษทรงรำพึงถึง
บารมี ๑๐ ทัศ แม้ยอดเขาหินเหล่านั้นก็ถึงภาวะเป็นกลุ่มดอกไม้ตกลงยังภาค
พื้นเทวดาทั้งหลายผู้ยืนอยู่ที่ขอบปากจักรวาล ยืดคอชะเง้อศีรษะออกดูด้วยคิด
กันว่า ท่านผู้เจริญ อัตภาพอันถึงความงามแห่งพระรูปโฉมของสิทธัตถกุมาร
ฉิบหายเสียแล้วหนอ สิทธัตถกุมารจักทรงกระทำอย่างไรหนอ.
ลำดับนั้น พระมหาบุรุษตรัสว่า บัลลังก์ได้ถึงแก่เราในวันที่พระโพธิ-
สัตว์ทั้งหลายบำเพ็ญบารมีแล้วตรัสรู้ยิ่ง ดังนี้ แล้วตรัสกุมารผู้ยืนอยู่สืบไปว่า
ดูก่อนมาร ใครเป็นสักขีพยานในความที่ท่านให้ทานแล้ว. มารเหยียดมือไป
ตรงหน้าหมู่มาร โดยพูดว่า มารเหล่านั้นมีประมาณเท่านี้เป็นพยาน. ขณะนั้น
เสียงของบริษัทมารซึ่งเป็นไปว่า เราเป็นพยาน เราเป็นพยาน ดังนี้ ได้เป็น
เช่นกับเสียงแผ่นดินทรุด. ลำดับนั้น มารจึงกล่าวกะพระมหาบุรุษว่า ดูก่อน
สิทธัตถะ. ในภาวะที่ท่านให้ทาน ใครเป็นสักขีพยาน พระมหาบุรุษตรัสว่า
ก่อนอื่น ในภาวะที่ท่านให้ทาน พลมารทั้งหลายผู้มีจิตใจเป็นพยาน แต่
สำหรับเรา ใคร ๆ ผู้มีจิตใจชื่อว่าจะเป็นพยานให้ ย่อมไม่มีในที่นี้ ทานที่
เราให้แล้วในอัตภาพอื่น ๆ จงยกไว้ ก็ในภาวะที่เราดำรงอยู่ในอัตภาพเป็น
พระเวสสันดรแล้ว ได้ให้สัตตสตกมหาทาน ให้สิ่งของอย่างละ ๗๐๐ มหา-
ปฐพีอันหนาทึบนี้ แม้จะไม่มีจิตใจก็เป็นสักขีพยานให้ก่อน จึงทรงนำออก
เฉพาะพระหัตถ์ขวา จากภายในกลีบจีวร แล้วทรงเหยียดพระหัตถ์ชี้ลงตรง

120
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๑ – หน้าที่ 121 (เล่ม 55)

หน้ามหาปฐพี พร้อมกับตรัสว่า ในคราวที่เราดำรงอยู่ในอัตภาพเป็นพระ-
เวสสันดรแล้วให้สัตตสตกมหาทาน ท่านได้เป็นพยานหรือไม่ได้เป็น. มหา-
ปฐพีได้ดั่งสนั่นหวั่นไหวประหนึ่งท่วมทับพลมาร ด้วยร้อยเสียงพันเสียงว่า
ในกาลนั้น เราเป็นพยานท่าน แต่นั้น มหาปฐพีได้กล่าวว่า ท่านสิทธัตถะ
ทานที่ท่านให้แล้ว เป็นมหาทาน เป็นอุดมทาน เมื่อพระมหาบุรุษพิจารณา
ไป ๆ ถึงทานที่ได้ให้โดยอัตภาพเป็นพระเวสสันดร ช้างคีรีเมขสูง ๑๕๐ โยชน์
ก็คุกเข่าลง. บริษัทของมารต่างพากันหนีไปยังที่ศานุทิศ. ชื่อว่ามารสองตน
จะไปทางเดียวกัน ย่อมไม่มี ต่างละทิ้งเครื่องประดับศีรษะ และผ้าที่นุ่งห่ม
หนีไปเฉพาะทิศทั้งหลายตรง ๆ หน้า. ลำดับนั้น หมู่เทพทั้งหลายเห็นมาร
และพลมารหนีไปแล้ว กล่าวกันว่า มารปราชัยพ่ายแพ้แล้ว สิทธัตถกุมารมี
ชัยชนะแล้ว พวกเรามากระทำการบูชาความมีชัยกันเถิด ดังนี้ พวกนาคก็
ประกาศแก่พวกนาค พวกครุฑก็ประกาศแก่พวกครุฑ พวกเทวดาก็ประกาศ
แก่พวกเทวดา พวกพรหมก็ประกาศแก่พวกพรหม พวกวิชชาธร (ก็ประกาศ
แก่พวกวิชชาธร) ต่างมีมือถือของหอมและดอกไม้เป็นต้นมายังโพธิบัลลังก์
สำนักของพระมหาบุรุษ. ก็เมื่อมารและพลมารเหล่านั้น หนีไปอย่างนี้แล้ว
ในกาลนั้น หมู่นาคมีใจเบิกบาน ประกาศความ
ชนะของพระมเหสีเจ้า ณ โพธิมัณฑ์ว่า ก็พระพุทธเจ้า
ผู้มีสิรินี้ทรงมีชัยชำนะ ส่วนมารผู้ลามกปราชัยพ่ายแพ้
แล้ว.
แต่หมู่ครุฑก็มีใจเบิกบาน ประกาศความชนะ
ของพระมเหสีเจ้า ณ โพธิมัณฑ์ว่า ก็พระพุทธเจ้าผู้มี
พระสิรินี้ทรงมีชัยชนะ ส่วนมารผู้ลามกปราชัยพ่ายแพ้
แล้ว.

