หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ เล่ม ๒ – หน้าที่ 501 (เล่ม 4)

ลักษณะห้ามภัต
ที่ชื่อว่า ห้ามภัตแล้ว คือ กำลังฉันอาหารอยู่ ๑ ทายกนำโภชนะ
มาถวายอีก ๑ ทายกอยู่ในหัตถบาส ๑ ทายกน้อมถวาย ๑ ภิกษุห้ามเสีย ๑.
ลักษณะของไม่เป็นเดน
ที่ชื่อว่า มิใช่เดน คือ ของที่ยังมิได้ทำให้เป็นกัปปิยะ ๑ ภิกษุมิได้
รับประเคน ๑ ภิกษุมิได้ยกขึ้นส่งให้ ๑ ทำนอกหัตถบาส ๑ ภิกษุฉันยังไม่เสร็จ
ทำ ๑ ภิกษุฉันเสร็จ ห้ามภัตแล้ว ลุกจากอาสนะแล้วทำ ๑ ภิกษุมิได้พูดว่า
ทั้งหมดนั้นพอแล้ว ๑ ของนั้นมิใช่เป็นเดนภิกษุอาพาธ ๑ นี้ชื่อว่า มิใช่เดน.
ลักษณะของเป็นเดน
ที่ชื่อว่า เป็นเดน คือ ของที่ทำให้เป็นกัปปิยะแล้ว ๑ ภิกษุรับ
ประเคนแล้ว ๑ ภิกษุยกขึ้นส่งให้ ๑ ทำในหัตถบาส ๑ ภิกษุฉันแล้ว ทำ ๑
ฉันเสร็จห้ามภัตแล้ว ยังไม่ลุกจากอาสนะ ทำ ๑ ภิกษุพูดว่า ทั้งหมดนั่นพอ
แล้ว ๑ เป็นเดนภิกษุอาพาธ ๑ นี้ชื่อว่า เป็นเดน.
ลักษณะของเคี้ยว
ที่ชื่อว่า ต้องเคี้ยว คือ เว้นโภชนะห้า ๑ ของที่เป็นยามกาลิก ๑
สัตตาหกาลิก ๑ ยาวชีวิก ๑ นอกนั้นชื่อว่า ของเคี้ยว.
ลักษณะของฉัน
ที่ชื่อว่า ของฉัน ได้แก่ โภชนะ ๕ คือ ข้าวสุก ๑ ขนมสด ๑
ขนมแห้ง ๑ ปลา ๑ เนื้อ ๑.
ภิกษุรับประเคนด้วยตั้งใจว่า จักเคี้ยว จักฉัน ต้องอาบัติทุกกฏ.
ขณะกลืน ต้องอาบัติปาจิตตีย์ ทุก ๆ คำกลืน.

501
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ เล่ม ๒ – หน้าที่ 502 (เล่ม 4)

บทภาชนีย์
ติกปาจิตตีย์
[๕๐๒] ของไม่เป็นเดน ภิกษุสำคัญว่า ไม่เป็นเดน เคี้ยวก็ดี ฉันก็ดี
ซึ่งของเคี้ยวก็ดี ซึ่งของฉันก็ดี ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
ของไม่เป็นเดน ภิกษุสงสัย เคี้ยวก็ดี ฉันก็ดี ซึ่งของเคี้ยวก็ดี ซึ่ง
ของฉัน ก็ดี ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
ทุกกฏ
ภิกษุรับประเคนของที่เป็นยามกาลิก สัตตาหกาลิก ยาวชีวิก เพื่อ
ประสงค์เป็นอาหาร ต้องอาบัติทุกกฏ.
ขณะกลืน ต้องอาบัติทุกกฏ ทุก ๆ คำกลืน.
ของเป็นเดน ภิกษุสำคัญว่ามิใช่เดน. . .ต้องอาบัติทุกกฏ.
ของเป็นเดน ภิกษุสงสัย. . .ต้องอาบัติทุกกฏ.
ไม่ต้องอาบัติ
ของเป็นเดน ภิกษุสำคัญว่าเป็นเดน. . .ไม่ต้องอาบัติ.
อนาปัตติวาร
[๕๐๓] ภิกษุให้ทำเป็นเดนแล้วฉัน ๑ ภิกษุรับประเคนไว้ด้วยตั้งใจ
ว่าจักให้ทำเป็นเดนแล้วจึงฉัน ๑ ภิกษุรับไปเพื่อประโยชน์แก่ภิกษุอื่น ๑ ฉัน
อาหารที่เหลือของภิกษุอาพาธ ๑ ฉันยามกาลิก สัตตาหกาลิก ยาวชีวิก ใน
เมื่อมีเหตุอันสมควร ๑ ภิกษุวิกลจริต ๑ ภิกษุอาทิกัมมิกะ ๑ ไม่ต้องอาบัติแล.
โภชนวรรค สิกขาบทที่ ๕ จบ

