หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ เล่ม ๒ – หน้าที่ 511 (เล่ม 4)

จริงอยู่ ลักษณะที่กล่าวไว้แล้วในบทเดียว เป็นลักษณะที่บัณฑิตควรทราบใน
ทุก ๆ บท.
อีกอย่างหนึ่ง ในกุรุนทีก็ได้แสดงนัยนี้ไว้เหมือนกัน สมจริงดังที่
ท่านกล่าวไว้ในกุรุนทีนั้นว่า ภิกษุกลืนภัตในปากแล้ว ประสงค์จะให้ภัตในมือ
แก่คนกินเดน ประสงค์จะให้ภัตในบาตรแก่ภิกษุ ถ้าห้าม (โภชนะอื่น) ใน
ขณะนั้น ไม่ชื่อว่าห้าม (ภัต) .
[องค์ว่าทายกอยู่ในหัตถบาสน้อมถวาย]
ก็ในคำว่า หตฺถปาเส  ิโต นี้ มีวินิจฉัยดังนี้ ๒ ศอกคืบ
พึงทราบว่า หัตถบาส ถ้าภิกษุนั่งกำหนดตั้งแต่ริมสุดด้านหลังของอาสนะไป
ถ้ายืนกำหนดตั้งแต่ที่สุดส้นเท้าไป ถ้านอนกำหนดตั้งแต่ที่สุดด้านนอกแห่งสีข้าง
ที่นอนไป ด้วยที่สุดด้านในแห่งอวัยวะที่ใกล้กว่า เว้นมือที่เหยียดออกของ
ืทายกผู้นั่งอยู่ก็ตาม ยืนอยู่ก็ตาม นอนอยู่ก็ตาม การห้ามภัตย่อมมีแก่ภิกษุ
ผู้ห้ามโภชนะที่ทายกอยู่ในหัตถบาสนั้น น้อมถวายเท่านั้น, นอกจากนั้นไปหา
มีไม่.
บทว่า อภิหรติ มีความว่า ทายกอยู่ภายในหัตถบาส น้อม (โภชนะ)
เข้าไปเพื่อรับ (ประเคน). ก็ถ้าว่าภิกษุผู้นั่งถัดไป ไม่นำบาตรที่อยู่ในมือ
หรือที่วางอยู่บนตัก หรือบนเชิงรองออกไปเลย กล่าวว่า นิมนต์ท่านรับ
ภัตตาหาร เมื่อภิกษุปฏิเสธภัตนั้น ไม่เป็นการห้าม (ภัต). แม้ในทายกผู้นำ
กระเช้าภัตมาวางไว้บนพื้นข้างหน้า แล้วกล่าวว่า นิมนต์ท่านรับ เถิด ก็นัยนี้
เหมือนกัน.
แต่เมื่อเขาขยับยกขึ้นหรือน้อมเข้าไป กล่าวว่า นิมนต์ท่านรับเถิด
เมื่อภิกษุปฏิเสธ จัดเป็นการห้าม (ภัต). พระเถระนั่งอยู่บนเถระอาสน์ ส่ง
บาตรไปให้แก่ภิกษุหนุ่มผู้นั่งอยู่ในที่ไกลกล่าวว่า เธอจงรับเอาข้าวสุกจากบาตร

511
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ เล่ม ๒ – หน้าที่ 512 (เล่ม 4)

