หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ เล่ม ๒ – หน้าที่ 551 (เล่ม 4)

ไม่ต้องอาบัติ
ผู้อาพาธ ภิกษุสำคัญว่าผู้อาพาธ. . .ไม่ต้องอาบัติ.
อนาปัตติวาร
[๕๒๑] ภิกษุอาพาธ ๑ ภิกษุเป็นผู้อาพาธ ขอมา หายอาพาธแล้ว
ฉัน ๑ ภิกษุฉันโภชนะที่เหลือของภิกษุอาพาธ ๑ ภิกษุขอต่อญาติ ๑ ภิกษุขอ
ต่อคนปวารณา ๑ ภิกษุขอเพื่อประโยชน์แก่ภิกษุอื่น ๑ ภิกษุจ่ายมาด้วยทรัพย์
ของตน ๑ ภิกษุวิกลจริต ๑ ภิกษุอาทิกัมมิกะ ๑ ไม่ต้องอาบัติแล.
โภชนวรรค สิกขาบทที่ ๙ จบ
ปณีตโภชนสิกขาบทที่ ๙
ในสิกขาบทที่ ๙ มีวินิจฉัยดังนี้.
[แก้อรรถปฐมบัญญัติ เรื่องโภชนะอันประณีต]
บทว่า ปณีตโภชนานิ ได้แก่ โภชนะอย่างดียิ่ง.
คำว่า กสฺส สมฺปนฺนํ น มนาปํ ได้แก่ โภชนะที่ประกอบ
ด้วยคุณสมบัติ ใครจะไม่ชอบใจ.
บทว่า สาทู แปลว่า มีรสอร่อย.
ในคำว่า โย ปน ภิกฺขุ เอวรูปานิ ปณีตโภชนานิ อคิลาโน
อตฺตโน อตฺถาย วิญฺญาเปตฺวา ภุญฺเชยฺย นี้ มีวินิจฉัยดังนี้ :- ภิกษุ
ขอโภชนะที่ดีล้วน ๆ มีสัปปิเป็นต้นมาฉัน ไม่ต้องปาจิตตีย์. ต้องทุกกฏเพราะ
ขอแกงและข้าวสุกในพวกเสขิยวัตร. แต่ภิกษุผู้ขอโภชนะดี ทีระคนกับข้าวสุก
มาฉัน บัณฑิตพึงทราบว่า ต้องปาจิตตีย์.

551
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ เล่ม ๒ – หน้าที่ 552 (เล่ม 4)

ทราบว่า ในคำนี้ มีอธิบายดังต่อไปนี้:- ก็เพราะเหตุนั้นแหละ
พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงไม่ตรัสว่า ปณีตานิ ตรัสในสูตรว่า ปณีตโภชนานิ.
จริงอยู่ เมื่อพระองค์ตรัสว่า ปณีตานิ ย่อมรวมสัปปิเป็นต้นเข้าด้วย.
แต่เมื่อตรัสว่า ปณีตโภชนานิ เนื้อความย่อมปรากฏดังนี้ว่า โภชนะที่เกิดจาก
ธัญชาติ ๗ ชนิด ระคนด้วยของประณีต ชื่อว่า โภชนะประณีต.
บัดนี้ ในคำว่า วิญฺญาเปติ ปโยเค ทุกฺกฏํ เป็นต้น มีวินิจฉัย
ดังต่อไปนี้:- เมื่อภิกษุขอว่า ท่านจงให้ภัตกับเนยใส, จงราดเนยใสให้,
จงทำให้ระคนกับเนยใสแล้วให้, จงให้เนยใส จงให้เนยใสและภัต ดังนี้
เป็นทุกกฏ เพราะการออกปากขอ, เป็นทุกกฏ เพราะรับประเคน, เป็นปาจิตตีย์
เพราะกลืนกิน. แต่เมื่อภิกษุกล่าวว่า ท่านจงให้สัปปิภัต เพราะธรรมดาว่า
สัปปิภัตดุจสาลีภัต ไม่มี ฉะนั้น บัณฑิตพึงทราบว่า เป็นทุกกฏ เพราะออก
ปากขอแกงและข้าวสุกอย่างเดียว.
ก็ถ้าเมื่อภิกษุกล่าวว่า จงให้ภัตกับเนยใส แต่ทายกถวายภัตแล้ว ถวาย
เนยขึ้น นมสด หรือนมส้ม ด้วยกล่าวว่า นิมนต์ท่านทำเนยใสฉันเถิด ก็
หรือถวายมูลค่ากล่าวว่า นิมนต์ท่านรับเอาเนยใสด้วยมูลค่านี้ฉันเถิด (เป็น
ปาจิตตีย์) ตามวัตถุทีเดียว.
แต่เมื่อภิกษุกล่าวว่า จงให้ภัตกับเนยใสโค ทายกจงถวายด้วยเนยใสโค
หรือเมื่อเนยใสโคไม่มี จงถวายเนยข้นโคเป็นต้นโดยนัยก่อนนั้นแล หรือจง
ถวายแม่โคทีเดียวก็ตามที กล่าวว่า นิมนต์ท่านฉันด้วยเนยใสจากแม่โคนี้
(เป็นปาจิตตีย์) ตามวัตถุเหมือนกัน.
แต่ถ้าทายกถูกภิกษุขอด้วยเนยใสโค ถวายด้วยเนยใสของแพะเป็นต้น
เป็นอันผิดสังเกต. จริงอยู่ เมื่อมีการถวายอย่างนี้ จึงเป็นอันทายกถูกภิกษุขอ

