หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๑ – หน้าที่ 18 (เล่ม 55)

ไม่ได้ เพราะเมื่อคนทำความชั่วในที่นั้นย่อมละอาย เพราะฉะนั้น การปกปิด
ความนินทาไม่ได้ เป็นคุณข้อที่ ๘ โคนไม้เหมือนกับอยู่ในที่กลางแจ้ง ย่อม
ไม่ยังร่างกายให้อึดอัด เพราะฉะนั้นการที่ร่างกายไม่อึดอัดจึงเป็นคุณข้อ ๕
ไม่มีการต้องทำการหวงแหนไว้ เป็นคุณข้อที่ ๖ ห้ามเสียได้ซึ่งความอาลัยใน
บ้านเรือน เป็นคุณข้อที่ ๗ ไม่มีการที่จะต้องพูดว่า เราจักปัดกวาดเช็ดถู
พวกท่านจงออกไป แล้วก็ไล่ไปเหมือนในเรือนที่ทั่วไปแก่คนหมู่มาก เป็น
คุณข้อที่ ๘ ผู้อยู่ก็ได้รับความเอิบอิ่มใจ เป็นคุณข้อที่ ๙ ไม่ต้องอาลัยอาวรณ์
เพราะเสนาสนะคือโคนต้นไม้หาได้ง่ายไม่ว่าจะไปที่ไหน เป็นคุณข้อที่ ๑๐.
พระมหาสัตว์เห็นคุณ ๑๐ อย่างเหล่านั้น จึงกล่าวว่า เราเข้าอาศัยโคนต้นไม้
ดังนี้. พระมหาสัตว์กำหนดเหตุมีประมาณเท่านี้เหล่านั้นแล้ว วันรุ่งขึ้นก็เข้าไป
เพื่อภิกษา. ครั้งนั้น พวกมนุษย์ในบ้านที่ท่านไปถึงได้ถวายภิกษาด้วยความ
อุตสาหะใหญ่ ท่านทำภัตกิจเสร็จแล้วมายังอาศรม นั่งลงแล้วคิดว่า เราบวช
ด้วยคิดว่าเราจะไม่ได้อาหารก็หาไม่ ธรรมดาว่าอาหารที่อร่อยนี้ย่อมยังความ
เมาด้วยอำนาจมานะและความเมาในความเป็นบุรุษให้เจริญ และที่สุดแห่งทุกข์
อันมีอาหารเป็นมูลไม่มี ถ้ากระไรเราพึงเลิกละอาหารที่เกิดจากข้าวที่เขาหว่าน
และปลูก บริโภคผลไม้ที่หล่นเองดังนี้. จำเดิมแต่นั้นท่านกระทำอย่างนั้น
พากเพียรพยายามอยู่ในภายในสัปดาห์หนึ่ง ทำให้สมาบัติ ๘ และอภิญญา ๕
เกิดขึ้นได้แล้ว. เพราะเหตุนั้นท่านจึงกล่าวว่า
เราเลิกละข้าวที่หว่านที่ปลูกโดยเด็ดขาด มา
บริโภคผลไม้ที่หล่นเอง ที่สมบูรณ์ด้วยคุณเป็นอันมาก
เราเริ่มตั้งความเพียรในการนั่ง การยืน และการเดิน
จงกรมที่โคนต้นไม้นั้น ในภายในสัปดาห์หนึ่ง ก็ได้
บรรลุอภิญญาพละ ดังนี้.

18
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๑ – หน้าที่ 19 (เล่ม 55)

