No Favorites




หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรีคาถา เล่ม ๒ ภาค ๔ – หน้าที่ 257 (เล่ม 54)

ได้เสด็จอุบัติขึ้นแล้วครั้งนั้น ข้าพเจ้าเกิดในตระกูล
อำมาตย์ ซึ่งสมบูรณ์ด้วยเครื่องอุปการะทุกสิ่ง มั่งคั่ง
รุ่งเรือง ร่ำรวย ในกรุงหังสวดี บางครั้งข้าพเจ้า
พร้อมด้วยบิดานำหน้าหมู่ทาสีมีบริวารมาก เข้าไปเฝ้า
พระนราสภพระองค์นั้น ได้เห็นพระชินพุทธเจ้า
ผู้ปานดังท้าววาสวะ ยังฝนคือธรรมให้ตกอยู่ เป็น
ไม่มีอาสวะเกลื่อนกล่นไปด้วยระเบียบแห่งรัศมี เช่น
กับดวงอาทิตย์ในสรทกาลแล้ว ทำจิตให้เลื่อมใส และ
สดับสุภาษิตของพระองค์ เห็นพระผู้นำนรชนทรง
สถาปนานางภิกษุณีผู้เป็นพระมาตุจฉาไว้ในตำแหน่ง
เอตทัคคะ จึงถวายปัจจัยเป็นอันมากเป็นมหาทานแด่
พระผู้เลิศกว่านรชนผู้คงที่พระองค์นั้น พร้อมทั้งพระ
สงฆ์ตลอด ๗ วัน แล้วได้หมอบลงแทบพระบาทมุ่ง
ปรารถนาตำแหน่งนั้น. ลำดับนั้น พระผู้เป็นฤาษี
พระองค์ที่ ๗ ได้ตรัสในบริษัทใหญ่ว่า สตรีใดได้นิมนต์
พระผู้นำโลกพร้อมด้วยพระสงฆ์ ให้ฉันตลอด ๗ วัน
เราจักพยากรณีสตรีนั้น ท่านทั้งหลายจงฟังเรากล่าวไว้
ให้ดี ในแสนกัปนับแต่กัปนี้ไป พระศาสดาพระนาม
ว่าโคดม ซึ่งทรงสมภพในวงศ์พระเจ้าโอกกากราชจัก
เป็นศาสดาในโลก สตรีผู้นั้น จักได้เป็นธรรมทายาท
ของพระศาสดาพระองค์นั้น จักเป็นโอรสอันธรรม-
นิรมิต จักได้เป็นสาวิกาของพระศาสดามีนามว่าโคตมี
จักได้เป็นพระมาตุจฉาบำรุงเลี้ยงชีวิตของพระพุทธเจ้า
พระองค์นั้น จักได้ความเป็นเลิศของภิกษุณีทั้งหลาย

257
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรีคาถา เล่ม ๒ ภาค ๔ – หน้าที่ 258 (เล่ม 54)