502
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ เล่ม ๒ – หน้าที่ 503 (เล่ม 4)

ปฐมปวารณาสิกขาบทที่ ๕
* วินิจฉัย ในสิกขาบทที่ ๕ พึงทราบดังต่อไปนี้ :-
[แก้อรรถปฐมบัญญัติเรื่องการห้ามภัต]
หลายบทว่า ภิกฺขู ภุตฺตาวี ปวาริตา มีความว่า ภิกษุทั้งหลาย
อันพราหมณ์ปวารณา ด้วยปวารณาจนพอแก่ความต้องการอย่างนี้ว่า ข้าแต่ท่าน
ผู้เจริญ ท่านทั้งหลายจงรับเท่าที่ที่ท่านปรารถนาเถิด และห้ามด้วยตนเอง
ด้วยการห้ามคือการปฏิเสธอย่างนี้ว่า พอละ อาวุโส ! จงถวายแต่น้อย ๆ เถิด.
บทว่า ปฏิวิสฺสเก คือ พวกเพื่อนบ้านผู้อยู่ในเรึอนใกล้เคียง.
บทว่า กาโกรวสทฺทํ ได้แก่ เสียงพวกนกการ้องเกรียวกราว คือ
เสียงฝูงนกกาจับกลุ่มกันร้องระเบ็งเซ็งแซ่ ในคำว่า อลเมตํ สพฺพนฺติ นี้
จะไม่ตรัส ติ อักษรเลย ตรัสเพียง อลเมตํ สพฺพํ (ทั้งหมดนั่นพอแล้ว)
เท่านี้ ก็สมควร.
บทว่า ภุตฺตาวี แปลว่า ผู้ฉันเสร็จ ก็เพราะภิกษุใด เคี้ยวก็ตาม
ไม่เคี้ยวก็ตาม กลืนกินเมล็ดข้าวแม้เมล็ดเดียวเข้าไป, ภิกษุนั้นถึงการนับว่า ผู้
ฉันเสร็จ ในบทว่า ภุตฺตาวี นั้น. เพราะเหตุนั้น ในบทภาชนะแห่งบทนั้น
จึงตรัสคำว่า ภุตฺตาวี นาม ปญฺจนฺนํ โภชนานํ ดังนี้เป็นต้น.
บทว่า ปวาริโต คือ ผู้มีการห้าม (ภัต) อันทำแล้ว คือ มีการ
ปฏิเสธอันทำแล้ว . ก็เพราะการห้ามแม้นั้น ไม่ใช่ว่าจะทำสำเร็จได้ด้วยเหตุเพียง
การปฏิเสธ, โดยที่แท้ ย่อมสำเร็จได้ด้วยอำนาจองค์ ๕. ด้วยเหตุนั้น ใน
* ในสิกขาบทนี้ ศัพท์ทั่วไป และศัพท์ที่เป็นชื่อธัญชาติต่าง ๆ ที่แปลไว้เท่าที่หาได้ ไม่แน่ใจ
ว่าถกทั้งหมด จึงขอฝากท่านผู้รู้ไว้พิจารณาแก้ไขต่อไป. ผู้ชำระ.