เมื่อสุเมธดาบสบรรลุอภิญญาพละอย่างนี้แล้ว ให้เวลาล่วงไปด้วยสุข
อันเกิดจากสมาบัติ พระศาสดาทรงพระนามว่าที่ปังกร เสด็จอุบัติขึ้นในโลก
แล้ว ในการถือปฏิสนธิ การอุบัติขึ้น การตรัสรู้และการประกาศพระธรรม-
จักร โลกธาตุหมื่นหนึ่งแม้ทั้งสิ้นหวั่นไหวสั่นสะเทือนร้องลั่นไปหมด บุรพ-
นิมิต ๓๒ ประการปรากฏขึ้นแล้ว. สุเมธบัณฑิตให้เวลาล่วงเลยไปด้วยสุขอัน
เกิดแต่สมาบัติ ไม่ได้ยินเสียงนั้นเลย ทั้งไม่ได้เห็นนิมิตแม้เหล่านั้นด้วย.
เพราะเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวว่า
เมื่อเราบรรลุความสำเร็จในศาสนาเป็นผู้มีความ
ชำนิชำนาญอย่างนี้ พระชินเจ้าผู้เป็นโลกนายกทรง
พระนามว่าที่ปังกร เสด็จอุบัติขึ้นแล้ว เมื่อพระองค์
ทรงถือกำเนิด เสด็จอุบัติขึ้น ตรัสรู้ แสดงพระธรรม
เทศนา เราเอิบอิ่มอยู่ด้วยความยินดีในณาน มิได้เห็น
นิมิตทั้ง ๔ เลย.
ในกาลนั้นพระทศพลทรงพระนามว่าทีปังกร มีพระขีณาสพสี่แสน
ห้อมล้อมแล้ว เสด็จจาริกไปตามลำดับเสด็จถึงนครชื่อรัมมกะ๑ เสด็จประทับ
ณ สุทัสนมหาวิหาร. พวกชาวรัมมกนครได้กล่าวว่า ได้ยินว่าพระพุทธเจ้าทรง
พระนามว่าทีปังกร ผู้เป็นใหญ่กว่าสนณะ ทรงบรรลุอภิสัมโพธิอย่างยิ่ง ทรง
ประกาศพระธรรมจักรอันบวร เสด็จจาริกไปโดยลำดับ เสด็จถึงรัมมกนครแล้ว
เสด็จประทับอยู่ที่สุทัสนมหาวิหาร ต่างพากันถือเภสัชมีเนยใสและเนยข้นเป็น
นี้ และผ้าเครื่องนุ่งห่ม มีมือถือของหอมและดอกไม้เป็นต้น พระพุทธ
พระธรรม พระสงฆ์อยู่ ณ ที่ใด ก็หลั่งไหลพากันติดตามไป ณ ที่นั้น ๆ เข้า
ไปเฝ้าพระศาสดาแล้วถวายบังคม บูชาด้วยของหอมและดอกไม้เป็นต้นแล้วนั่ง
ณ ที่ควรข้างหนึ่ง ฟังพระธรรมเทศนาแล้วทูลนิมนต์เพื่อเสวยในวันรุ่งขึ้น
๑. บางแห่งเป็นรัมมนคร

19
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๑ – หน้าที่ 20 (เล่ม 55)