121
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๑ – หน้าที่ 122 (เล่ม 55)

ในกาลนั้น หมู่เทพมีใจเบิกบาน ประกาศความ
ชนะของพระมเหสีเจ้า ณ โพธิมัณฑ์ว่า ก็พระพุทธเจ้า
ผู้มีสิรินี้ทรงมีชัยชนะ ส่วนมารผู้ลามกปราชัยพ่ายแพ้
แล้ว.
ในกาลนั้น แม้หมู่พรหมก็มีใจเบิกบาน. ประกาศ
ความชนะของพระมเหสีเจ้า ณ โพธิมัณฑ์ว่า ก็พระ-
พุทธเจ้าผู้มีพระสิรินี้ทรงมีชัยชนะ ส่วนมารผู้ลามก
ปราชัยพ่ายแพ้แล้ว แล.
เทวดาในหมื่นจักรวาลที่เหลือ บูชาด้วยดอกไม้ของหอม และเครื่อง
ลูบไล้เป็นต้น ได้ยืนกล่าวสดุดีมีประการต่าง ๆ เมื่อพระอาทิตย์ยังทอแสงอยู่
อย่างนี้นั่นแล พระมหาบุรุษทรงขจัดมารและพลมารได้แล้ว อันหน่อโพธิพฤกษ์
ซึ่งตกลงเหนือจีวร ประหนึ่งกลีบแก้วประพาฬแดง บูชาอยู่ ทรงระลึกได้
บุพเพนิวาสญาณในปฐมยาม ทรงชำระทิพยจักษุในมัชฉิมยาม ทรงยังญาณ
ให้หยั่งลงในปฏิจจสมุปบาทในปัจฉิมยาม ครั้งเมื่อพระมหาบุรุษนั้น ทรงพิจารณา
ปัจจยาการอันประกอบด้วยองค์ ๑๒ โดยอนุโลมและปฏิโลมด้วยอำนาจวัฏฏะ
และวิวัฏฏะ หมื่นโลกธาตุหวั่นไหว ๑๒ ครั้ง จนจรดน้ำรองแผ่นดินเป็นที่สุด
ก็พระมหาบุรุษทรงยังหมื่นโลกที่ให้บันลือลั่นหวั่นไหวแล้ว ได้ทรงรู้แจ้ง
แทงตลอดพระสัพพัญญุตญาณ ในเวลาอรุณขึ้น เมื่อพระมหาบุรุษนั้นทรง
บรรลุพระสัพพัญญุตญาณแล้ว หมื่นโลกธาตุทั้งสิ้นได้มีการประดับตกแต่งแล้ว
รัศมีของธงชัยและธงปฏากที่ยกขึ้น ณ ปากขอบจักรวาลทิศตะวันออก กระทบ
ถึงขอบปากจักรวาลทิศตะวันตก ที่ยกขึ้น ณ ชอบปากจักรวาลทิศตะวันตกก็
เหมือนกัน กระทบถึงขอบปากจักรวาลทิศตะวันออก ที่ยกขึ้น ณ ขอบปาก
จักรวาลทิศเหนือ กระทบถึงขอบปากจักรวาลทิศใต้ ที่ยกขึ้น ณ ขอบปาก
จักรวาลทิศใต้ กระทบถึงขอบปากจักรวาลทิศเหนือ ส่วนรัศมีของธงชัยและ