ฝ่ายผู้รู้ราตรีนานครั้งนั้น ข้าพเจ้าได้สดับพุทธพยา-
กรณ์นั้นแล้ว มีใจปราโมทย์บำรุงพระชินพุทธเจ้าด้วย
ปัจจัยทั้งหลายตราบเท่าสิ้นชีวิต ต่อจากนั้น ข้าพเจ้า
ได้ทำกาลกิริยา ไปบังเกิดในพวกเทพเหล่าดาวดึงส์
ผู้ซึ่งให้สำเร็จสิ่งน่าใคร่ได้ทุกประการ ล่วงล้ำทวยเทพ
อื่นๆ ด้วยองค์ ๑๐ ประการ คือด้วยรูป เสียง กลิ่น
รส ผัสสะ อายุ วรรณะ สุข ยศและรุ่งเรืองล้ำทวยเทพ
อื่น ๆ ด้วยอธิปไตยความเป็นใหญ่ ข้าพเจ้าได้เป็นพระ
มเหสีผู้น่าเอ็นดูของท้าวอมรินทร์ในสวรรค์ชั้นดาว
ดึงส์นั้น ก็ข้าพเจ้าท่องเที่ยวอยู่ในสงสารเป็นผู้อันพายุ
คือกรรมพัดพาไปเกิดในตำบลบ้านของทาสในอาณา
เขตของพระเจ้ากาสี ครั้งนั้นทาส ๕๐๐ ถ้วนอาศัยอยู่
ในบ้านนั้น ข้าพเจ้าได้เป็นภรรยาของหัวหน้าทาสใน
ตำบลบ้านนั้น พระปัจเจกพุทธเจ้า ๕๐๐ องค์ ได้เข้า
ไปบ้านเพื่อบิณฑบาต ข้าพเจ้ากับญาติทุกคน เห็น
พระปัจเจกพุทธเจ้าเหล่านั้นก็มีความยินดีช่วยกันสร้าง
กุฏิ ๕๐๐ หลัง อุปัฏฐากอยู่ ๔ เดือนแล้วถวายไตรจีวร
ข้าพเจ้ากับสามีก็พากันท่องเที่ยวไป จุติจากนั้นข้าพเจ้า
พร้อมกับสามีก็ได้ไปสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ บัดนี้ภพสุด
ท้ายข้าพเจ้าเกิดในกรุงเทวทหะ พระชนกของข้าพเจ้า
พระนามว่า อัญชนศากยะ พระชนนีของข้าพเจ้า
พระนามว่าสุลักขณา ต่อมาข้าพเจ้าได้ไปพระราช-
นิเวศน์ของพระเจ้าสุทโธทนะในกรุงกบิลพัสดุ์ สตรี
นอกนั้นเกิดในตระกูลศากยะ แล้วก็ไปเรือนของพวก

258
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรีคาถา เล่ม ๒ ภาค ๔ – หน้าที่ 259 (เล่ม 54)

เจ้าศากยะด้วยกัน แต่ข้าพเจ้าประเสริฐกว่าสตรีทุกคน
ได้เป็นผู้บำรุงเลี้ยงพระชินพุทธเจ้า พระโอรสของ
ข้าพเจ้าเสด็จออกมหาภิเนษกรมณ์แล้วได้เป็นพระ
พุทธเจ้า เป็นผู้นำพิเศษ ภายหลังข้าพเจ้าพร้อมด้วย
เจ้าสากิยานี ๕๐๐ จึงได้บวช แล้วก็ได้ประสบสันติสุข
พร้อมด้วยเจ้าสากิยานีผู้เป็นบัณฑิต สามีของข้าพเจ้า
ที่ได้ทำบุญร่วมกันมาแต่ชาติก่อนในครั้งนั้น เป็นผู้ทำ
มหาสมัยประชุมใหญ่อันพระสุคตทรงอนุเคราะห์แล้ว
ก็พากันบรรลุพระอรหัต.
ภิกษุณีทั้งหลาย นอกจากพระมหาปชาบดีเถรี
นั้นได้พากันเหาะขึ้นสู่นภากาศ เป็นผู้ประกอบด้วย
มหิทธิฤทธิ์รุ่งโรจน์เหมือนดวงดาวทั้งหลาย อันโคจร
เป็นกลุ่มกันไป ครั้งนั้นภิกษุณีเหล่านั้นได้แสดงฤทธิ์มิ
ใช่น้อยเหมือนนายช่างทองผู้ชำนาญการทำทอง แสดง
เครื่องประดับหลากชนิด ฉะนั้น.
ในครั้งนั้น ภิกษุณีเหล่านั้น แสดงปาฏิหาริย์ได้
วิจิตรหลายอย่าง ทำพระมุนีผู้เป็นพระศาสดาผู้ประ-
เสริฐ พร้อมทั้งบริษัทให้ชอบใจแล้ว ได้พากันลง
จากนภากาศถวายบังคมพระศาสดาพระผู้เป็นฤษีพระ-
องค์ที่ ๗ อันพระศาสดาผู้เป็นยอดของนรชนทรงอนุ-
ญาตแล้วจึงได้นั่ง ณ สถานที่อันสมควร แล้วได้กราบ
ทูลว่า ข้าแต่พระมหาวีระ โอหนอพระโคตมีเถรี เป็น
ผู้อนุเคราะห์ข้าพระองค์ทุก ๆ คน พวกข้าพระองค์อัน
บุญบารมีของพระองค์อบรมแล้ว จึงพากันบรรลุธรรม
เป็นที่สิ้นอาสวะ ข้าพระองค์ทั้งหลายเผากิเลสได้แล้ว