นี้ ฝ่ายภิกษุผู้รับ (บาตร) ไปยืนนิ่งเฉยเสีย, ภิกษุหนุ่มห้ามว่า ผมพอแล้ว
ไม่ชื่อว่าห้าม (ภัต). เพราะเหตุไร ? เพราะพระเถระอยู่ไกล และเพราะทูต
ไม่นำไปให้แล. ถ้าภิกษุผู้รับ (บาตร) มากล่าวว่า ท่านจงรับภัตนี้ เมื่อภิกษุ
หนุ่มปฏิเสธภัตนั้น จัดเป็นการห้าม (ภัต).
ในสถานที่อังคาส ทายกคนเดียวอังคาสภิกษุหลายรูป มือข้างหนึ่งถือ
กระเช้าข้าวสุก อีกข้างหนึ่งถือทัพพี. ถ้าในสถานที่อังคาสนั้นมีคนอื่นมาพูดว่า
ข้าพเจ้าจักช่วยถือกระเช้า ท่านจงถวายข้าวสุก แล้วทำกิจเพียงจับเท่านั้น
ก็ทายกผู้อังคาสนั่นเองยกกระเช้าข้าวสุกนั้น เพราะฉะนั้น กระเช้านั้น จัดว่า
อันเขานำมาจำเพาะแท้ จัดเป็นการห้าม (ภัต) แก่ภิกษุผู้ห้ามคนอังคาส ผู้ถือ
(ภัต ) จากกระเช้านั้น ด้วยเป็นผู้มีความต้องการจะถวาย. แต่ถ้าผู้อังคาสเพียง
แตะต้อง (กระเช้า) เท่านั้น, คนนอกนี้แหละช่วยยกกระเช้านั้น, ไม่จัดว่า
เป็นการห้าม (ภัต ) แก่ภิกษุผู้ห้ามคนอังคาส ซึ่งถือ (ภัต) จากกระเช้านั้น
ด้วยเป็นผู้มีความต้องการจะถวาย. แค่พอเขาเอาทัพพีตักภัต (การห้ามภัต)
ย่อมมีแก่ภิกษุผู้ห้าม. แท้จริง การน้อมเข้ามาโดยตรงด้วยทัพพีนั่นแหละ จัด
เป็นการน้อมถวายภัตนั้น. ในมหาปัจจรีกล่าวว่า แม้ในภัตที่คน ๒ คน ช่วย
กันยก เมื่อภิกษุปฏิเสธ ย่อมชื่อว่าห้ามภัตเหมือนกัน.
เมื่อทายกถวายภัตแก่ภิกษุผู้นั่งถัดไป ภิกษุอีกรูปหนึ่ง เอามือปิดบาตร
ไม่เป็นการห้าม (ภัต). เพราะเหตุไร ? เพราะห้ามภัตที่เขาน้อมถวายภิกษุ
รูปอื่น.
[ว่าด้วยการห้ามภัตมีการห้ามด้วยกายเป็นต้น]
ในคำว่า ปฏิกฺเขโป ปญฺญายติ นี้ พึงทราบวินิจฉัยว่า ภิกษุ
ปฏิเสธภัตที่เขาบอกถวายด้วยวาจา ไม่จัดเป็นการห้าม (ภัต), แต่เมื่อภิกษุ
ปฏิเสธด้วยกายหรือด้วยวาจา ซึ่งภัตที่เขาน้อมถวายด้วยกาย จึงเป็นการห้ามภัต.

512
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ เล่ม ๒ – หน้าที่ 513 (เล่ม 4)