503
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ เล่ม ๒ – หน้าที่ 504 (เล่ม 4)

บทภาชนะแห่งบทนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสคำว่า ปวาริโต นาม อสนํ
ปญฺญายติ เป็นต้น.
เพราะบรรดาองค์ ๕ นั้น ด้วยองค์ว่า อสนํ ปญฺญายติ นี้ ภิกษุ
ผู้ฉันค้างอยู่ จึงเป็นอันเรียกว่า ผู้ห้ามภัต, ส่วนภิกษุใด ชื่อว่าผู้ฉันค้างอยู่,
โภชนะบางอย่างภิกษุนั้นฉัน แล้ว บางอย่างยังไม่ได้ฉัน และเพราะหมายเอา
โภชนะที่เธอฉันแล้ว จึงถึงการนับว่า ผู้ฉันเสร็จ ; เพราะฉะนั้น ด้วยคำว่า
ภุตฺตาวี เราจึงไม่เห็นความสำเร็จประโยชน์อะไรแผนกหนึ่ง. ก็คำว่า ภุตฺตาวี
นี้ บัณฑิตพึงทราบว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสแล้ว โดยความเป็นบทบริวาร
แห่งบทว่า ปวาริตะ และโดยความเป็นพยัญชนะสละสลวย ดุจคำว่า ๒ คืน
เป็นต้น ในคำว่า ๒ - ๓ คืน. . .๖ คำ ๕ คำ. . .เป็นต้น.
ในองค์ว่า อสนํ ปญฺญายติ เป็นต้น มีวินิจฉัยดังนี้. การฉัน
ค้างปรากฏ, อธิบายว่า ถ้าบุคคลผู้กำลังฉันนี้อยู่.
องค์ว่า โภชนํ ปญฺญายติ ได้แก่ โภชนะเพียงพอแก่การห้าม
ปรากฏอยู่. อธิบายว่า ถ้าโภชนะมีข้าวสุกเป็นต้นอย่างใดอย่างหนึ่ง ที่จะพึง
ห้ามมีอยู่.
องค์ว่า หตฺถปาเส  ิโต มีความว่า หากทายกถือเอาโภชนะเพียง
พอแก่การห้ามอยู่ในโอกาสประมาณ ๒ ศอกคืบ.
องค์ว่า อภิหรติ มีความว่า ถ้าทายกนั้น น้อมภัตนั้นถวายแก่ภิกษุ
นั้น ด้วยกาย.
องค์ว่า ปฏิกฺเขโป ปญฺญายติ คือ การห้ามปรากฏ. อธิบายว่า
ถ้าภิกษุนั้นปฎิเสธโภชนะที่เขาน้อมถวายนั้น ด้วยกายก็ดี ด้วยวาจาก็ดี. ภิกษุ
ย่อมเป็นผู้ชื่อว่าห้ามภัตแล้ว ด้วยอำนาจแห่งองค์ ๕ ด้วยประการอย่างนี้แล.

504
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ เล่ม ๒ – หน้าที่ 505 (เล่ม 4)