259
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรีคาถา เล่ม ๒ ภาค ๔ – หน้าที่ 260 (เล่ม 54)

ถอนภพทั้งปวงได้แล้ว ตัดกิเลสเครื่องผูกเหมือนช้าง
ตัดเชือกแล้ว เป็นผู้ไม่มีอาสวะอยู่. การที่ข้าพระองค์
ทั้งหลายมาในสำนักของพระพุทธเจ้าผู้ประเสริฐสุด
เป็นการมาดีแล้วหนอ วิชชา ๓ พวกข้าพระองค์บรรลุ
แล้วโดยลำดับ คำสอนของพระพุทธเจ้า พวกข้าพระ-
องค์ก็ได้ทำเสร็จแล้ว คุณวิเศษเหล่านี้คือ ปฏิสัมภิทา
๔ วิโมกข์ ๘ และอภิญญา ๖ ข้าพระองค์ทั้งหลายทำ
ให้แจ้งแล้ว คำสอนของพระพุทธเจ้าอันข้าพระองค์
ทั้งหลายได้ทำเสร็จแล้ว ข้าพระองค์ทั้งหลายมีความ
ชำนาญในฤทธิ์และทิพโสตธาตุ ข้าแต่พระมหามุนี
ข้าพระองค์ทั้งหลายชำนาญเจโตปริยญาณ รู้ปุพเพนิ-
วาสญาณชำระทิพยจักษุได้แล้ว สิ้นอาสวะหมดแล้ว
บัดนี้ภพใหม่ไม่มี ข้าแต่พระมหาวีระ ข้าพระองค์ทั้ง
หลายมีญาณในอรรถธรรมนิรุตติและปฏิภาณ ญาณนั้น
เกิดที่สำนักของพระองค์ ข้าแต่พระมหามุนีผู้ทรงเป็น
ผู้นำ พระองค์เป็นผู้อันข้าพระองค์ทั้งหลายผู้มีเมตตา
จิต บำรุงแล้ว ขอพระองค์โปรดทรงอนุญาตให้ข้า-
พระองค์ทั้งหมดนิพพานเถิด.
พระชินพุทธเจ้าตรัสว่า เธอทั้งหลายเมื่อพูด
อย่างนี้ว่า จักนิพพาน ตถาคตจักไปว่าอะไร ก็บัดนี้
เธอทั้งหลายจงสำคัญกาลเวลาของเธอเอาเองเถิด.
ครั้งนั้น ภิกษุเหล่านั้นมีพระปชาบดีโคตมี
เถรีเป็นต้น ถวายบังคมพระชินพุทธเจ้าแล้วได้พากัน

260
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรีคาถา เล่ม ๒ ภาค ๔ – หน้าที่ 261 (เล่ม 54)