122
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๑ – หน้าที่ 123 (เล่ม 55)

ธงปฏากที่ยกขึ้น ณ พื้นปฐพี ได้ตั้งอยู่จรดพรหมโลก. รัศมีที่ตั้งอยู่ในพรหม
โลก ก็ตั้งถึงพื้นปฐพี. ต้นไม้ดอกในหมื่นจักรวาลก็ผลิดอก ต้นไม้ผล
ก็ได้เต็มไปด้วยพวงผล ปทุมชนิดลำต้นก็ออกดอกที่ลำต้น ปทุมชนิดกิ่งก้านก็
ออกดอกที่กิ่งก้าน ปทุมชนิดเครือเถาก็ออกดอกที่เครือเถา ปทุมชนิดห้อยก็
ออกดอกในอากาศ ปทุมชนิดเป็นช่อได้เจาะทำลายช่อหินตั้งขึ้นซ้อน ๆ
กันช่อละ ๗ ชั้น หมื่นโลกธาตุได้หนุนไป เหมือนกลุ่มด้ายที่คลายออกและ
เหมือนเครื่องปูลาดที่จัดวางไว้ดีแล้วฉะนั้น. โลกันตนรกกว้าง ๕๐๐ โยชน์ใน
ระหว่างจักรวาลทั้งหลาย ไม่เคยสว่างด้วยแสงพระอาทิตย์ ๗ ดวง ก็ได้มีแสง
สว่างไสวเป็นอันเดียวกันมหาสมุทรลึก ๘๔,๐๐๐ โยชน์ ได้กลายเป็นน้ำหวาน
แม่น้ำทั้งหลายไม่ไหล คนบอดแต่กำเนิดแลเห็นรูป คนหนวกแต่กำเนิดได้ยิน
เสียง คนง่อยเปลี้ยแต่กำเนิดเดินได้ กรรมกรณ์ทั้งหลายมีเครื่องจองจำเป็นต้น
แห่งบรรดาเครื่องจองจำคือขื่อเป็นต้น ได้ขาดหลุดไป. พระมหาบุรุษอัน
เทวดาและมนุษย์ทั้งหลายบูชาด้วยสมบัติอัน ประกอบด้วยสิริหาปริมาณมิได้ ด้วย
ประการอย่างนี้ เมื่ออัจฉริยธรรมอันน่าอัศจรรย์ทั้งหลายมีประการต่าง ๆ ปรากฏ
แล้ว ได้แทงตลอดพระสัพพัญญุตญาณ จึงทรงเปล่งอุทานที่พระพุทธเจ้าทั้ง
ปวงมิได้ทรงละว่า
เราเมื่อแสวงหานายช่าง (คือตัณหา) ผู้กระทำ
เรือน เมื่อไม่ประสบ ได้ท่องเที่ยวไปยังสงสารมิใช่
น้อย ความเกิดบ่อย ๆ เป็นทุกข์ ดูก่อนนายช่างผู้
กระทำเรือน เราเห็นท่านแล้ว ท่านจักทำเรือนไม่ได้
อีกต่อไป ซี่โครงทั้งปวงของท่าน เราหักแล้ว ยอด
เรือนเรากำจัดแล้ว จิต (ของเรา) ถึงวิสังขาร (นิพพาน)
แล้ว เราได้ถึงความสิ้นตัณหาแล้ว.