พากัน ลุกจากที่นั่งแล้วหลีกไป. ในวันรุ่งขึ้นต่างพากันตระเตรียมมหาทานประดับ
ประดานคร ตกแต่งหนทางที่จะเสด็จมาของพระทศพล ในที่มีน้ำเซาะก็เอา
ดินถมทำพื้นที่ดินให้ราบเสมอ โรยทรายอันมีสีดังแผ่นเงิน โปรยปรายข้าว
ตอกและดอกไม้ ปักธงชายและธงแผ่นผ้าพร้อมด้วยผ้าย้อมสีต่าง ๆ ตั้งต้น
กล้วยและหม้อน้ำเต็มด้วยดอกไม้เรียงรายเป็นแถว. ในกาลนั้นสุเมธดาบสเหาะ
จากอาศรมบทของตน มาโดยทางอากาศ เบื้องบนของพวกมนุษย์เหล่านั้น
เห็นพวกเขาร่าเริงยินดีกันคิดว่า มีเหตุอะไรกันหนอ จึงลงจากอากาศยืน ณ
ที่ควรข้างหนึ่ง ถามพวกเขาว่า ท่านผู่เจริญ พวกท่านพากันประดับ ประดา
ทางนี้เพื่อใคร ดังนี้ เพราะเหตุนั้นท่านจึงกล่าวว่า
พวกมนุษย์มีใจยินดีนิมนต์พระตถาคต ในเขต
แดนแห่งปัจจันตประเทศแล้ว พากันชำระสะสางทาง
เสด็จดำเนินมาของพระองค์ สมัยนั้นเราออกไปจาก
อาศรมของตน สะบัดผ้าเปลือกไม้ไปมาแล้ว ที่นั้นก็
เหาะไปทางอากาศ.
เราเห็นชนต่างเกิดความดีใจ ต่างยินดีร่าเริง ต่าง
ปราโมทย์ จึงลงจากท่องฟ้าไต่ถามพวกมนุษย์ทันที่ว่า
มหาชนยินดีร่าเริงปราโมทย์ เกิดความดีใจ พวกเขา
ชำระสะสางถนนหนทางเพื่อใคร.
พวกมนุษย์จึงเรียนว่า ข้าแต่ท่านสุเมธผู้เจริญ ท่านไม่ทราบอะไร พระ-
ทศพลทีปังกรทรงบรรลุสัมโพธิญาณแล้ว ประกาศพระธรรมจักรอันประเสริฐ
เสด็จจาริกมาถึงนครของพวกเราแล้ว เสด็จพำนักที่สุทัสนมหาวิหาร พวกเรา
นิมนต์พระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้นมา จึงตกแต่งทางนี้ ที่จะเป็นที่เสด็จมา
ของพระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าพระองค์นั้น. สุเมธดาบสคิดว่า แม้เพียงคำประกาศ

20
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๑ – หน้าที่ 21 (เล่ม 55)

ว่า พระพุทธเจ้า ก็หาได้ยากในโลก จะป่วยกล่าวไปไยถึงการอุบัติขึ้นแห่งพระ-
พุทธเจ้า แม้เราก็ควรจะร่วมกับมนุษย์เหล่านั้นตกแต่งทางเพื่อพระทศพลด้วย.
ท่านจึงกล่าวกะพวกมนุษย์เหล่านั้นว่า ท่านผู้เจริญ ถ้าพวกท่านตกแต่งทางนี้เพื่อ
พระพุทธเจ้า ขอจงให้โอกาสส่วนหนึ่งแก่เราบ้าง แม้เราก็จักตกแต่งทางเพื่อ
พระทศพลพร้อมกับพวกท่าน พวกเขาก็รับปากว่า ดีแล้ว ต่างรู้ว่า สุเมธ-
ดาบสมีฤทธิ์ จึงกำหนดที่ว่างซึ่งมีน้ำเซาะให้กล่าวว่า ท่านจงแต่งที่นี้เถิด แล้ว
มอบให้ไป สุเมธดาบสยึดเอาปีติซึ่งมีพระพุทธเจ้าเป็นอารมณ์คิดว่า เราสามารถ
จะตกแต่งที่ว่างนี้ด้วยฤทธิ์ได้ แต่เมื่อเราตกแต่งเช่นนี้ ใจก็จะไม่ยินดีนัก วัน
นี้เราควรจะกระทำการรับใช้ด้วยกาย ดังนี้แล้ว ขนดินมาเทลงในที่ว่างนั้น.
เมื่อที่ว่างแห่งนั้น ยังตกแต่งไม่เสร็จเลย พระทศพลทีปังกร มีพระขีณาสพผู้ได้
อภิญญา ๖ มีอานุภาพมาก สี่แสนรูปห้อมล้อม เมื่อเหล่าเทวดาบูชาอยู่ด้วยของ
หอมและดอกไม้ทิพย์ เมื่อสังคีตบรรเลงอยู่ เมื่อเหล่ามนุษย์บูชาอยู่ด้วยของ
หอมและดอกไม้ เสด็จเยื้องกรายบนพื้นมโนสิลา ด้วยพระพุทธลีลาอันหาที่สุดมิ
ได้ ประดุจราชสีห์ เสด็จดำเนินนาสู่ทางที่ตกแต่งประดับประดาแล้วนั้น.
สุเมธดาบสลืมตาทั้งสองขึ้นมองดูพระวรกายของพระทศพลผู้เสด็จดำเนินมาตาม
ทางที่ตกแต่งแล้ว ซึ่งถึงความเลิศด้วยพระรูปโฉม ประดับด้วยพระมหาปุริส-
ลักษณะ ๓๒ ประการ สวยงามด้วยพระอนุพยัญชนะ (ลักษณะส่วนประกอบ)
๘๐ ประการ แวดวงด้วยแสงสว่างมีประมาณวาหนึ่ง เปล่งพระพุทธรัศมีหนา
ทึบมีสี ๖ ประการออกนาดูประหนึ่งสายฟ้าหลายหลาก ในพื้นท้องฟ้ามีสีดุจแก้ว
มณี ฉายแสงแปลบปลาบอยู่ไปมาและเป็นคู่ ๆ กัน จึงคิดว่า วันนี้เราควร
กระทำการบริจาคชีวิตแด่พระทศพล เพราะฉะนั้น ขอพระผู้มีพระภาคเจ้าอย่า
ได้ทรงเหยียบเปือกตม แต่จงทรงย่ำหลังของเรา เสด็จพร้อมกับพระขีณาสพ
สี่แสนเหมือนทรงเหยียบสะพานแก้วมณีเถิด ข้อนั้นจักเป็นไปเพื่อประโยชน์เพื่อ