552
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ เล่ม ๒ – หน้าที่ 553 (เล่ม 4)

อย่างหนึ่ง ถวายไปอีกอย่างหนึ่ง เพราะฉะนั้น จึงไม่เป็นอาบัติ. แม้ในคำว่า
จงให้ด้วยเนยใสแพะ เป็นต้นก็นัยนี้.
เมื่อภิกษุกล่าวว่า จงให้ด้วยกัปปิยะเนยใส ทายกถวายด้วยอกัปปิยะ
เนยใส เป็นอันผิดสังเกตเหมือนกัน. เมื่อภิกษุกล่าวว่า จงให้ด้วยอกัปปิยะ
เนยใส ทายกถวายด้วยกัปปิยะเนยใส เป็นทุกกฏเหมือนกัน ทั้งในการรับ
ทั้งในการบริโภค. เมื่ออกัปปิยะเนยใสไม่มี เขาถวายด้วยอกัปปิยะเนยข้น
เป็นต้น โดยนัยก่อนนั้นแล ด้วยกล่าวว่า นิมนต์ท่านทำเนยใสฉันเถิด เป็น
อันเขาถวายด้วยอกัปปิยะเนยใสแท้.
เมื่อภิกษุกล่าวว่า ด้วยอกัปปิยะเนยใส เขาถวายด้วยกัปปิยะเนยใส
เป็นอันผิดสังเกตเหมือนกัน. เมื่อกล่าวว่า ด้วยเนยใส เขาถวายด้วยของ
อย่างใดอย่างหนึ่ง มีเนยข้น เป็นต้นที่เหลือ เป็นอันผิดสังเกตเหมือนกัน. แม้ใน
คำว่า จงถวายด้วยเนยข้น เป็นต้น ก็นัยนี้เหมือนกัน.
แท้จริง มีการออกปากขอด้วยวัตถุใด ๆ เมื่อภิกษุได้วัตถุนั้น หรือ
มูลค่าแห่งวัตถุนั้นแล้ว จัดว่าเป็นอันได้วัตถุนั้น ๆ แล้วเหมือนกัน. แต่ถ้าเขา
ถวายของอื่นที่มาในพระบาลี หรือมิได้มาก็ตาม เป็นผิดสังเกต. เมื่อภิกษุ
ออกปากขอด้วยเนยข้นเป็นต้นอย่างอื่น. ยกเว้นเนยข้นที่มาในพระบาลีเป็นต้น
เสีย เป็นทุกกฏ. เหมือนอย่างที่ท่านกล่าวไว้ว่า เมื่อภิกษุกล่าวว่า จงให้
สัปปีภัต การออกปากขอแกงและข้าวสุก เป็นทุกกฏเท่านั้น เพราะสัปปิภัต
ไม่มีเหมือนสาลีภัต ฉันใด แม้ในคำว่า จงให้นวนีตภัต เป็นต้นก็ฉันนั้น
(คือเป็นเพียงทุกกฏฉันนั้น).
จริงอยู่ แม้เมื่อจะกล่าวเนยขึ้นเป็นต้นแต่ละอย่างให้พิสดารตามลำดับ
(แห่งเนยขึ้น) ก็จะต้องกล่าวเนื้อความนี้นั่นและ. และเนื้อความพิสดารนั้น