ในการห้ามด้วยกายและวาจานั้น ที่ชื่อว่าการห้ามด้วยกาย คือภิกษุ
สั่นนิ้วมือ หรือมือพัดไล่แมลงหวี่ หรือชายจีวร กระทำอาการด้วยคิ้ว หรือ
โกรธแลดู. ที่ชื่อว่าห้ามด้วยวาจา คือ ภิกษุกล่าวว่า พอแล้ว หรือว่า ฉัน
ไม่รับ ว่า อย่าเทลง หรือว่า จงถอยไป. เมื่อภิกษุห้ามภัตด้วยกายหรือด้วย
วาจา โดยอาการอย่างใดอย่างหนึ่งอย่างนั้น ชื่อว่าเป็นการห้าม (ภัต).
ภิกษุรูปหนึ่ง เมื่อทายกน้อมถวายภัต กลัวแต่การห้ามภัต ชักมือออก
พูดกะชนผู้เทข้าวสุกลงในบาตรแล้ว ๆ เล่า ๆ ว่า ท่านจงเทลงไป ๆ เถิด จง
กดลง ๆ บรรจุให้เต็มเถิด, ถามว่า ในคำนี้ จะว่าอย่างไร ?
พระมหาสุมนเถระกล่าวไว้ก่อน จัดเป็นการห้าม (ภัต) เพราะภิกษุ
พูดเพื่อต้องการไม่ให้เทลง
แต่พระมหาปทุมเถระกล่าวว่า ธรรมดาภิกษุผู้กล่าวว่า จงเทลง จง
บรรจุให้เต็ม ดังนี้ บางรูปก็เป็นการห้าม (ภัต) แล้ว จึงกล่าวว่า ยังไม่ชื่อ
ว่าห้าม (ภัต).
ภิกษุอีกรูปหนึ่ง สังเกตเห็นภิกษุผู้กำลังนำภัตไป กล่าวว่า ผู้มีอายุ !
ท่านจักรับอะไรบางอย่างจากบาตรของผมนี้บ้างไหม ? ผมจะถวายอะไร ? แก่
ท่านไหม ? ในคำแม้นนี้ พระมหาสุมนเถระก็กล่าวว่า จัดเป็นการห้าม (ภัต)
เพราะภิกษุนั้นกล่าวด้วยใส่ใจว่า ภิกษุนี้จักไม่มา (ยังสำนักของเรา) ด้วยการ
กล่าวอย่างนี้.
ฝ่ายพระมหาปทุมเถระกล่าวว่า ธรรมดาภิกษุผู้กล่าวว่า ท่านจักรับ
ไหม ? บางรูปก็เป็นการห้าม (ภัต) จึงกล่าวว่า ยังไม่ชื่อว่าห้ามภัต.
ทายกคนหนึ่งน้อมถวายรสมีเนื้อ กล่าวว่านิมนต์ท่านรับรสเถิด. เมื่อ
ภิกษุได้ฟังคำนั้นแล้วปฏิเสธไป ไม่จัดเป็นการห้าม (ภัต ) เมื่อเขากล่าวว่า
รสปลา รสเนื้อ เป็นการห้ามภัตแก่ภิกษุผู้ปฏิเสธ. แม้เมื่อเขากล่าวว่า ขอ

513
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ เล่ม ๒ – หน้าที่ 514 (เล่ม 4)