123
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๑ – หน้าที่ 124 (เล่ม 55)

ฐานะมีประมาณท่าน เริ่มแต่ดุสิตบุรีจนกระทั่งบรรลุพระสัพพัญญุต-
ญาณที่โพธิมัณฑ์นี้ พึงทราบว่า ชื่ออวิทูเรนิทาน ด้วยประการฉะนี้.
สันติเกนิทาน
ก็สันติเกนิทาน ท่านกล่าวว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าเมื่อประทับอยู่
ในที่นั้น ๆ อย่างนี้ว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ในพระวิหารเชตวันอัน
เป็นอารามของท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี ใกล้กรุงสาวัตถี (และว่า) ประทับ
อยู่ในกูฏาคารศาลาป่ามหาวัน ใกล้กรุงเวสาลี ดังนี้ สันติเกนิทานย่อมมีได้
ในที่นั้น ๆ นั่นเอง. ท่านกล่าวไว้อย่างนั้นก็จริง ถึงอย่างนั้น สันติเกนิทาน
นั้นพึงทราบอย่างนั้น จำเดิมแต่ต้นไป.
ก็พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับนั่งบนบัลลังก์ชัย เปล่งอุทานนี้แล้ว ได้มี
พระดำริดังนี้ว่า เราแล่นไปถึงสี่อสังไขยกับแสนกัป ก็เพราะเหตุบัลลังก์นี้ เรา
ตัดศีรษะอันประดับ แล้วที่ลำคอแล้วให้ทานไปตลอดกาลมีประมาณเท่านี้ ก็เพราะ
เหตุบัลลังก์นี้ เราควักนัยน์ตาที่หยอดดีแล้ว (และ) ควักเนื้อหัวใจให้ไปให้บุตร
เช่นชาลีกุมาร ให้ธิดาเช่นกับกัณหาชินากุมารี และให้ภรรยาเช่นพระมัทรีเทวี
เพื่อเป็นทาสของตนอื่น ๆ เพราะเหตุบัลลังก์นี้. บัลลังก์นี้เป็นบัลลังก์ชัย เป็น
บัลลังก์ประเสริฐของเรา ความดำริของเราผู้นั่งบนบัลลังก์นี้ ยังไม่บริบูรณ์เพียง
ใด เราจักไม่ลุกขึ้นจากบัลลังก์นี้เพียงนั้น ดังนี้ จึงทรงนั่งเข้าสมาบัติหลายแสน
โกฏิอยู่ ณ บัลลังก์นั้นนั่นแหละตลอดสัปดาห์ ซึ่งท่านหมายกล่าวไว้ว่า
ครั้งนั้นแล พระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงนั่งเสวยวิมุตติสุขโดยบัลลังก์
เดียว ตลอดสัปดาห์๑ ครั้งนั้น เทวดาบางเหล่าเกิดความปริวิตกขึ้นว่า แม้
๑. สัปดาห์ที่ ๑ หลังจากตรัสรู้

124
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๑ – หน้าที่ 125 (เล่ม 55)

วันนี้ พระสิทธัตถะก็ยังมีกิจที่จะต้องทำอยู่หรือหนอ เพราะยังไม่ละความอาลัย
ในบัลลังก์. พระศาสดาทรงทราบความวิตกของเทวดาทั้งหลาย เพื่อจะทรง
ระงับความปริวิตกของเทวดาเหล่านั้น จึงทรงเหาะขึ้นยังเวหาส ทรงแสดง
ยมกปาฏิหาริย์. จริงอยู่ ยมกปาฏิหาริย์ที่ทรงกระทำ ณ มหาโพธิมัณฑ์ก็ดี
ปาฏิหาริย์ที่ทรงกระทำในสมาคมพระญาติก็ดี ปาฏิหาริย์ที่ทรงกระทำในสมาคม
ชาวปาตลีบุตรก็ดี ทั้งหมดได้เป็นเหมือนยมกปาฏิหาริย์ที่ควงไม้คัณฑามพพฤกษ์.
พระศาสดาครั้นทรงระงับความปริวิตกของเทวดาทั้งหลายด้วยปาฏิ-
หาริย์นี้แล้ว จึงประทับยืนทางด้านทิศเหนือเยื้องไปทางทิศทะวันออกนิดหน่อย
ทรงพระดำริว่า เราได้รู้แจ้งพระสัพพัญญุตญาณบนบัลลังก์นี้หนอ จึงทอด
พระเนตรทั้งสองโดยไม่กระพริบ มองดูบัลลังก์อันเป็นสถานที่บรรลุผลแห่ง
บารมีที่ทรงบำเพ็ญมาตลอดสี่อสงไขยแสนกัป ทรงยับยั้งอยู่หนึ่งสัปดาห์.
สถานที่นั้น จึงชื่อว่า อนิมิสเจดีย์๑
ลำดับนั้น ทรงนิรมิตที่จงกรมในระหว่างบัลลังก์ และที่ที่ประทับยืน
แล้วทรงจงกรมในรัตนจงกรมอันยาวจากตะวันออกไปตะวันตก ทรงยับยั้งอยู่
หนึ่งสัปดาห์. สถานที่นั้น จึงชื่อว่า รัตนจงกรมเจดีย์.๒
แต่ในสัปดาห์ที่ ๔ เทวดาทั้งหลายนิรมิตเรือนแก้วในด้านทิศพายัพ
จากต้นโพธิประทับนั่งบนบัลลังก์ในเรือนแก้วนั้น ทรงพิจารณาพระอภิธรรม
ปิฎกและสมันตปัฏฐานอันนี้นัยในเรือนแก้วนี้ โดยพิเศษ ทรงยับยั้งอยู่หนึ่ง
สัปดาห์. ส่วนนักอภิธรรมกล่าวว่า เรือนอันล้วนแล้วด้วยแก้ว ชื่อว่า
รัตนฆระเรือนแก้ว สถานที่ทรงพิจารณาปกรณ์ทั้ง ๗ พระคัมภีร์ ก็ชื่อว่า
รัตนฆรเรือนแก้ว. ก็เพราะเหตุที่ปริยายแม้ทั้งสองนี้ย่อมใช้ได้ในที่นี้ ฉะนั้น
๑. สัปดาห์ที่ ๒ นับแต่ตรัสรู้ ๒. สัปดาห์ที่ ๓ นับแต่ตรัสรู้