553
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ เล่ม ๒ – หน้าที่ 554 (เล่ม 4)

บัณฑิตอาจรู้ได้แม้ด้วยความสังเขป, จะมีประโยชน์อะไรด้วยความพิสดารใน
เนยข้นแต่ละอย่างเป็นต้นนั้น. ด้วยเหตุนั้น ข้าพเจ้าจึงได้กล่าวว่า แม้ในคำว่า
จงให้ด้วยเนยขึ้น เป็นต้น ก็นัยนี้เหมือนกัน.
แต่ถ้าภิกษุออกปากขอในที่เดียวกัน หรือในทำต่างกัน ด้วยวัตถุมีเนย-
ใสเป็นต้นแม้ทั้งหมด เทของที่ได้แล้วลงในภาชนะเดียวกันทำให้เป็นรสเดียวกัน
แม้เอาปลายหญ้าคาแตะหยดลงที่ปลายลิ้นหยดเดียว จากรสนั้นแล้วกลืนกิน
ต้องอาบัติปาจิตตีย์ ๙ ตัว. สมจริงดังคำแม้นี้ที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ใน
คัมภีร์ปริวารว่า
ภิกษุต้องปาจิตตีย์ที่เป็นไปทางกาย มิใช่
เป็นไปทางวาจาทั้งหมด (๙ ตัว) มีวัตถุ
ต่าง ๆ กัน พร้อม ๆ กัน คราวเดียว, ปัญหา
ข้อนี้ท่านผู้ฉลาดคิดกันแล้ว.
ในคำว่า อคิลาโน คิลานสญฺญี นี้ มีวินิจฉัยดังนี้:- ถ้าภิกษุ
แม้เป็นผู้มีความสำคัญว่าอาพาธ ออกปากขอเภสัช ๕ เพื่อประโยชน์แก่เภสัช,
พระวินัยธรพึงปรับเธอด้วยมหานามสิกขาบท. แต่เมื่อออกปากขอโภชนะ
ประณีต ๙ อย่าง พึงปรับด้วยสิกขาบทนี้ . แต่โภชนะประณีต ๙ อย่างนั้น เป็น
ปาฏิเทสนียวัตถุสำหรับพวกภิกษุณี. ในเพราะการออกปากขอแกงและข้าวสุก
เป็นทุกกฏที่ตรัสไว้ในเสขิยบัญญัติเท่านั้น แก่ภิกษุและภิกษุณีแม้ทั้ง ๒ พวก.
บทที่เหลือในสิกขาบทนี้ตื้นทั้งนั้น.
สิกขาบทนี้ มีสมุฏฐาน ๔ เกิดจากทางกาย ๑ ทางกายกับวาจา ๑
ทางกายกับจิต ๑ ทางกายวาจากับจิต ๑ เป็นกิริยา โนสัญญาวิโมกข์ อจิตตกะ
ปัณณัตติวัชชะ กายกรรม วจีกรรม มีจิต ๓ มีเวทนา ๓ ดังนี้แล.
ปณีตโภชนะ สิกขาบทที่ ๙ จบ

554
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ เล่ม ๒ – หน้าที่ 555 (เล่ม 4)