21
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๑ – หน้าที่ 22 (เล่ม 55)

ความสุขแก่เราตลอดกาลนาน ดังนี้แล้วแก้ผมออก ลาดหนังเสือ ชฎาและผ้า
เปลือกไม้วางลงบนเปือกตม ซึ่งมีสีดำ อนบนหลังเปือกตมเหมือนสะพานแผ่น
แก้วมณี เพราะเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวว่า
พวกมนุษย์เหล่านั้น ถูกเราถามแล้วยืนยันว่า
พระพุทธเจ้าผู้ยอดเยี่ยมเป็นพระชินะเป็นพระโลกนายก
ทรงพระนานว่า ทีปังกร เสด็จอุบัติขึ้นแล้วในโลก
พวกเขาแล้วถางถนนหนทางเพื่อพระองค์ ปีติเกิดขึ้น
แล้วแก่เราทันใดเพราะได้ฟังคำว่า พุทโธ เราเมื่อกล่าว
อยู่ว่า พุทโธ พุทโธ ก็ได้เสวยโสมนัสแล้ว เรายืน
อยู่ในที่นั้นยินดี มีใจเกิดความสังเวชจึงคิดว่า เราจัก
ปลูกพืชไว้ในที่นั้น ขณะอย่าได้ล่วงเลยเราไปเสียเปล่า
ข้าพวกท่านจะแผ้วถางหนทางเพื่อพระพุทธเจ้า ก็จง
ให้ที่ว่างแห่งหนึ่งแก่เรา แม่เราก็จักแผ้วถาง ถนนหน
ทางที่นั้น พวกเขาได้ให้ที่ว่างแก่เราเพื่อจะแผ้วถางทาง.
เวลานั้นเรากำลังคิดอยู่ว่า พุทโธ พุทโธ แผ้ว
ถางทาง เมื่อที่ว่างของเราทำไม่เสร็จ พระมหามุนี
ทีปังกรผู้เป็นพระชินเจ้า พร้อมกับพระขีณาสพสี่แสน
ได้อภิพญา ๖ ผู้คงที่ปราศจากมลทินเสด็จดำเนินมา
ทางนั้น การต้อนรับต่าง ๆ ก็มีขึ้น กลองมากมาย
บรรเลงขึ้น เหล่าคนและเทวดาล้วนร่าเริง ต่างทำ
เสียงสาธุการลั่นไปทั่ว เหล่าเทวดาเห็นพวกมนุษย์และ
แม้เหล่ามนุษย์ก็เห็นเทวดา แม้ทั้งสองพวกนั้นต่าง

22
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๑ – หน้าที่ 23 (เล่ม 55)