125
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๑ – หน้าที่ 126 (เล่ม 55)

คำทั้งสองนี้ควรเธอถือทีเดียว. ก็จำเดิมแต่นั้นมา สถานที่นั้น จึงชื่อว่า รัตน-
ฆรเจดีย์.๑
พระศาสดาทรงยับยั้งอยู่ ณ ที่ใกล้ต้นโพธิ์นั่นเอง ตลอด ๔ สัปดาห์
ด้วยอาการอย่างนี้ ในสัปดาห์ที่ ๕ จึงเสด็จจากควงโพธิพฤกษ์เข้าไปยังต้น
อชปาลนิโครธ ทรงนั่งพิจารณาพระธรรมและเสวยวิมุตติสุขอยู่ ณ ต้นอช-
ปาลนิโครธ๒ แม้นั้น.
สมัยนั้น เทวปุตรมารติดตามอยู่ตลอดกาลมีประมาณเท่านี้ แม้จะเพ่ง
มองหาช่องทางอยู่ ก็ไม่ได้เห็นความพลั้งพลาดอะไร ๆ ของพระสิทธัตถะนี้ จึง
ถึงความโทมนัสว่า บัดนี้สิทธัตถะนี้ล่วงพ้นวิสัยของเราแล้ว จึงนั่งที่หนทาง
ใหญ่คิดถึงเหตุ ๑๖ ประการ จึงขีดเส้น ๑๖ เส้นลงบนแผ่นดิน คือคิดว่า เรา
ไม่ได้บำเพ็ญทานบารมีเหมือนสิทธัตถะนี้แล้วขีดลงไปเส้นหนึ่ง. อนึ่ง คิดว่า
เราไม่ได้บำเพ็ญศีลบารมี เนกขัมมบารมี ปัญญาบารมี วิริยบารมี ขันติบารมี
สัจบารมี อธิษฐานบารมี เมตตาบารมี อุเบกขาบารมี เหมือนสิทธัตถะนี้
ด้วยเหตุนั้น เราจึงไม่เป็นเหมือนสิทธัตถะนี้ แล้วขีดเส้น (ที่ ๒ ถึง) ที่ ๑๐.
อนึ่ง คิดว่า เราไม่ได้บำเพ็ญบารมี ๑๐ อันเป็นอุปนิสัยแก่การแทงตลอด
อาสยานุสยญาณ อินทริยปโรปริยญาณ มหากรุณาสมาปัตติญาณ ยมกปาฏิ-
หาริยญาณ อนาวรณญาณ และสัพพัญญุญาณ อันไม่ทั่วไปแก่ผู้อื่น เหมือน
ดังสิทธัตถะนี้ ด้วยเหตุนั้นเราจึงไม่เป็นเหมือนดังสิทธัตถะนี้ แล้วขีดเส้น (ที่
๑๑ ถึง) ที่ ๑๖ เมื่อเทวปุตตมารนั้นนั่งขีดเส้น ๑๖ เส้น อยู่บนทางใหญ่ เพราะ
เหตุเหล่านั้น ด้วยประการอย่างนี้แล้ว สมัยนั้น ธิดามารทั้ง ๓ คือ นางตัณหา
นางอรดีและนางราคา กล่าวกันว่า บิดาของพวกเราไม่ปรากฏ บัดนี้ อยู่ที่
๑. สัปดาห์ที่ ๔ นับแต่ตรัสรู้ ๑. สัปดาห์ที่ ๕ นับแต่ตรัสรู้