นิมนต์ท่านรับรสปลาเนื้อนี้ ก็เป็นการห้ามภัตแก่ภิกษุผู้ปฏิเสธเหมือนกัน. เขา
แยกเนื้อไว้ต่างหากกล่าวว่า นิมนต์ท่านรับรสมีเนื้อ. ถ้าว่า ในรสนั้นมีชิ้นเนื้อ
แม้เท่าเมล็ดพันธุ์ผักกาด, เป็นการห้ามภัตแก่ภิกษุผู้ปฏิเสธรสนั้น. แต่ถ้าเป็น
รสที่เขากรองแล้ว ควรอยู่ ฉะนั้นแล.
พระอภัยเถระกล่าวว่า พระมหาเถระกล่าวว่า จงรอสักครู่หนึ่ง กะผู้
ถามโดยเอื้อเฟื้อด้วยรสเนื้อ แล้วกล่าวว่า นำถาดมาเถิด คุณ ! ในคำนี้ จะว่า
อย่างไรกัน ?
พระมหาสุมนเถระกล่าวไว้ก่อนว่า การไปของผู้น้อมถวาย (ภัต) ขาดไป
แล้วก่อน เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่าห้าม (ภัต). แต่พระมหาปทุมเถระกล่าวว่า
พระมหาเถระนี้จะไปที่ไหน ? การไปของผู้น้อมถวาย (ภัต) นั่น เป็นเช่นไร ?
การห้ามภัตย่อมมีแม้แก่ผู้รับ แล้วกล่าวต่อไปว่า ยังไม่ชื่อว่าห้าม (ภัต).
พวกทายกแกงปลาและเนื้อผสมด้วยหน่อไม้และขนุนเป็นต้น. เขาถือ
เอาแกงนั้นมากล่าวว่า นิมนต์ท่านรับแกงหน่อไม้. นิมนต์ท่านรับแกงขนุน.
แม้แกงนั่น ก็ไม่ห้าม (ภัต) เพราะเหตุไร ? เพราะเขากล่าวโดยชื่อแห่ง
สูปพยัญชนะที่ควรแก่การไม่ห้าม (ภัต). แต่ถ้าพวกเขากล่าวว่า แกงปลา
แกงเนื้อ ก็ดี, ว่า นิมนต์ท่านรับแกงปลาและเนื้อนี้ ก็ดี, คำนั้นย่อมห้าม (ภัต).
มีอาหาร ชื่อว่า มังสกรัมพก * (ยำเนื้อ) แม้ผู้ประสงค์จะถวาย
มังสกรัมพก (ยำเนื้อ) นั้น กล่าวว่า ขอนิมนต์ท่านรับกรัมพก (ยำ) สมควรรับ
* สารตฺถทีปนี ๓/๓๒๖ กรมฺพโกติ มิสฺสกาธิวจนเมตํ. ยํ หิ อญฺเญนญฺเญน มิสฺเสตฺวา
กโรนฺติ
โส กรมฺพโกติ วุจฺจติ. แปลว่า คำว่า กรัมพก นั่น เป็นชื่อของอาหารผสมกัน. จริงอยู่
อาการที่พวกชาวบ้านทำผสมกัน ด้วยของอย่างหนึ่งกับของอีกอย่างหนึ่งเรียกว่า กรัมพก น่า
จะ
ตรงกับคำว่า ยำ ของไทยเรา จึงแปลไว้อย่างนั้น. - ผู้ชำระ.

514
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ เล่ม ๒ – หน้าที่ 515 (เล่ม 4)

ไม่ชื่อว่าห้าม (ภัต). แต่เมื่อเขากล่าวว่า ยำเนื้อ หรือว่า ยำเนื้อนี้ คำนั้น
ย่อมห้ามภัต. แม้ในโภชนะที่ผสมด้วยปลาและเนื้อทุก ๆ อย่าง ก็นัยนี้เหมือน
กัน.
ในมหาปัจจรีกล่าวว่า ก็ภิกษุใด ฉันอยู่ในสถานที่นิมนต์ เข้าใจเนื้อ
ที่เขาน้อมถวายว่า เป็นเนื้อที่เขาทำเจาะจง จึงห้ามเสีย ภิกษุนั้น จัดว่าเป็น
ผู้ห้ามภัตเหมือนกัน.
[ว่าด้วยการห้ามภัตที่ระคนกัน ]
ส่วนมิสสกกถา (กถาว่าด้วยโภชนะระคนกัน) ท่านกล่าวไว้โดยละเอียด
ในกุรุนที. สมดังที่ท่านกล่าวไว้ในกุรุนทีนั้นอย่างนี้ว่า ภิกษุผู้ถือเที่ยวบิณฑบาต
เป็นวัตร นำยาคูเจือด้วยข้าวสวยมาแล้ว กล่าวว่า นิมนต์ท่านรับยาคู ยังไม่
ชื่อว่าห้าม (ภัต). เมื่อเธอกล่าวว่า ขอนิมนต์ท่านรับภัต จึงชื่อว่าห้าม (ภัต).
เพราะเหตุไร ? เพราะภัตที่ภิกษุเที่ยวบิณฑบาตถามโดยเอื้อเฟื้อ (บอกถวาย)
มีอยู่.
ในคำว่า ขอนิมนต์ท่านรับภัต นี้ มีอธิบายดังต่อไปนี้ :- ภิกษุเที่ยว
บิณฑบาตเป็นวัตรกล่าวว่า ขอนิมนต์ท่านรับภัตเจือด้วยข้าวยาคู. ในภัตเจือ
ข้าวยาคูนั้น ถ้ายาคูมีมากกว่า หรือมีเท่า ๆ กันยังไม่ชื่อว่าห้าม (ภัต). ถ้ายาคู
มีน้อย ภัตมีมากกว่า ชื่อว่าห้าม (ภัต) และคำนี้ใคร ๆ ไม่อาจคัดค้านได้
เพราะท่านกล่าวไว้ทุก ๆ อรรถกถา, แต่เหตุในคำนี้เห็นได้ยาก.
ผู้ถวายกล่าวว่า นิมนต์ท่านรับยาคูเจือด้วยภัต. ภัตมีมากกว่าก็ดี มี
เท่า ๆ กันก็ดี มีน้อยกว่าก็ดี ย่อมชื่อว่าห้าม (ภัต) เหมือนกัน. เขาไม่ระบุ
ถึงภัตหรือยาคู กล่าวว่า นิมนต์ท่านรับโภชนะระคนกัน. ในโภชนะระคนกัน
นั้น ถ้าภัตมีมากกว่า หรือมีเท่ากันจัดว่าห้าม (ภัต), มีน้อยกว่า ยังไม่จัดว่า