สมจริงดังคำที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้นี้ว่า ดูก่อนอุบาลี ! การห้าม (ภัต)
ย่อมมี ด้วยอาการ ๕ อย่าง คือ การฉันปรากฏ ๑ โภชนะปรากฏ ๑ ทายก
อยู่ในหัตถบาส ๑ ทายกน้อมถวาย ๑ การห้ามปรากฏ๑๑.
[ว่าด้วยโภชนะและธัญชาติ ๗ ชนิด]
ในปวารณาธิการนั้น มีวินิจฉัยดังต่อไปนี้ :-
พึงทราบวินิจฉัยในคำว่า อสนํ เป็นต้นก่อน ภิกษุฉันโภชนะใด
และห้ามโภชนะใดที่ทายกอยู่ในหัตถบาสน้อมถวาย, โภชนะนั้นบัณฑิตพึงทราบ
ว่าเป็นโภชนะเหล่านี้ คือ ข้าวสุก ขนมสด ขนมแห้ง ปลา เนื้อ อย่างใด
อย่างหนึ่งนั่นแล.
บรรดาโภชนะมีข้าวสุกเป็นต้นนั้น ที่ชื่อว่า ข้าวสุก ได้แก่ ข้าวสุก
ที่เกิดจากธัญชาติ ๗ ชนิด คือ ข้าวสาลี ข้าวจ้าว ข้าวเหนียว ข้าวละมาน
ข้าวฟ่าง ลูกเดือย หญ้ากับแก้.
บรรดาธัญชาติ ๗ ชนิด มีข้าวสาลีเป็นต้นนั้น กำเนิดข้าวสาลี แม้
ทุกจำพวก ชั้นที่สุดจนกระทั่งลูกเดือย ชื่อว่า ข้าวสาลี. กำเนิดข้าวจ้าวแม้
ทุกชนิด ชื่อว่า วีหิ. ในข้าวเหนียวและข้าวละมาน ไม่มีความแตกต่างกัน.
เมล็ดข้าวฟ่าง เช่นข้าวฟ่างสีขาว สีแดง และสีดำ แม้ทุกชนิด ชื่อว่า กังคุ.
เมล็ดลูกเดือย มีสีขาว แม้ทุกชนิด ชั้นที่สุดจนกระทั่งข้าวฟ่างชาวเมือง (ข้าว
โพดกระมัง๒?) ชื่อว่า วรกะ. หญ้ากับแก้ดำ และติณธัญชาติแม้ทุกชนิด
เช่น หญ้าข้าวนก (ข้าวละมานหรือข้าวฟ่างก็ว่า) เป็นต้น ชื่อว่า กุทรุสกะ.
๑. วิ. ปริวาร. ๘/๔๖๑. ๒. บางแห่งว่าแฝกหอม น่าจะเป็นข้าวโพด เพราะแปลตามศัพท์
ว่า
ข้าวฟ่างชาวเมือง. - ผู้ชำระ

505
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ เล่ม ๒ – หน้าที่ 506 (เล่ม 4)

อาจารย์บางพวกกล่าวว่า ก็ในจำพวกข้าวสาลี และลูกเดือยนี้ ลูก
เดือยและข้าวฟ่างชาวเมือง* (ข้าวโพดกระมัง ?) อนุโลมเข้ากับธัญชาติ.
จะเป็นธัญชาติหรือธัญชาติอนุโลมก็ตามที พวกชาวบ้านเอาข้าวสารแห่ง
ธัญชาติทั้ง ๗ มีชนิดดังกล่าวแล้วนี้ หุงต้มหมายให้เป็นโภชนะอย่างใดอย่าง
หนึ่งว่า เราจักหุงข้าวสวย หรือว่า เราจักต้มข้าวต้ม หรือว่า เราจักกวนข้าว
ต้ม หรือว่า เราจักกวนข้าวปายาสเปรี้ยวเป็นต้น อย่างใดอย่างหนึ่ง ก็ตาม.
ถ้าเมื่อพวกภิกษุฉันภัตนั้น จะร้อนหรือเย็นก็ตาม รอยย่อมปรากฏในที่ควักเอา
หรือตักเอาในเวลาฉันภัตนั้น ถึงการสงเคราะห์เป็นข้าวสุกทีเดียว ก่อให้เกิด
การห้าม (ภัต ), ถ้ารอยไม่ปรากฏ, ถึงการสงเคราะห์เข้าเป็นยาคู, ไม่ให้เกิด
การห้าม (ภัต).
ข้าวปายาส หรือข้าวยาคูเปรี้ยวซึ่งผสมด้วยใบไม้ ผลไม้และหน่อไม้
(เหง้า) แม้อันใด พอยกลงจากเตายังร้อนอยู่, อาจจะกลอกดื่ม (ตะแคงหม้อ
ดื่ม) ได้ แม้ในโอกาสที่มีมือควักเอา ก็ไม่แสดงรอย (ให้ปรากฏ), ยาคู
เป็นต้นนั้น ไม่ให้เกิดการห้าม (ภัต). แต่ถ้าเมื่อไอร้อนหมดไปเย็นลงแล้ว
ถึงความแข้นเข้า แสดงรอยให้ปรากฏ กลับก่อให้เกิดการห้าม (ภัต) ได้.
ความเป็นของเหลว ๆ ในเบื้องต้นคุ้ม (อาบัติ) ไม่ได้.
ถ้าแม้นเขาเติมนมส้ม และเปรียงเป็นต้นลงไปแล้ว ใส่ใบไม้ผลไม้
และหน่อไม้เป็นอันมากลงไป เพิ่มข้าวสารลงไปแม้เพียงกำมือเดียว. ถ้าใน
เวลาฉันมีรอยปรากฏ ก่อให้เกิดการห้าม (ภัต).
[ว่าด้วยโภชนะต่าง ๆ เป็นเหตุห้ามและไม่ห้ามภัต]
ในนิมันตนภัต ไม่มีข้าวยาคู ชาวบ้านเทน้ำข้าว และนมสดลงไปใน
ภัต ด้วยตั้งใจว่า จักถวายยาคู แล้วถวายว่า นิมนต์ท่านรับยาคู. ถึงข้าวยาคู
* บางแห่งว่าแฝกหอม.