ลุกจากที่นั่งนั้นมา พระธีรเจ้าผู้นำเลิศของโลกพร้อม
ด้วยหมู่ชนเป็นอันมาก ได้เสด็จไปส่งพระมาตุจฉาจน
ถึงซุ้มประตู.
ครั้งนั้นพระปชาบดีโคตมีเถรีพร้อมด้วยภิกษุณี
ทั้งหมด ได้พากันหมอบลงแทบพระยุคลบาทของพระ
ศาสดาผู้เป็นพงศ์พันธุ์ ของโลกกราบทูลว่า นี้เป็น
การถวายบังคมพระยุคลบาทครั้งสุดท้ายของหม่อมฉัน
การได้เห็นพระองค์ผู้เป็นนาถะของโลกครั้งนี้ ก็เป็น
ครั้งสุดท้าย หม่อมฉันจักไม่ได้เห็นพระพักตร์ของ
พระองค์ซึ่งมีอาการดุจอมตะอีก ข้าแต่พระมหาวีระ
ผู้เลิศของโลก การถวายบังคมของหม่อมฉันจักไม่
สัมผัสพระยุคลบาทของพระองค์ ซึ่งละเอียดอ่อนดี
วันนี้หม่อมฉันจะนิพพาน.
พระศาสดาตรัสว่า ประโยชน์อะไรของเธอ
ด้วยรูปนี้ในปัจจุบัน รูปนี้ล้วนปัจจัยปรุงแต่ง ไม่น่า
ยินดีเป็นของต่ำทราม. พระมหาปชาบดีเถรีพร้อมด้วย
ภิกษุณีเหล่านั้น ไปสำนักของภิกษุณีของตนแล้ว นั่ง
พับเพียบบนอาสนะอันประเสริฐ.
ครั้งนั้น อุบาสิกาทั้งหลายในพระนครนั้นผู้มี
ความเคารพรักในพุทธศาสนา ได้สดับประพฤติเหตุ
ของพระเถรี ก็พากันเข้าไปหา นมัสการแทบบาทมูล
เอากรข้อนอุระประเทศร้องไห้คร่ำครวญอย่างน่าสง-
สาร เต็มกลั้นด้วยความโศกเศร้า ก็ล้มลงที่พื้นพสุธา
ดุจเถาวัลย์รากขาดฉะนั้น พากันรำพันว่า ข้าแต่พระ

261
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรีคาถา เล่ม ๒ ภาค ๔ – หน้าที่ 262 (เล่ม 54)

แม่เจ้า ผู้เป็นนาถะให้ที่พึ่งแก่ข้าพเจ้าทั้งหลาย พระแม่
เจ้าอย่าละทิ้งข้าพเจ้าทั้งหลายไปสู่นิพพานเลย ข้าพเจ้า
ทุกคนขอซบเกล้าอ้อนวอน. พระมหาปชาบดีเถรีลูบ
ศีรษะของอุบาสิกา ผู้มีศรัทธา มีปัญญาซึ่งเป็นหัวหน้า
ของอุบาสิกาเหล่านั้นกล่าวดังนี้ว่า ลูกเอ๋ย ความโศก
สลด ซึ่งตกอยู่ในบ่วงแห่งมารไม่ควรเลย สังขตธรรม
ทั้งปวงล้วนไม่เที่ยง การพลัดพรากกันเป็นที่สุด หวั่น
ไหวไปมา. ต่อแต่นั้น พระเถรี ก็สละอุบาสิกา
เหล่านั้น เข้าปฐมฌาน ทุติยฌาน ตติยฌาน และ
จตุตถฌาน แล้วเข้าอากาสานัญจายตนฌาน วิญญา-
ณัญจายตนฌาน อากิญจัญญายตนฌาน และเนวสัญ-
ญานาสัญญายตนฌานตามลำดับแล้ว พระปชาบดี
โคตมีเถรีก็เข้าฌานทั้งหลายใดยปฏิโลมแล้ว ก็เข้า
ปฐมฌานไปตราบเท่าถึงจตุตถฌาน ออกจากจตุตถ-
ฌานนั้นแล้วก็ดับ เหมือนเปลวประทีปที่ปราศจากเชื้อ
แล้วดับไปฉะนั้น ได้เกิดแผ่นดินไหวใหญ่ สายฟ้าก็
ตกลงจากนภากาศ กลองทิพย์ก็บันลือลั่นขึ้นเอง ทวย-
เทพพากันคร่ำครวญ และฝนดอกไม้ก็ตกจากอากาศ
ลงยังพื้นแผ่นดิน แม้ขุนเขาเมรุราชก็กัมปนาทหวั่น
ไหวเหมอนนักฟ้อนรำในท่ามกลางเวทีฟ้อนรำ ฉะนั้น
สาครก็ปั่นป่วนตีฟองคะนองเพราะความโศก ทวยเทพ
นาค อสูรและพรหมต่างก็พากันสลดใจ กล่าวขึ้นใน
ทันใดนั้นเองว่า สังขารทั้งหลายไม่เที่ยงหนอ เหมือน
อย่างพระมหาปชาบดีโคตมีเถรีนี้ ถึงความย่อยยับไป