515
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ เล่ม ๒ – หน้าที่ 516 (เล่ม 4)

ห้าม (ภัต). ก็โภชนะระคนกันนี้ ไม่เหมือนกับยำ. เพราะว่ายำจะเป็นยำเนื้อ
ก็ดี ยำไม่มีเนื้อก็ดี; ฉะนั้น เมื่อเขากล่าวคำว่า ยำ ยังไม่เป็นการห้าม (ภัต).
แต่โภชนะระคนกันนี้กลายเป็นยาคูผสมภัตไป ย่อมเป็นการห้าม (ภัต) โดย
นัยดังกล่าวแล้วนั่นแหละในโภชนะระคนกันนี้.
ทายกกล่าวแยกถวาย ในภัตที่มีรสมากว่า นิมนต์ท่านรับรส ในภัต
ที่มีนมสดมากว่า นิมนต์ท่านรับนมสด และในข้าวปายาสที่มีเนยใสมากว่า
นิมนต์ท่านรับเนยใส. เมื่อภิกษุห้ามภัตนั้น ไม่จัดว่าเป็นการห้าม (ภัต).
ฝ่ายภิกษุใด เดินห้ามภัต, ภิกษุนั้นย่อมได้เพื่อจะฉันทั้งเดินนั่นแหละ.
เดินไปถึงที่มีโคลนตมหรือแม่น้ำหยุดยืนอยู่แล้ว พึงให้ทำเป็นเดน. ถ้าแม้น้ำ
ในระหว่างขึ้นเต็มฝั่ง พึงเดินเวียนรอบพุ่มไม้ทำฝั่งแม้น้ำมันเถิด. ถ้ามีเรือหรือ
สะพานนั้นแล้ว พึงเดินไปมาฉันเถิด, ไม่พึงตัดการเดินให้ขาดตอน. ภิกษุนั่ง
ห้ามภัต บนยานก็ดี บนหลังช้างและม้าก็ดี บนดวงจันทร์ก็ดี บนดวงอาทิตย์ก็ดี
พึงฉันทั้งที่นั่งอยู่บนยานเป็นต้นเหล่านั้น แม้ซึ่งกำลังเคลื่อนไปจนถึงเวลาเที่ยง
วัน.
ภิกษุใดยืนห้ามภัต ภิกษุนั้นพึงฉันทั้งยืนเหมือนกัน, ภิกษุใดนั่งห้าม
ภัต ภิกษุนั้น พึงฉันทั้งที่นั่งอย่างนั่นแหละ. เมื่อทำอิริยาบถนั้นให้เสีย พึง
ให้ทำให้เป็นเดน.
ภิกษุใดนั่งกระโหย่งห้ามภัต ภิกษุนั้นพึงฉันทั้งที่นั่งกระโหย่งนั่นแหละ
แต่พึงให้ตั่งฟางหรือที่รองนั่งบางอย่างในภายใต้แก่ภิกษุผ้นั่งกระโหย่งนั้น. ภิกษุ
ผู้นั่งเล็กห้ามภัต ย่อมได้เพื่อจะฉันหมุนไปรวมทั้ง ๔ ทิศ ไม่ทำให้อาสนะ
เคลื่อนที่. ภิกษุนั่งบนเตียงห้ามภัตย่อมไม่ได้เพื่อจะเลื่อนไปทางโน้นหรือทางนี้.
แต่ถ้าชนทั้งหลายยกเธอขึ้นพร้อมทั้งเตียง หามไปในที่อื่น ควรอยู่. ภิกษุผู้