506
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ เล่ม ๒ – หน้าที่ 507 (เล่ม 4)

จะเป็นของเหลวก็จริง, แต่ก็ก่อให้เกิดการห้าม (ภัต ) เหมือนกัน. ก็ถ้าว่าพวก
เขาใส่ (ข้าวสุก) ลงในน้ำที่เดือดพล่านเป็นต้น ต้มถวาย, โภชนะนั้นก็ถึง
การสงเคราะห์เข้าเป็นข้าวยาคูเหมือนกัน. เขาใส่ปลา เนื้อ ลงในภัตแม้ที่ถึง
การสงเคราะห์เข้าเป็นยาคูนั้น หรือในยาคูอื่นใด, ถ้าชิ้นปลา และเนื้อ หรือ
เอ็นปรากฏ แม้ประมาณเท่าเมล็ดพันธุ์ผักกาด. ยาคูนั้น ก่อให้เกิดการห้าม
(ภัต) ด้วย. อาหารมีรสล้วน ๆ หรือยาคูมีรส ไม่ให้เกิด (การห้ามภัต).
แม้ภัตที่ชนพวกใดพวกหนึ่ง ทำด้วยวัตถุมีผลขุยไผ่เป็นต้นอย่างอื่น ยกเว้น
ข้าวสารแห่งธัญชาติที่กล่าวแล้วเสีย หรือด้วยเหง้ามันและผลไม้ ย่อมไม่ก่อให้
เกิดการห้าม (ภัต). จะป่วยกล่าวไปไยถึงยาคูแข้น (แห่งผลขุยไผ่เป็นต้น).
แต่ถ้าเขาใส่ปลา เนื้อ ลงในยาคูแข้นนี้ ทำให้เกิดการห้าม (ภัต) ได้.
ในมหาปัจจรีกล่าวว่า แม้ภัตเพื่อประโยชน์แก่ขุพพี๑ ก็ทำให้เกิดการ
ห้าม (ภัต) ท่านเรียกข้าวสารที่ใส่ลงในน้ำร้อนเดือดนึ่ง (ตุ๋น) ให้สุก เพื่อ
ประโยชน์แก่ผู้กินด้วยขุพพี ชื่อว่า ภัตเพื่อประโยชน์แก่ขุพพี.๒ ก็ถ้าหาก
ข้าวสารเหล่านั้น ให้แห้งแล้วฉันควรอยู่. ข้าวสารเหล่านั้นไม่ถึงการนับว่า
ขนมแห้ง (และ) ไม่ถึงการนับว่าภัตเลย. แต่ภัตที่เขาทำด้วยข้าวสารนึ่งแล้ว
เหล่านั้นอีก ห้าม (ภัต) ทีเดียว. ชนทั้งหลายทอดข้าวสารเหล่านั้นในเนยใส
และน้ำมัน เป็นต้น หรือทำเป็นขนม ไม่ห้าม (ภัต) ข้าวเม่าก็ดี ขนมแห้ง
และข้าวสวยที่ทำจากข้าวเม่าเหล่านั้น ก็ดี ไม่ห้าม (ภัต).
ขนมกุมมาส ที่เขาทำจากจำพวกข้าวเหนียว ชื่อว่า ขนมสด. ขนม
กุมมาสที่เขาทำจากวัตถุอื่น มีถั่วเขียวเป็นต้น ไม่ให้เกิดการห้าม (ภัต).
๑. ขุพพีศัพท์นี้ ไม่ทราบว่าอะไร ? จึงแปลทับศัพท์ไว้ ๒. ไม่รู้ว่าภัตชนิดไหน ?
ลักษณะ
คล้ายข้าวตุ๋นตากแห้ง เป็นเสบียงกรังเพื่อกินแก้หิว. - ผู้ชำระ.