โภชนวรรค สิกขาบทที่ ๑๐
เรื่องภิกษุรูปหนึ่ง
[๕๒๒] โดยสมัยนั้น พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าประทับอยู่ ณ กูฏาคาร
ศาลาป่ามหาวัน เขตพระนครเวสาลี ครั้งนั้น ภิกษุรูปหนึ่งเป็นผู้มีปกติถือ
ของทุกอย่างเป็นบังสกุล สำนักอยู่ในสุสานประเทศ ท่านไม่ปรารถนาจะรับ
อาหารที่ประชาชนถวาย เที่ยวถือเอาอาหารเครื่องเซ่นเจ้าตามป่าช้าบ้าง ตาม
โคนไม้บ้าง ตามธรณีประตูบ้าง มาฉันเอง ประชาชนต่างก็เพ่งโทษติเตียน
โพนทะนาว่า ไฉน ภิกษุนี้จึงได้ถือเอาอาหารเครื่องเช่นเจ้าของพวกเราไปฉัน
เองเล่า ภิกษุนี้อ้วนล่ำ บางทีจะฉันเนื้อมนุษย์.
ภิกษุทั้งหลายได้ยินประชาชนพวกนั้น เพ่งโทษติเตียนโพนทะนาอยู่
บรรดาที่เป็นผู้มักน้อย . . . ต่างก็เพ่งโทษติเตียนโพนทะนาว่า ไฉนภิกษุจึงได้
กลืนอาหารที่เขายังไม่ได้ให้ ล่วงช่องปากเล่า . . . แล้ว กราบทูลเรื่องนั้นแด่
พระผู้มีพระภาคเจ้า.
ทรงสอบถาม
พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงสอบถามภิกษุรูปนั้นว่า ดูก่อนภิกษุ ข่าวว่า
เธอกลืนอาหารที่เขายังไม่ได้ให้ ล่วงช่องปาก จริงหรือ.
ภิกษุนั้นทูลรับว่า จริง พระพุทธเจ้าข้า.
ทรงติเตียนแล้วบัญญัติสิกขาบท
พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าทรงติเตียนว่า ดูก่อนโมฆบุรุษ ไฉนเธอจึง
ได้กลืนอาหารที่เขายังไม่ได้ให้ ล่วงช่องปากเล่า การกระทำของเธอนั่น ไม่

555
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ เล่ม ๒ – หน้าที่ 556 (เล่ม 4)

เป็นไปเพื่อความเลื่อมใสของชุมชนที่ยังไม่เลื่อมใส หรือเพื่อความเลื่อมใสยิ่ง
ของชุมชนที่เลื่อมใสแล้ว. . .
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็แลพวกเธอพึงยกสิกขาบทนี้ขึ้นแสดงอย่างนี้
ว่าดังนี้:-
พระบัญญัติ
๘๙. ๑๐. ค. อนึ่ง ภิกษุใด กลืนอาหารที่เขายังไม่ได้ให้ล่วง
ช่องปาก เป็นปาจิตตีย์.
ก็สิกขาบทนี้ ย่อมเป็นอันพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงบัญญัติแล้วแก่ภิกษุ
ทั้งหลาย ด้วยประการฉะนี้.
เรื่องภิกษุรูปหนึ่ง จบ
ทรงอนุญาตน้ำและไม้ชำระฟัน
[๕๒๓] ก็โดยสมัยนั้นแล ภิกษุพากันรังเกียจน้ำและไม้ชำระฟัน
ภิกษุทั้งหลายได้กราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาคเจ้า ๆ ทรงอนุญาตว่า
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตให้ถือเอาน้ำ และไม้ชำระฟันเองแล้วบริโภคได้.
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็แลพวกเธอพึงยกสิกขาบทนี้ขึ้นแสดงอย่างนั้น
ว่าดังนี้:-
พระอนุบัญญัติ
๘๙. ๑๐. ข. อนึ่ง ภิกษุใด กลืนอาหารที่เขายังไม่ได้ให้ ล่วง
ช่องปาก เว้นไว้แต่น้ำและไม้ชำระฟัน เป็นปาจิตตีย์.
เรื่องทรงอนุญาตน้ำและไม้ชำระฟัน จบ
สิกขาบทวิภังค์
[๕๒๔] บทว่า อนึ่ง. . .ใด ความว่า ผู้ใด คือผู้เช่นใด.

556
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ เล่ม ๒ – หน้าที่ 557 (เล่ม 4)