262
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรีคาถา เล่ม ๒ ภาค ๔ – หน้าที่ 263 (เล่ม 54)

แล้ว และพระเถรีทั้งหลาย ผู้ทำตามคำสอนของพระ
ศาสดา ซึ่งแวดล้อมพระนางมหาปชาบดีโคตมีเถรีนี้ก็
พากันปรินิพพาน เหมือนเปลวประทีปหมดเชื้อฉะนั้น
โอ้ ความพบกัน ก็มีความพลัดพรากกันเป็นที่สุด
โอ้ สิ่งที่ปัจจัยปรุงแต่งล้วนแต่ไม่เที่ยง โอ้ ชีวิต
มีความหายสูญเป็นที่สุด ความพิไรรำพัน ได้มีแล้ว
ด้วยประการฉะนี้.
ในลำดับนั้นเทวดาและพรหม ต่างก็ทำความ
ประพฤติตามโลกธรรมตามสมควรแก่กาลแล้ว เข้า
ไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้า พระผู้เป็นยอดฤษี พระ
องค์ที่ ๗.
ครั้งนั้น พระศาสดาได้ตรัสเรียกท่านพระอา-
นนท์ผู้พหูสูตมาสั่งว่า อานนท์ เธอจงไปประกาศ
ให้ภิกษุทั้งหลาย ทราบถึงการนิพพานของพระมารดา
เวลานั้น ท่านพระอานนท์ผู้ร่าเริง ก็ไร้ความร่าเริงมี
ดวงตาเต็มไปด้วยน้ำตา ได้กล่าวด้วยเสียงร้องไห้ว่า
ขอภิกษุทั้งหลายผู้เป็นโอรสของพระสุคต ซึ่งอยู่ใน
ทิศตะวันออก ทิศใต้ ทิศตะวันตก และทิศเหนือ
จงมาประชุมกัน ภิกษุณีผู้ทำพระสรีระสุดท้ายของ
พระมุนีให้เติบโตด้วยน้ำมัน มีนามว่าพระปชาบดี
โคตมีเถรีนิพพานถึงความสงบเหมือนดวงดาวทั้งหลาย
เมื่อดวงอาทิตย์อุทัยฉะนั้น พระเถรีตั้งบัญญัติทำให้
รู้กันทั่วไปว่า เป็นพระพุทธมารดา นิพพานแล้วใน
ที่ใด ถึงคนมี ๕ ตาก็แลไม่เห็น ในที่นั้นพระผู้มีพระ

263
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรีคาถา เล่ม ๒ ภาค ๔ – หน้าที่ 264 (เล่ม 54)