507
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ เล่ม ๒ – หน้าที่ 508 (เล่ม 4)

ขนมแห้งที่เขาทำจากจำพวกข้าวสาลี ข้าวจ้าว และข้าวเหนียว ชื่อว่า
สัตตุ ชนทั้งหลายคั่วเมล็ดข้าวฟ่าง ลูกเดือย และหญ้ากับแก้แล้วตำเบาะ ๆ
โปรย (ฝัด) แกลบออกแล้วตำใหม่ให้ละเอียดเข้าทำให้เป็นแป้ง. ถ้าแม้น
วัตถุนั้นยังติดกันอยู่ เพราะยังสด ก็ถึงการสงเคราะห์เข้าเป็นขนมแห้งทีเดียว.
เขาบดข้าวสารจ้าวที่คั่วให้สุกกรอบถวาย. แป้ง แม้นั้นก็ถึงการสงเคราะห์เข้า
เป็นสัตตุ (ขนมแห้ง) เหมือนกัน.
ส่วนข้าวสารแห่งข้าวจ้าวที่เขาคั่วให้สุกเสมอกัน หรือแห่งข้าวกล้อง
(ที่ไม่ได้คั่ว ) หรือข้าว สารที่คั่วแล้วทั่วไป ไม่ห้าม (ภัต). แต่แป้งข้าวสาร
เหล่านั้น ห้าม (ภัต) ได้. แม้รำของข้าวจ้าวที่เขาคั่วให้เกรียมแล้ว ก็ห้าม
(ภัต) ได้. ส่วนรำแห่งข้าวสารที่เขาคั่วให้สุกเสมอกัน หรือสุกเพราะแดด ไม่
ห้าม (ภัต).
ข้าวตอกหรือข้าวสวย และขนมแห้งเป็นต้น ที่เขาทำจากข้าวตอกเหล่า
นั้น ย่อมไม่ห้าม (ภัต). แป้งที่คั่วแล้ว หรือของเคี้ยวล้วน ๆ ชนิดใดชนิด
หนึ่ง ไม่ห้าม (ภัต). แต่ของเคี้ยวที่บรรจุปลา เนื้อ (มีปลาเนื้ออยู่ข้างใน)
ก็ดี สตูงบหรือสตูก้อนไม่เข้าไฟ* (ก้อนขนมแห้งยังไม่อบ) ก็ดี ย่อมห้าม (ภัต)
ส่วนปลา เนื้อ ปรากฏชัดแล้วแล. แต่มีความแปลกกันดังต่อไปนี้ .
ถ้าแม้นเมื่อภิกษุกำลังดื่มยาคู ชาวบ้านถวายชิ้นปลา หรือชิ้นเนื้ออย่าง
ละ ๒ ชิ้น มีขนาดเท่าเมล็ดยาคูนั่นแหละ ในภาชนะเดียวกัน หรือในต่างภาชนะ
กัน, ถ้าภิกษุไม่ฉันชิ้นปลาเนื้อเหล่านั้น ห้ามโภชนะอย่างใดอย่างหนึ่งอื่น ซึ่ง
เพียงพอแก่การห้ามภัต ไม่ชื่อว่าห้าม (ภัต). จาก ๒ อย่างนั้น อย่างหนึ่ง
* สารัตถทีปนี ๓/๓๒๓ แก้ว่า สตฺตุโมทโกติ สตฺตุโย ปิณเฑตฺวา กโต อปกฺโก สตฺตุคโฬ
งบสตูดิบหรือสตูก้อนที่เขาปั้นข้าวสัตตุผลเป็นก้อนยังไม่เข้าไฟ ชื่อว่าสัตตุโมทกะ.