ประคองอัญชลีเดินตามพระตถาคตไป เหล่าเทวดาที่
เหาะมาทางอากาศก็โรยปรายดอกมณฑารพ ดอกบัว
หลวง ดอกปาริฉัตรอันเป็นทิพย์ไปทั่วทุกทิศ เหล่าคน
ที่อยู่บนพื้นดินต่างก็ชูดอกจำปา ดอก (สัลลชะ) ดอก
กระทุ่ม ดอกกากะทิง ดอกบุนนาค ดอกการะเกดไปทั่ว
ทุกทิศ เราแก้ผมออก เปลื้องผ้าเปลือกไม้และหนัง
เสือ ในที่นั้นลาดลงบนเปือกตมนอนคว่ำหน้า พระ
พุทธเจ้าพร้อมด้วยศิษย์จงทรงเหยียบเราเสด็จไป อย่า
ได้เหยียบบนเปือกตมเลย ข้อนั้นจักเป็นไปเพื่อ
ประโยชน์แก่เรา ดังนี้.
สุเมธดาบสนั้นนอนบนหลังเปือกตมนั้นแล ลืมตาทั้งสองเห็นพระ-
พุทธสิริของพระทศพลทีปังกรจึงคิดว่า ถ้าเราพึงต้องการ ก็พึงเผากิเลสทั้งปวง
หมดแล้วเป็นพระสงฆ์นวกะเข้าไปสู่รัมมกนครได้ แต่เราไม่มีกิจด้วยการเผากิเลส
ด้วยเพศที่ใครไม่รู้จักแล้วบรรลุนิพพาน ถ้ากระไรเราพึงเป็นดังพระทศพล
ทีปังกรบรรลุพระอภิสัมโพธิญาณอย่างสูงยิ่งแล้วขึ้นสู่ธรรมนาวา ให้มหาชนข้าม
สงสารสาครได้แล้วปรินิพพานภายหลัง ข้อนี้สมควรแก่เรา ดังนี้แล้ว ต่อจาก
นั้น ประมวลธรรม ๘ ประการกระทำความปรารถนาอย่างยิ่งใหญ่เพื่อความเป็น
พระพุทธเจ้าแล้วนอนลง. เพราะเหตุนั้นท่านจึงกล่าวว่า
เมื่อเรานอนบนแผ่นดินได้มีความคิดอย่างนี้ว่า
วันนี้เราเมื่อปรารถนาอยู่ก็พึงเผากิเลสของเราได้ จะมี
ประโยชน์ อะไรแก่เราเล่าด้วยการทำให้แจ้งธรรมในที่
นี้ด้วยเพศที่ใคร ๆ ไม่รู้จัก เราบรรลุพระสัพพัญญุต-

23
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๑ – หน้าที่ 24 (เล่ม 55)