บทว่า ภิกษุ ความว่า ที่ชื่อว่า ภิกษุ เพราะอรรถว่าเป็นผู้ขอ . . .นี้
ชื่อว่า ภิกษุ ที่ทรงประสงค์ในอรรถนี้.
ที่ชื่อว่า ที่เขายังไม่ได้ให้ ท่านกล่าวว่า ที่ยังไม่ได้รับประเคน.
ลักษณะการรับประเคน
ที่ชื่อว่า เขาให้ คือ เมื่อเขาให้ด้วยกาย ด้วยของเนื่องด้วยกาย หรือ
โยนให้ ๑ เขาอยู่ในหัตถบาส ๑ ภิกษุรับประเคนด้วยกาย หรือด้วยของเนื่อง
ด้วยกาย ๑ นี้ชื่อว่า เขาให้.
ที่ชื่อว่า อาหาร ได้แก่ ของที่กลืนกินได้ อย่างใดอย่างหนึ่ง ยกเว้น
น้ำและไม้ชำระฟัน นี้ชื่อว่าอาหาร.
บทว่า เว้นไว้แต่น้ำ และไม้ชำระฟัน คือ ยกเว้นน้ำและไม้ชำระฟัน.
ภิกษุถือเอาด้วยตั้งใจว่า จักเคี้ยว จักฉัน ต้องอาบัติทุกกฏ ขณะกลืน
ต้องอาบัติปาจิตตีย์ ทุก ๆ คำกลืน.
บทภาชนีย์
ติกปาจิตตีย์
[๕๒๕] อาหารที่ยังไม่ได้รับ ประเคน ภิกษุสำคัญว่ายังมิได้รับประเคน
กลืนอาหารที่เขายังไม่ได้ให้ ล่วงช่องปาก เว้นไว้แต่น้ำและไม้ชำระฟัน ต้อง
อาบัติปาจิตตีย์.
อาหารที่ยังไม่ได้ประเคน ภิกษุสงสัย กลืนอาหารที่เขายังไม่ได้ให้
ล่วงช่องปาก เว้นไว้แต่น้ำและไม้ชำระฟัน ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
อาหารที่ยังไม่ได้รับประเคน ภิกษุสำคัญว่าได้รับประเคนไว้แล้ว
กลืนอาหารที่เขายังไม่ได้ให้ ล่วงช่องปาก เว้นไว้แต่น้ำและไม้ชำระฟัน ต้อง
อาบัติปาจิตตีย์.

557
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ เล่ม ๒ – หน้าที่ 558 (เล่ม 4)

ทุกะทุกกฏ
อาหารที่รับประเคนไว้แล้ว ภิกษุสำคัญว่ายังไม่ได้รับประเคน...ต้อง
อาบัติทุกกฏ.
อาหารที่รับประเคนไว้แล้ว ภิกษุสงสัย...ต้องอาบัติทุกกฏ.
ไม่ต้องอาบัติ
อาหารที่รับประเคนไว้แล้ว ภิกษุสำคัญว่ารับประเคนไว้แล้ว ...ไม่
ต้องอาบัติ.
อนาปัตติวาร
[๕๒๖] กลืนน้ำและไม้ชำระฟัน ๑ ฉันยามหาวิกัติ ๔ ในเมื่อมีเหตุ
ฉุกเฉินเมื่อกัปปิยการกไม่มี ภิกษุถือเอาเองแล้วฉันได้ ภิกษุวิกลจริต ๑
ภิกษุอาทิกัมมิกะ ๑ ไม่ต้องอาบัติแล.
โภชนวรรค สิกขาบทที่ ๑๐ จบ
ปาจิตตีย์ วรรคที่ ๔ จบ

558
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ เล่ม ๒ – หน้าที่ 559 (เล่ม 4)

ทันตโปณสิกขาบทที่ ๑๐
ในสิกขาบทที่ ๑๐ มีวินิจฉัยดังนี้:-
[แก่อรรถด้วยภิกษุถือบังสุกุลทุกอย่าง]
ภิกษุนั้น ชื่อว่า สรรพบังสุกูลิกะ (ผู้มีปกติถือบังสกุลทุกอย่าง)
เพราะอรรถว่า ภิกษุนั้นมีบรรดาปัจจัย ๔ ทุกอย่าง โดยที่สุด แม้ไม้ชำระฟัน
ก็เป็นบังสกุลทั้งนั้น. ได้ยินว่า ภิกษุนั้น ทำภาชนะที่เขาทั้งในป่าช้านั้นนั่นเอง
ให้เป็นบาตร ทำจีวรด้วยท่อนผ้าที่เขาทิ้งในป่าช้านั้นนั่นแหละ ถือเอาเตียง
และตั่งที่เขาทั้งในป่าช้านั้นเหมือนกันใช้สอย.
ปู่และตาของบิดาผู้ล่วงลับไปแล้ว เรียกว่า อัยยะ ในคำว่า อยฺย-
โวสาฏิตกานิ นี้. ขาทนียะและโภชนียะที่เขาเซ่นทิ้งไว้ในป่าช้า เป็นต้น
เพื่อประโยชน์แก่บรรพบุรุษเหล่านั้น เรียกว่า โวสาฏิตกะ (เครื่องเซ่น).
ได้ยินว่า พวกมนุษย์ได้ทำของอันเป็นที่รักแห่งพวกญาติเหล่านั้น ในเวลาที่
ยังมีชีวิตอยู่ ให้เป็นก้อนข้าวบิณฑ์อุทิศพวกญาติผู้ล่วงลับไปแล้ว เช่นวางไว้
ในที่ทั้งหลาย มีป่าช้าเป็นต้นนั่นด้วยตั้งใจว่า ขอเหล่าญาติของพวกเรา จง
บริโภคเถิด.
ภิกษุนั้นเอาข้าวบิณฑ์นั้นมาฉัน, ไม่ปรารถนาของอื่นแม้ประณีตที่เขา
ถวาย. ด้วยเหตุนั้น พระธรรมสังคาหกาจารย์ทั้งหลายจึงได้กล่าวว่า ถือเอา
อาหารเครื่องเซ่นเจ้าที่ป่าช้าบ้าง ที่โคนไม้บ้าง ที่ธรณีประตูบ้าง มาฉันเอง
ดังนี้.
บทว่า เถโร แปลว่า แข็งแรง คือ ล่ำสัน.