508
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ เล่ม ๒ – หน้าที่ 509 (เล่ม 4)

เธอฉันแล้ว อย่างหนึ่งยังอยู่ในมือ หรือในบาตร. ถ้าเธอห้ามมังสะอื่น ชื่อ
ว่าห้าม (ภัต). ทั้ง ๒ อย่างเธอฉันหมดแล้ว, ในปากแม้เท่าเมล็ดพันธุ์ผักกาด
ก็ไม่เหลือ. ถ้าแม้นเธอห้ามมังสะอื่น ไม่ชื่อว่าห้าม (ภัต).
ภิกษุกำลังฉันกัปปิยมังสะ ห้ามกัปปิยมังสะ ชื่อว่าห้าม (ภัต) กำลัง
ฉันกัปปิยมังสะ ห้ามอกัปปิยมังสะ ไม่ชื่อว่าห้าม (ภัต). เพราะเหตุไร ?
เพราะไม่ใช่วัตถุ. จริงอยู่ มังสะที่ภิกษุควรฉันได้เท่านั้น จึงเป็นเหตุห้ามภัต
แก่ภิกษุผู้ห้ามอยู่. แต่เมื่อภิกษุรู้อกัปปิยมังสะนี้ จึงห้ามเสียเพราะเป็นของไม่
ควร. ถึงไม่รู้ ก็ชื่อว่าห้ามสิ่งที่ตั้งอยู่ในฐานะที่ควรห้ามทีเดียว เพราะเหตุ
นั้น จึงไม่ชื่อว่าห้าม (ภัต).
แต่ถ้าภิกษุฉันอกัปปิยมังสะ ห้ามกัปปิยมังสะ ชื่อว่าห้าม (ภัต ) เพราะ
เหตุไร ? เพราะเป็นวัตถุ (แห่งการห้าม). จริงอยู่ มังสะที่ภิกษุนั้นห้ามนั้น
นั่นแหละ เป็นวัตถุ (ที่ตั้ง) แห่งการห้ามภัต. ส่วนอกัปปิยมังสะที่ภิกษุฉัน
ตั้งอยู่ในฐานที่ควรห้าม แม้ก็จริง, ถึงอย่างนั้น มังสะที่กำลังฉัน ก็ยังไม่ละ
ภาวะแห่งมังสะ เพราะเหตุนั้น จึงชื่อว่า ห้าม (ภัต). ฉันอกัปปิยมังสะ
ห้ามอกัปปิยมังสะ ไม่ชื่อว่าห้าม (ภัต) โดยนัยก่อนนั่นแล.
ฉันกัปปิยมังสะก็ดี อกัปปิยมังสะก็ดี ห้ามโภชนะทั้ง ๕ อย่างใด
อย่างหนึ่ง ซึ่งเป็นกัปปิยโภชนะ ชื่อว่าห้าม (ภัต). ห้ามอกัปปิยโภชนะ ซึ่ง
เกิดจากมิจฉาชีพมีกุลทูสกกรรม เวชกรรม การอวดอุตริมนุสธรรม และ
การยินดีรูปิยะเป็นต้น (และ) ที่เกิดจากการแสวงหาอันไม่สมควรที่พระพุทธเจ้า
ทรงรังเกียจ ไม่ชื่อว่าห้าม (ภัต).
วิมติ. แก้ทำนองเดียวกันว่า สตฺตุโมทโกติ สตฺตุํ เตเมตฺวา กโต อปกฺโก, สตุตฺํ ปน ปิสิตฺวา
ปิฏฐํ กตฺวา เตเมตฺวา ปูวํ กตฺวา ปจนฺตี, ตํ น ปวาเรติ. ขนมยังไม่สุกที่เขาชุบขนมแห้งให้
เปียกทำ ชื่อว่าสัตตุโมทกะ. ก็ชนทั้งหลายบดขนมแห้งให้เป็นแป้งแล้วชุบให้เปียกทอดเป็น
ขนม
ไม่ห้ามภัต - ผู้ชำระ.