ญาณจักเป็นพระพุทธเจ้าในโลกพร้อมทั้งเทวโลก จะ
มีประโยชน์อะไรแก่เราด้วยลูกผู้ชาย ผู้มีรูปร่างแข็ง
แรงนี้ข้ามฝั่งไปคนเดียว เราบรรลุพระสัพพัญญุตญาณ
แล้วจักให้มนุษย์พร้อมทั้งเทวดาข้ามฝั่ง ด้วยการกระ-
ทำอันยิ่งใหญ่ของเรา ด้วยลูกผู้ชายผู้มีรูปร่างแข็งแรง
นี้ เราบรรลุพระสัพพัญญุตญาณแล้ว จะให้เหล่าชน
มากมายข้ามฝั่ง เราตัดกระแสน้ำคือสงสาร ทำลาย
ภพทั้งสามแล้ว ขึ้นสู่ธรรมนาวา จักให้มนุษย์พร้อม
ทั้งเทวดาข้ามฝั่ง ดังนี้.
ก็เมื่อบุคคลปรารถนาความเป็นพระพุทธเจ้าอยู่ ความปรารถนาที่ยิ่ง
ใหญ่จะสำเร็จได้เพราะประมวลมาซึ่งธรรม ๘ ประการ คือความเป็นมนุษย์ ๑
ความถึงพร้อมด้วยเพศ ๑ เหตุ ๑ การเห็นพระศาสดา ๑ การบรรพชา ๑ การ
สมบูรณ์ด้วยคุณ ๑ การกระทำยิ่งใหญ่ ๑ ความพอใจ ๑.
จริงอยู่ เมื่อบุคคลดำรงอยู่ในภาวะแห่งความเป็นมนุษย์นั่นแหละ
ปรารถนาความเป็นพระพุทธเจ้า ความปรารถนาย่อมสำเร็จ ความปรารถนา
ของนาค ครุฑหรือเทวดาหาสำเร็จไม่ แม้ในภาวะแห่งความเป็นมนุษย์เมื่อเขา
ดำรงอยู่ในเพศบุรุษเท่านั้นความปรารถนาจึงจะสำเร็จ ความปรารถนาของหญิง
หรือบัณเฑาะก์กระเทยและอุภโตพยัญชนก ก็หาสำเร็จไม่ แม้สำหรับบุรุษความ
ปรารถนาของผู้สมบูรณ์ด้วยเหตุที่จะบรรลุอรหัต แม้ในอัตภาพนั้นเท่านั้นจึง
จะสำเร็จได้ นอกนี้หาสำเร็จไม่ แม้สำหรับผู้ที่สมบูรณ์ด้วยเหตุถ้าเมื่อปรารถนา
ในสำนักของพระพุทธเจ้าเท่านั้น ความปรารถนาจึงจะสำเร็จ เมื่อพระพุทธ.
เจ้าปรินิพพานแล้ว เมื่อปรารถนาในที่ใกล้เจดีย์หรือที่โคนต้นโพธิ์ ก็หา
สำเร็จไม่ แม้เมื่อปรารถนาในสำนักของพระพุทธเจ้า ความปรารถนาของผู้ที่

24
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๑ – หน้าที่ 25 (เล่ม 55)

ดำรงอยู่ในเพศบรรพชิตเท่านั้นจึงจะสำเร็จ ผู้ที่ดำรงอยู่ในเพศคฤหัสถ์หาสำเร็จ
ไม่ แม้ผู้เป็นบรรพชิต ความปรารถนาของผู้ที่ได้อภิญญา ๕ และสมาบัติ ๘
เท่านั้นจึงจะสำเร็จ ผู้ที่เว้นจากคุณสมบัตินี้ นอกนี้หาสำเร็จไม่ แม้ผู้ที่สมบูรณ์
ด้วยคุณแล้วก็ตาม ความปรารถนาของผู้ที่ได้กระทำการบริจาคชีวิตของตนแด่
พระพุทธเจ้า ซึ่งเป็นผู้สมบูรณ์ด้วยการกระทำอันยิ่งใหญ่นี้เท่านั้น จึงจะสำเร็จ
ของตนนอกนี้หาสำเร็จไม่ แม้ผู้ที่จะสมบูรณ์ด้วยการกระทำอันยิ่งใหญ่แล้วยัง
จะต้องมีฉันทะอันใหญ่หลวง อุตสาหะ ความพยายามและการแสวงหาอันใหญ่
เพื่อประโยชน์แก่ธรรมที่กระทำให้เป็นพระพุทธเจ้าอีก ความปรารถนาจึงจะ
สำเร็จ คนอื่นนอกจากนี้หาสำเร็จไม่.
ในข้อที่ฉันทะจะต้องยิ่งใหญ่นั้น มีข้ออุปมาดังต่อไปนี้. ก็ถ้าจะพึงเป็น
ไปอย่างนี้ว่า ผู้ใดสามารถที่จะใช้กำลังแขนของตนข้ามห้วงแห่งจักรวาลทั้งสิ้น
ที่เป็นน้ำผืนเดียวกันหมดแล้วถึงฝั่งได้ ผู้นั้นย่อมบรรลุความเป็นพระพุทธเจ้า
ได้ หรือว่า ผู้ใดเดินด้วยเท้าสามารถที่จะเหยียบย่ำห้วงแห่งจักรวาลทั้งสิ้นที่
ปกคลุมด้วยกอไผ่แล้วถึงฝั่งได้ ผู้นั้นย่อมบรรลุความเป็นพระพุทธเจ้าได้ หรือ
ว่าผู้ใดปักดาบทั้งหลายลงแล้วเอาเท้าเหยียบห้วงแห่งจักรวาลทั้งสิ้นซึ่งเต็มไป
ด้วยฝักดาบสามารถที่จะถึงฝั่งได้ ผู้นั้นย่อมบรรลุความเป็นพระพุทธเจ้าได้
หรือว่าผู้ใดเอาเท้าย่ำห้วงแห่งจักรวาลทั้งสิ้น ซึ่งเต็มไปด้วยถ่านมีเปลวเพลิง
ลุกโชติช่วงสามารถที่จะถึงฝั่งได้ ผู้นั้นย่อมได้บรรลุความเป็นพระพุทธเจ้าได้.
ผู้ใดไม่สำคัญเหตุเหล่านั้นแม้เหตุหนึ่งว่าเป็นของที่คนทำได้ยาก คิดแต่ว่าเราจัก
ข้ามหรือไปถือเอาซึ่งฝั่งข้างหนึ่งจนได้ ดังนี้ เขาผู้นั้นจัดว่าเป็นผู้ประกอบด้วย
ฉันทะอุตสาหะความพยายามและการแสวงหาอันใหญ่ ความปรารถนาของเขา
ย่อมสำเร็จ คนนอกนี้หาสำเร็จไม่. ก็สุเมธดาบสแม้จะประมวลธรรมทั้ง ๘
ประการเหล่านั้นได้แล้ว ยังการทำความปรารถนาอย่างยิ่งใหญ่ เพื่อความเป็น