559
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ เล่ม ๒ – หน้าที่ 560 (เล่ม 4)

บทว่า วทฺธโร แปลว่า อ้วนล่ำ. มีคำอธิบายว่า ภิกษุนี้ทั้งอ้วน
ทั้งมีร่างกายล่ำสัน.
สามบทว่า มนุสฺสมํสํ มญฺเญ ขาทติ มีความว่า พวกเราเข้าใจ
ภิกษุนั้นว่า บางทีจะฉันเนื้อมนุษย์. ประชาชนเหล่านั้นมีความเข้าใจดังนี้ว่า
ความจริง พวกคนกินเนื้อมนุษย์ ย่อมเป็นผู้เช่นนี้.
ในคำว่า อุทกทนฺตโปเณ กุกฺกุจฺจายนฺติ นี้ มีวินิจฉัยดังนี้
พวกภิกษุเหล่านั้นไม่ได้สังเกตอรรถแห่งบ่ทว่า พึงกลืนกินอาหารที่เขาไม่ได้ให้
ผ่านทวารปากเข้าไป ให้ถูกต้อง จึงได้พากันรังเกียจ. ฝ่ายพระผู้มีพระภาคเจ้า
เมื่อจะทรงยังภิกษุเหล่านั้น ให้ยอมตกลง ด้วยอำนาจแห่งเรื่องตามที่เกิดขึ้น
แล้ว ดุจบิดาชี้แจงให้พวกลูก ๆ ยินยอม ฉะนั้น จึงได้ทรงตั้งอนุบัญญัติไว้.
บทว่า อทินฺนํ มีความว่า เขาไม่ได้ให้ด้วยกาย ของเนื่องด้วยกาย
และการโยนให้อย่างใดอย่างหนึ่ง แก่ภิกษุผู้รับด้วยกายหรือด้วยของเนื่องด้วย
กาย. จริงอยู่ พระอุบาลีเถระหมายเอาของที่เขาไม่ได้ให้นี้แหละ จึงกล่าวไว้
ในบทภาชนะว่า ชื่อว่าของที่เขายังไม่ได้ให้ ท่านเรียกของที่ยังไม่ได้รับประเคน.
แต่ในทุติยปาราชิกตรัสว่า ชื่อว่า ของทำเขาไม่ได้ให้ ท่านเรียกทรัพย์ที่ผู้อื่น
หวงแหน. ส่วนบทว่า ของที่เขาให้นี้ ท่านยกขึ้นไว้ เพื่อแสดงลักษณะแห่ง
ของที่เขาไม่ได้ให้นั้นนั่นแหละ ด้วยอำนาจแห่งนัยที่ทรงกันข้าม.
[ว่าด้วยการประเคนและการรับประเคน]
ก็ในนิเทศแห่งบทว่า ทินฺนํ นั้น มีวินิจฉัยดังนี้:- ข้อว่า กาเยน
วา กายปฏิพทฺเธน วา นิสฺสคฺคิเยน วา เทนฺเต ได้แก่ เมื่อคนอื่น
เขาให้อยู่อย่างนี้ (คือให้อยู่ด้วยกาย หรือด้วยของเนื่องด้วยกายหรือด้วยการ
โยนให้).

560