516
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ เล่ม ๒ – หน้าที่ 517 (เล่ม 4)

นอนห้ามภัตพึงฉันทั้ง ๆ ที่นอนนั่นแหละ. เมื่อจะพลิกตัว อย่าพึงให้เลยฐาน
แห่งสีข้างที่ตนนอนไป.
[ว่าด้วยลักษณะของเป็นเดนเป็นต้น]
บทว่า อนติริตฺตํ คือ ไม่เป็นเดน, ความว่า ไม่เหลือเฟือ. แต่
ของไม่เป็นเดนนั้น เป็นเพราะไม่ทำให้เป็นเดน โดยอาการแห่งวินัยกรรม ๗
อย่าง มีของไม่ได้ทำให้เป็นกัปปิยะเป็นต้น หรือไม่เป็นเดนของภิกษุอาพาธ;
เพราะฉะนั้น ในบทภาชนะจึงตรัสคำว่า อกปฺปิยกตํ เป็นต้น.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อกปฺปิยกตํ มีความว่า ในผลไม้เป็น
ต้น ผลไม้ หรือเหง้ามันเป็นต้นใด ยังไม่ได้ทำให้เป็นกัปปิยะด้วยสมณโวหาร
ทั้ง ๕ และอกัปปิยมังสะ หรืออกัปปิยโภชนะอันใดบรรดามี, ผลไม้เป็นต้นที่
ยังไม่ได้ทำกัปปิยะและอกัปปิยมังสะ อกัปปิยโภชนะนี้ชื่อว่า ของเป็นอกัปปิยะ,
ของเป็นอกับปิยะนั้น ภิกษุทำให้เป็นเดนอย่างนี้ว่า ทั้งหมดนั่นพอแล้ว พึง
ทราบว่า อกปฺปิยกตํ (ของที่ยังมิได้กระทำให้เป็นกัปปิยะ).
บทว่า อปฏิคฺคหิตถตํ ได้แก่ ของที่ภิกษุยิ่งไม่ได้รับประเคนทำ
ให้เป็นเดนโดยนัยก่อนนั่นและ.
บทว่า อนุจฺจาริตกตํ ได้แก่ ของที่ภิกษุผู้มาเพื่อจะให้ทำกัปปิยะ
ยังมิได้ขยับยกให้หรือน้อมถวายแม้แต่น้อย.
สองบทว่า อหตฺถปาเส กตํ ได้แก่ ยืนทำนอกหัตถบาสของภิกษุ
ผู้มาเพื่อให้ทำกัปปิยะ.
สองบทว่า อภุตฺตาวินา กตํ ได้แก่ ภิกษุผู้ซึ่งทำให้เป็นเดนว่าทั้ง
หมดนั่นพอแล้ว ยังไม่ได้ฉันโภชนะที่เพียงพอแก่การห้ามทำแล้ว
คำว่า ภุตฺตาวินา ปวาริเตน อาสนา วุฏฺฐิเตน กตํ นี้ ตื้น
ทั้งนั้น.