25
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๑ – หน้าที่ 26 (เล่ม 55)

พระพุทธเจ้าแล้วนอนลง. ฝ่ายพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงพระนามว่าทีปังกรเสด็จ
มาประทับยืนที่เบื้องศีรษะของสุเมธดาบส ทรงลืมพระเนตรทั้งสองอันสมบูรณ์
ด้วยประสาทมีวรรณะ ๕ ชนิด ประหนึ่งว่า เปิดอยู่ซึ่งสีหบัญชรแก้วมณี ทอด
พระเนตรเห็นสุเมธดาบสนอนบนหลังเปือกตมทรงดำริว่า ดาบสนี้กระทำความ
ปรารถนาอย่างยิ่งใหญ่เพื่อความเป็นพระพุทธเจ้าความปรารถนาของเขาจักสำเร็จ
หรือไม่หนอ ทรงส่งพระอนาคตังสญาณใคร่ครวญอยู่ ทรงทราบว่า ล่วงสี่อสง-
ไขยยิ่งด้วยแสนกัปนับแต่นี้ เขาจักได้เป็นพระพุทธเจ้านามว่าโคดม ยังประทับ
ยืนอยู่นั่นแหละทรงพยากรณ์แล้วด้วยตรัสว่า พวกท่านจงดาบสผู้มีตบะสูงนี้ ซึ่ง
นอนอยู่บนหลังเปือกตม. ภิกษุทั้งหลายกราบทูลว่า เห็นแล้วพระเจ้าข้า จึงตรัสว่า
ดาบสนี้กระทำความปรารถนายิ่งใหญ่ เพื่อความเป็นพระพุทธเจ้า นอนแล้ว
ความปรารถนาของเขาจักสำเร็จ ในที่สุดแห่งสี่อสงไขยยิ่งด้วยแสนกัปนับแต่นี้
เขาจักได้เป็นพระพุทธเจ้านามว่าโคดม ก็ในอัตภาพนั้น ของเขา นครนามว่า
กบิลพัสดุ์จักเป็นที่อยู่อาศัย พระเทวีทรงพระนามว่ามายาเป็นพระมารดา พระ-
ราชาทรงพระนามว่าสุทโธทนะเป็นพระราชบิดา พระเถระชื่ออุปติสสะเป็น
อัครสาวก พระเถระชื่อโกลิตะเป็นอัครสาวกที่สอง พุทธอุปฐากชื่ออานนท์ พระ
เถรีนามว่าเขมาเป็นอัครสาวิกา พระเถรีนามว่าอุบลวรรณาเป็นอัครสาวิกาที่สอง
เขามีญาณแก่กล้าแล้ว ออกมหาภิเนษกรมณ์ ตั้งความเพียรอย่างใหญ่ รับข้าว
ปายาสที่โคนต้นไทร เสวยที่ฝั่งเเม่น้ำเนรัญชรา ขึ้นสู่โพธิมณฑลจักตรัสรู้ที่
โคนต้นอัสสัตถพฤกษ์ ดังนี้ เพราะเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวว่า
พระพุทธเจ้าทรงพระนามว่า ทีปังกร ผู้ทรงรู้แจ้ง
ซึ่งโลก ผู้ทรงรับเครื่องบูชา ประทับยืน ณ เบื้องศีรษะ
ได้ตรัสคำนี้กะเราว่า พวกท่านจงดูดาบสผู้เป็นชฏิลผู้มี
ตบะสูงนี้ เขาจักได้เป็นพระพุทธเจ้าในโลกในกัปที่นับ