509
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ เล่ม ๒ – หน้าที่ 510 (เล่ม 4)

แม้กำลังฉันกัปปิยโภชนะก็ดี อกัปปิยโภชนะก็ดี ห้ามกัปปิยโภชนะ
เสีย ชื่อว่าห้าม (ภัต). ห้ามอกัปปิยโภชนะ ไม่ชื่อว่าห้าม (ภัต), บัณฑิต
พึงทราบเหตุในทุก ๆ บทอย่างนี้ โดยนัยดังกล่าวแล้วนั่นแล.
[ว่าด้วยการฉันและการห้ามโภชนะ]
บัณฑิตครั้นทราบโภชนะที่ภิกษุฉัน ในคำว่า อสนํ เป็นต้น และ
โภชนะที่ทายกอยู่ในหัตถบาสน้อมถวาย เมื่อภิกษุห้าม จึงถึงการห้าม (ภัต)
โดยนัยดังกล่าวมาอย่างนี้แล้ว บัดนี้ เพื่อทราบอาการที่เป็นเหตุให้ถึง (การ
ห้ามภัต) พึงทราบวินิจฉัยดังต่อไปนี้
พึงทราบวินิจฉัยในคำว่า อสนํ โภชนํ นี้ก่อน :- ภิกษุใดกลืนกิน
ภัตเข้าไปแม้เมล็ดเดียว ภิกษุนั้น เมื่อบรรดาโภชนะทั้ง ๕ โภชนะแม้อย่าง-
หนึ่งมีอยู่ในบาตรูปากและมือ ที่ใดที่หนึ่ง ห้ามโภชนะทั้ง ๕ แม้อย่างหนึ่งอื่น
ก็ชื่อว่าห้าม (ภัต). ไม่มีโภชนะในที่ไหน ๆ มีบาตรเป็นต้น ปรากฏแต่เพียง
กลิ่นอามิส, ไม่ชื่อว่าห้าม (ภัต). ไม่มีโภชนะในปาก และในมือ แต่มีอยู่
ในบาตร ฝ่ายภิกษุไม่ประสงค์จะฉันที่อาสนะนั้น ประสงค์จะเข้าไปยังวิหาร
แล้วฉัน หรือประสงค์ถวายแก่ภิกษุอื่น ถ้าปฏิเสธโภชนะอย่างใดอย่างหนึ่งใน
ระหว่างนั้น ยังไม่จัดว่าห้าม (ภัต). เพราะเหตุไร ? เพราะความเป็นโภชนะ
ที่ฉันค้างอยู่ ขาดไป.
ในมหาปัจจรีกล่าวไว้ว่า แม้ภิกษุใดประสงค์จะไปฉันในที่อื่นกลืนภัต
ในปากแล้ว ถือเอาภัตส่วนที่เหลือเดินไปอยู่ ห้ามโภชนะอื่นในระหว่างทาง,
การห้ามภัตแม้ของภิกษุนั้น ก็ไม่มี.
ก็ถ้าว่า ภิกษุไม่ประสงค์จะกลืนกินโภชนะที่มีอยู่ แม้ในมือ หรือแม้
ในปากเหมือนในบาตร, และห้ามโภชนะอื่นในขณะนั้น ไม่ชื่อว่าห้าม (ภัต ).

510