517
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ เล่ม ๒ – หน้าที่ 518 (เล่ม 4)

คำว่า อลเมตํ สพฺพนฺติ อวุตฺตํ ได้แก่ ไม่เปล่งวาจาพูดอย่างนั้น
(พูดอย่างนี้ว่า ทั้งหมดนั่นพอแล้ว). ของเป็นเดนอันใดยังไม่ได้ทำให้เป็น
กัปปิยะ โดยอาการแห่งวินัยกรรมทั้ง ๗ อย่างนี้ และของใดไม่เป็นเดนแห่ง
ภิกษุอาพาธ. ของแม้ทั้ง ๒ อย่างนั้น พึงทราบว่า ของไม่เป็นเดน ด้วย
ประการฉะนี้, ส่วนของเดน ก็พึงทราบโดยนัยตรงกันข้ามของไม่เป็นเดนนั้น
นั่นแหละ.
อีกอย่างหนึ่ง ยังมีคำอื่นที่จะพึงกล่าวอยู่ในของเป็นเดนนี้. คำว่า
ภุตฺตาวินา กตํ โหติ มีความว่า ถึงโภชนะที่ภิกษุฉันข้าวสุกแม้เมล็ดเดียว
หรือเคี้ยวเนื้อแม้ชิ้นเดียวจากบาตรของภิกษุผู้เป็นสภาคกันซึ่งนั่งถัดไปทำแล้ว
บัณฑิตก็พึงทราบว่า เป็นอันภิกษุผู้ฉันเสร็จแลทำ.
ส่วนในคำว่า อาสนา อวุฏฺฐิเตน นี้ เพื่อความไม่งมงาย มีวินิจฉัย
ดังต่อไป:- ภิกษุ ๒ รูปฉัน แต่เช้ามืด เป็นผู้ห้ามภัตเสียแล้ว. ภิกษุรูปหนึ่ง
พึงนั่งในที่ห้ามภัตนั่นแหละ. อีกรูปหนึ่ง นำนิตยภัต หรือสลากภัตมาแล้ว
เทลงในบาตรของภิกษุนั้นครึ่งหนึ่ง ล้างมือแล้ว ให้ภิกษุนั้นทำส่วนที่เหลือให้
เป็นกัปปิยะแล้วฉันเถิด. เพราะเหตุไร ? เพราะว่าภัตที่ติดอยู่ในมือของภิกษุผู้
นำภัตมานั้น เป็นอกัปปิยะ แต่ถ้าภิกษุผู้นั่งอยู่แต่แรก เอามือรับเอาจากบาตร
ของภิกษุผู้นำภัตมานั้นด้วยตนเองนั่นแหละ, ไม่มีกิจจำต้องล้างมือ. แต่ถ้าเมื่อ
ภิกษุให้ทำเป็นกัปปิยะอย่างนั้นแล้วฉัน พวกทายกใส่แกง หรือของเคี้ยวบาง
อย่างลงในบาตรอีก ภิกษุผู้ทำให้เป็นกัปปิยะคราวก่อน ย่อมไม่ได้เพื่อจะทำ
อีก. ภิกษุผู้ยังไม่ได้ทำ (ให้เป็นกัปปิยะ) พึงทำ. และพึงทำสิ่งที่ยังไม่ได้ทำ
เท่านั้น (ให้เป็นกัปปิยะ).

518
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ เล่ม ๒ – หน้าที่ 519 (เล่ม 4)