26
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๑ – หน้าที่ 27 (เล่ม 55)

ไม่ถ้วนแต่กัปนี้ เขาเป็นตถาคตจะออกจากนครชื่อ
กบิลพัสดุ์ อันน่ารื่นรมย์ ตั้งความเพียร กระทำทุกร-
กิริยา นั่งที่โคนต้นอชปาลนี้โครธประคองข้าวปายาส
ไปยังแม่น้ำเนรัญชราในที่นั้น พระชินเจ้าพระองค์นั้น
ทรงถือข้าวปายาสไปที่ฝั่งแม่น้ำเนรัญชรา เสด็จถึงโคน
ต้นโพธิ์โดยทางที่เขาแต่งไว้ดีแล้ว ลำดับนั้นพระสัม-
พุทธเจ้าผู้ทรงมีพระยศใหญ่มิมีใครยิ่งกว่ากระทำประ-
ทักษิณโพธิมณฑลแล้ว จักตรัสรู้ที่โคนต้นโพธิ พระ-
มารดาผู้เป็นชนนีของเขาจักมีนามว่า มายา พระบิดาจัก
มีนามว่าสุทโธทนะ เขาจักมีนามว่า โคดม พระโกลิตะ
และอุปติสสะจักเป็นอัครสาวก ผู้หาอาสวะมิได้ปราศ
จากราคะแก้ว มีจิตอันสงบตั้งมั่น. อุปฐากนามว่า
อานนท์จักเป็นอุปฐากพระชินเจ้านั้น. นางเขมาและ
นางอุบลวรรณาจักเป็นอัครสาวิกา ผู้หาอาสวะมิได้
ปราศราคะแล้ว มีจิตสงบตั้งมั่น. ต้นไม้ที่ตรัสรู้ของ
พระผู้มีพระภาคเจ้านั้น จักเรียกกันว่า อัสสัตถพฤกษ์
ดังนี้.
สุเมธดาบสได้บังเกิดโสมนัสว่า นัยว่าความปรารถนาของเราจักสำเร็จ
ดังนี้ มหาชนได้ฟังพระดำรัสของพระทศพลทีปังกรแล้วต่างได้พากันร่าเริงยินดี
ว่า นัยว่าสุเมธดาบสเป็นพืชแห่งพระพุทธเจ้า เป็นหน่อแห่งพระพุทธเจ้าและ
พวกเขาเหล่านั้นก็ได้มีความคิดอย่างนี้ว่า ธรรมดาว่าบุรุษเมื่อจะข้ามแม่น้ำ ไม่
สามารถข้ามโดยท่าโดยตรงได้ ย่อมข้ามโดยท่าข้างใต้ฉันใด แม้พวกเราก็
ฉันนั้นเหมือนกัน เมื่อไม่ได้มรรคและผลในศาสนาของพระทศพลทีปังกร ใน
กาลใดในอนาคตท่านจักเป็นพระพุทธเจ้า ในกาลนั้นพวกเราพึงสามารถกระทำ

27