ภาคเจ้า ซึ่งเป็นผู้นำ ทรงเห็นได้ ขอพระโอรสของ
พระสุคตผู้มีความเชื่อในพระสุคต หรือเป็นศิษย์ของ
พระมหามุนี จงทำสักการะแด่พระพุทธมารดาเถิด
ภิกษุทั้งหลายถึงอยู่ไกล ได้ฟังคำประกาศนั้นแล้วก็รีบ
มา บางพวกมาด้วยพุทธานุภาพ บางพวกที่ฉลาดใน
ฤทธิ์ก็มาด้วยฤทธิ์ ต่างช่วยกันยกเอาเตียงที่พระโคตมี
เถรีหลับขึ้นไว้ในเรือนยอด [เมรุ] อันประเสริฐ น่า
รื่นรมย์ ทำด้วยทองล้วนๆ งดงาม ท้าวโลกบาลทั้ง
สี่เอาบ่าเข้ารองรับเรือนยอด ทวยเทพที่เหลือมีท้าว
สักกะเป็นต้นเข้าช่วยรับเรือนยอด ก็เรือนยอดทั้งหมด
มี ๕๐๐ หลัง แท้จริงวิสสกรรมเทพบุตรเนรมิตมีสี
เหมือนดวงอาทิตย์ในสรทกาล ทวยเทพทั้งหลายได้
แบกภิกษุณีทุกๆ รูปที่นอนอยู่บนเตียงแล้ว นำเอา
ออกไปตามลำดับ พื้นนภากาศถูกเอาเพดานบังไว้ทั่ว
ดวงจันทร์ ดวงอาทิตย์พร้อมทั้งดวงดาวซึ่งสำเร็จด้วย
ทองได้ถูกติดประดับไว้ที่เพดานนั้น ธงปฏากได้ถูกยก
ขึ้นไว้เป็นอันมาก จิตกาธารทั้งหลายมีดอกไม้เป็น
เครื่องปกคลุม ดอกบัวที่เกิดขึ้นในอากาศเอาปลายลง
ดอกไม้ผุดขึ้นจากแผ่นดิน ดวงจันทร์และดวงอาทิตย์
คนมองดูเห็นได้ และดาวทั้งหลายส่องแสงระยิบระยับ
อนึ่ง ดวงอาทิตย์ถึงจะโคจรไปในเวลาเที่ยง ก็ไม่ทำ
ใคร ๆ ให้ร้อน เหมือนดวงจันทร์ ทวยเทพทั้งหลาย
พากันบูชาด้วยของทิพย์คือของหอมและดอกไม้ที่หอม
ตระหลบ และการฟ้อนรำขับร้องดีดสีตีเป่า พวกนาค

264
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรีคาถา เล่ม ๒ ภาค ๔ – หน้าที่ 265 (เล่ม 54)

อสูรและพรหม ต่างก็พากันบูชาพระพุทธมารดาผู้นิพ-
พานแล้ว กำลังถูกเขานำออกไปตามสติกำลัง ภิกษุณี
ทั้งหลาย ผู้เป็นโอรสของพระสุคต ซึ่งนิพพานแล้ว
ทั้งหมด เชิญไปข้างหน้า พระปชาบดีโคตมีเถรี
พุทธมารดา ผู้อันเทวดาและมนุษย์สักการะเชิญเอาไป
ข้างหลัง เทวดา มนุษย์ พร้อมด้วย นาค อสูรและ
พรหมไปข้างหน้า ข้างหลังพระพุทธเจ้าพร้อมด้วย
พระสาวกเสด็จไปเพื่อบูชาพระมารดา การปรินิพพาน
ของพระพุทธเจ้าหาได้เป็นเช่นนี้ไม่ การปรินิพพาน
ของพระปชาบดีโคตมีเถรี อัศจรรย์ยิ่งนัก ในเวลา
พระพุทธเจ้าเสด็จนิพพาน ไม่มีพระพุทธเจ้าและภิกษุ
ทั้งหลาย มีพระสารีบุตรเป็นต้น เหมือนในเวลา
พรูปชาบดีโคตมีเถรีนิพพาน ซึ่งมีพระพุทธเจ้าและ
ภิกษุทั้งหลายมีพระสารีบุตรเป็นต้น ชนทั้งหลายช่วย
กันทำจิตกาธารซึ่งสำเร็จด้วยของหอมล้วนและเกลื่อน
ไปด้วยจุรณแห่งเครื่องหอม แล้วเผาภิกษุณีเหล่านั้น
บนจิตกาธารนั้น ส่วนแห่งสรีระนอกนั้นถูกไฟไหม้สิ้น
เหลือแต่อัฐิ ในเวลานั้น ท่านพระอานนท์ได้กล่าว
วาจาอันให้เกิดความสังเวชว่า พระปชาบดีโคตมีเถรี
เข้านิพพานแล้ว พระสรีระของพระเถรีก็ถูกเผาแล้ว
การนิพานของพระพุทะเจ้าน่าสังเกต อีกไม่นานก็
คงจักมี ต่อจากนั้น ท่านพระอานนท์อันพระพุทธเจ้า
ทรงตักเตือนท่าน ได้น้อมพระธาตุของพระปชาบดี-
โคตมีเถรี ซึ่งอยู่ในบาตรของพระเถรีเข้ามาถวายแด่