สองบทว่า ยํ จ อกตํ เยน อกตํ มีความว่า ของที่ยังไม่ได้ทำ
(ให้เป็นกัปปิยะ) แม้ภิกษุผู้ซึ่งได้ทำกัปปิยะคราวแรก ก็ควรทำ (ให้เป็น
กัปปิยะ). แต่ย่อมไม่ได้เพื่อจะทำในภาชนะแรก. อธิบายว่า เพราะว่า ของที่
ภิกษุทำอยู่ในภาชนะแรกนั้น ย่อมเป็นอันทำรวมกันกับของที่ทำไว้คราวแรก;
เพราะฉะนั้น จึงควรทำในภาชนะอื่น. แต่ของที่ทำแล้วอย่างนี้ ภิกษุนั้นจะ
ฉัน รวมกับของทำไว้คราวแรก ควรอยู่. และเมื่อจะทำกัปปิยะ พึงทำในบาตร
อย่างเดียวเท่านั้นหามิได้, พึงวางไว้ในหม้อบ้าง ในกระเช้าบ้าง ในที่ใดที่หนึ่ง
ข้างหนึ่งแล้ว พึงทำในภาชนะที่เขาน้อมเข้ามาเถิด. ถ้าแม้นภิกษุตั้ง ๑๐๐ รูป
ห้ามภัต, ทุกรูปจะฉันภัตที่ทำกัปปิยะแล้วนั้นก็ควร. แม้พวกภิกษุผู้ไม่ห้ามภัต
ก็ควรฉัน. แต่ไม่ควรแก่ภิกษุผู้ทำให้กัปปิยะ.
ถ้าแม้นชาวบ้านเห็นภิกษุผู้ห้ามภัตเข้าไปบิณฑบาต รับบาตรแล้วให้
นั่งในสถานที่นิมนต์เพื่อต้องการมงคล ซึ่งจะต้องมีการฉันแน่นอน, พึงให้ทำ
ให้เป็นเดนก่อนแล้วฉันเถิด. ถ้าในสถานที่นิมนต์นั้นไม่มีภิกษุอื่น, พึงส่งบาตร
ไปยังหอฉัน หรือวิหารแล้ว ให้ทำ (ให้เป็นเดน). แต่เมื่อจะทำกัปปิยะไม่
ควรทำของที่อยู่ในมืออนุปสัมบัน. ถ้าในหอฉันมีภิกษุไม่ฉลาด พึงไปให้ทำ
กัปปิยะอยู่เองแล้วนำมาฉันเถิด.
ในคำว่า คิลานาติริตฺตํ นี้ ภัตที่ภิกษุอาพาธฉันเหลืออย่างเดียวจึง
ชื่อว่า ภัตเป็นเดนของภิกษุอาพาธหามิได้, โดยที่แท้ วัตถุอย่างใดอย่างหนึ่ง
ที่เขานำมาเฉพาะภิกษุอาพาธ ด้วยใส่ใจว่า ท่านจักฉันในวันนี้หรือในพรุ่งนี้
หรือในเวลาที่ท่านต้องการ, วัตถุทั้งหมดนั้นบัณฑิตพึงทราบว่า เดนของภิกษุ
อาพาธ.

519
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ เล่ม ๒ – หน้าที่ 520 (เล่ม 4)

ทุกกฏที่ต้องทุก ๆ คำกลืน ในกาลิกทั้งหลายมียามกาลิกเป็นต้น ท่าน
ปรับด้วยอำนาจกาลิกไม่ระคนกัน. แต่ถ้าว่าเป็นกาลิกระคนกันกับอามิส เป็น
ปาจิตตีย์ทั้งนั้น แก่ภิกษุรับประเคนเพื่อประโยชน์แก่อาหารก็ดี เพื่อประโยชน์
มิใช่อาหารก็ดี กลืนกิน.
ข้อว่า สติ ปจฺจเย มีความว่า ภิกษุฉันยามกาลิก เพื่อขจัดความ
กระหายในเมื่อมีความกระหาย ฉันสัตตาหกาลิกและยาวชีวิก เพื่อระงับอาพาธ
นั้น ในเมื่อมีอาพาธที่จะพึงให้ระงับได้ ด้วยกาลิกนั้น ๆ ไม่เป็นอาบัติ. คำที่
เหลือในสิกขาบทบทนี้ ตื้นทั้งนั้น.
สิกขาบทนี้ มีสมุฏฐานดุจกฐินสิกขาบท เกิดขึ้นทางกายและวาจา ๑
ทางกายวาจาและจิต ๑ เป็นทั้งกิริยาทั้งอกิริยา เป็นโนสัญญาวิโมกข์ อจิตตกะ
ปัณณัตติวัชชะ กายกรรม วจีกรรม มีจิต ๓ มีเวทนา ๓ ดังนี้แล.
ปฐมปวารณาสิกขาบทที่ ๕ จบ

520