126
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๑ – หน้าที่ 127 (เล่ม 55)

ไหนหนอ จึงมองหาอยู่. ได้เห็นเทวปุตรมารนั้น ได้รับความโทมนัสขีดแผ่น
ดินอยู่ จึงพากันไปยังสำนักของบิดาถามว่า ท่านพ่อ เพราะเหตุไร ท่านพ่อจึง
เป็นทุกข์ หม่นหมองใจ. เทวปุตรมารกล่าวว่า ลูกเอ๋ย มหาสมณะนี้ล่วงพ้น
อำนาจของเราเสียแล้ว พ่อคอยดูอยู่ตลอดกาลมีประมาณเท่านี้ ยังไม่อาจเห็น
ช่องโอกาสของมหาสมณะนี้ ด้วยเหตุนั้น พ่อจึงเป็นทุกข์หม่นหมองใจ. มารธิดา
กล่าวว่า ถ้าเมื่อเป็นอย่างนั้น คุณพ่ออย่าได้เสียใจ พวกข้าพเจ้าจักกระทำ
มหาสมณะนั้น ให้อยู่ในอำนาจของตน แล้วจักพามา. เทวปุตรมารกล่าวว่า
ลูกเอ๋ย ใคร ๆ ไม่อาจทำมหาสมณะนี้ให้อยู่ในอำนาจ บุรุษผู้นี้ตั้งอยู่ใน
ศรัทธาอันไม่หวั่นไหว. ธิดามารกล่าวว่า ท่านพ่อ พวกข้าพเจ้าเป็นลูกผู้หญิง
นะ พวกข้าพเจ้าจักเอาบ่วงคือราคะเป็นต้น ผูกมหาสมณะให้มั่นแล้วนำมาให้
เดี๋ยวนี้ ท่านพ่ออย่าคิดไปเลย. กล่าวแล้วธิดามารทั้ง ๓ นั้น จึงจากที่นี้เข้าไป
หาพระผู้มีพระภาคเจ้ากราบทูลว่า ข้าแต่พระสมณะ พวกข้าพระบาทจักบำเรอ
เท้าของพระองค์. พระผู้มีพระภาคเจ้า มิได้ลืมพระเนตรแลดู มีพระมนัสน้อม
ไปในธรรมเครื่องสิ้นไปแห่งอุปธิอันยอดเยี่ยม และประทับนั่งเสวยสุขอันเกิด
แต่วิเวกเท่านั้น. ธิดามารคิดกันอีกว่าความประสงค์ของพวกผู้ชายไม่เหมือนกัน
ผู้ชายบางคนรักหญิงกุมารีรุ่นสาว บางคนรักหญิงผู้อยู่ในปฐมวัย บางคนรักหญิง
ผู้ตั้งอยู่ในมัชฌิมวัย บางคนรักหญิงผู้ตั้งอยู่ในปัจฉิมวัย ถ้ากระไร พวกเรา
ควรประเล้าประโลมด้วยรูปนานาประการ จึงนางหนึ่ง ๆ นิรมิตอัตภาพเป็น
ร้อย ๆ อัตภาพ โดยเป็นรูปหญิงรุ่นเป็นต้น เป็นหญิงยังไม่ตลอด
เป็นหญิงคลอดคราวเดียว เป็นหญิงตลอด ๒ คราว เป็นหญิงกลางคนและเป็น
หญิงรุ่นใหญ่ เข้าไปหาพระผู้มีพระภาคเจ้าถึง ๖ ครั้ง แล้วกล่าวว่า ข้าแต่
พระสมณะ พวกข้าพระบาทจักบำเรอบาทของพระองค์. พระผู้มีพระภาคเจ้า

127