265
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรีคาถา เล่ม ๒ ภาค ๔ – หน้าที่ 266 (เล่ม 54)

พระโลกนาถพระผู้มีพระภาคเจ้าพระผู้เป็นฤษีพระองค์
ที่ ๗ ได้ประคองพระธาตุเหล่านั้นด้วยฝ่าพระหัตถ์แล้ว
ตรัสว่า เพราะสังขารเป็นสภาพไม่เที่ยง โคตมีผู้เป็น
ใหญ่กว่าหมู่ภิกษุณียังต้องนิพพาน เหมือนลำต้นของ
ต้นไม้ใหญ่ที่มีแก่นยืนต้นอยู่ ถึงจะใหญ่โตก็ต้องผุพัง
ไปฉะนั้น ดูเอาเถิดอานนท์ พระพุทธมารดาแม้
นิพพานแล้วเหลือแต่เพียงสรีระ ก็ไม่มีความเศร้าโศก
ปริเทวนาการ.
ท่านพระอานนท์ทูลว่า น่าอัศจรรย์จริงหนอ
พระมารดาของข้าพระองค์ แม้นิพพานแล้วเหลือแต่
เพียงสรีระ ก็ไม่มีความโศกปริเทวนาการ.
พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า โคตมี ข้ามสาครคือ
สงสารไปแล้ว ละเว้นเหตุอันทำให้เดือดร้อนได้แล้ว
เป็นผู้เยือกเย็นดับสนิทดีแล้ว อันผู้อื่นไม่ควรเศร้าโศก
ถึง โคตมีเป็นบัณฑิต มีปัญญามากและมีปัญญากว้าง
ขวาง ทั้งเป็นผู้รู้ราตรีนานกว่าภิกษุณีทั้งหลาย ดูก่อน
ภิกษุทั้งหลาย พวกเธอจงทรงจำไว้อย่างนี้เถิด โคตมี
เป็นผู้ชำนาญในฤทธิ์ ทิพโสตธาตุ และมีความชำนาญ
ในเจโตปริยญาณ รู้ทั่วถึงปุพเพนิวาสญาณ ชำระ
ทิพยจักษุให้หมดจด สิ้นอาสวะหมดแล้ว บัดนี้ภพ
ใหม่ไม่มี ญาณในอรรถะ ธรรมะ นิรุตติและปฏิภาณ
บริสุทธิ์ เพราะฉะนั้นจึงไม่ควรจะเศร้าโศกถึงโคตมี
นั้น คติของไฟที่ลุกโพลง ถูกแผ่นเหล็กทับแล้วดับไป
โดยลำดับ ใคร ๆ ก็รู้ไม้ได้ฉันใด คติของท่านที่หลุด
พ้นจากกิเลสโดยชอบแล้ว ข้ามพ้นโอฆะคือพันธะทาง

266