หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ เล่ม ๒ – หน้าที่ 461 (เล่ม 4)

ทรงอนุญาตว่าดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ในคราวที่เดินทางไกล เราอนุญาต
ให้ฉันเป็นหมู่ได้.
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็แลพวกเธอพึงยกสิกขาบทนี้ขึ้นแสดงอย่างนี้
ว่าดังนี้
พระอนุบัญญัติ ๔
๘๑.๒ จ. เว้นไว้แต่สมัย เป็นปาจิตตีย์ ในเพราะฉันเป็นหมู่
นี้สมัยในเรื่องนั้น คือ คราวอาพาธ คราวที่เป็นฤดูถวายจีวร คราว
ที่ทำจีวร คราวที่เดินทางไกล นี้สมัยในเรื่องนั้น
ก็สิกขาบทนี้ ย่อมเป็นอันพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงบัญญัติแล้วแก่ภิกษุ
ทั้งหลาย ด้วยประการฉะนี้.
เรื่องทรงอนุญาติให้ฉันเป็นหมู่ในคราวเดินทางไกล จบ
ทรงอนุญาตให้ฉันเป็นหมู่ในคราวโดยสารเรือ
[๔๘๐] สมัยต่อมา ภิกษุทั้งหลายโดยสารเรือไปกับประชาชน ครั้งนั้น
ภิกษุพวกนั้นได้บอกประชาชนพวกนั้นว่า โปรดจอดเรือที่ฝั่งสักครู่หนึ่งเถิดจ้า
พวกฉันจักไปบิณฑบาต
ประชาชนพวกนั้น กล่าวนิมนต์อย่างนี้ว่า นิมนต์ฉันที่นี้แหละเจ้าข้า
ภิกษุทั้งหลายรังเกียจไม่รับนิมนต์ด้วยอ้างว่า การฉันเป็นหมู่พระผู้มี
พระภาคเจ้าทรงห้ามแล้ว แล้วกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาคเจ้า ๆ ทรง
อนุญาตว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ในคราวโดยสารเรือ เราอนุญาตใท้
ฉันเป็นหมู่ได้.
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็แลพวกเธอพึงยกสิกขาบทนี้ขึ้นแสดงอย่างนี้
ว่าดังนี้ :-

461
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ เล่ม ๒ – หน้าที่ 462 (เล่ม 4)

พระอนุบัญญัติ ๕
๘๑.๒ ฉ. เว้นไว้แต่สมัย เป็นปาจิตตีย์ ในเพราะฉัน เป็น
หมู่ นี้สมัยในเรื่องนั้น คือ คราวอาพาธ คราวที่เป็นฤดูถวายจีวร
คราวที่ทำจีวร คราวที่เดินทางไกล คราวที่โดยสารเรือไป นี้สมัยใน
เรื่องนั้น.
ก็สิกขาบทนี้ ย่อมเป็นอันพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงบัญญัติแล้วแก่ภิกษุ
ทั้งหลาย ด้วยประการฉะนี้.
เรื่องทรงอนุญาตให้ฉันเป็นหมู่ในคราวโดยสารเรือ จบ
ทรงอนุญาตให้ฉันเป็นหมู่ในคราวประชุมใหญ่
[๔๘๑] สมัยต่อมา ภิกษุทั้งหลายที่จำพรรษาในทิศทั้งหลาย เดินทาง
มายังพระนครราชคฤห์เพื่อเฝ้าเยี่ยมพระผู้มีพระภาคเจ้า ประชาชนเห็นภิกษุผู้มา
จากราชอาณาเขตต่าง ๆ จึงนิมนต์ฉันภัตตาหาร
ภิกษุทั้งหลายพากันรังเกียจไม่รับนิมนต์ด้วยอ้างว่า การฉันเป็นหมู่
พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงห้ามแล้ว แล้วกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาคเจ้า ๆ
ทรงอนุญาตว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ในคราวประชุมให้ เราอนุญาต
ให้ฉันเป็นหมู่ได้.
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็แลพวกเธอพึงยกสิกขาบทนี้ขึ้นแสดงอย่างนี้
ว่าดังนี้:-
พระอนุบัญญัติ ๖
๘๑.๒ ช. เว้นไว้แต่สมัย เป็นปาจิตตีย์ ในเพราะฉันเป็นหมู่
นี้สมัยในเรื่องนั้น คือ คราวอาพาธ คราวที่เป็นฤดูถวายจีวร คราวที่

462
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ เล่ม ๒ – หน้าที่ 463 (เล่ม 4)

ทำจีวร คราวที่เดินทางไกล คราวที่โดยสารเรือไป คราวประชุมใหญ่
นี้สมัยในเรื่องนั้น.
ก็สิกขาบทนี้ ย่อมเป็นอันพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงบัญญัติแล้วแก่ภิกษุ
ทั้งหลาย ด้วยประการฉะนี้.
เรื่องทรงอนุญาตให้ฉันเป็นหมู่ในคราวประชุมใหญ่ จบ
ทรงอนุญาตให้ฉันเป็นหมู่ในคราวภัตของสมณะ
[๔๘๒] สมัยต่อมา พระญาติร่วมสายโลหิตของพระเจ้าพิมพิสารจอม
เสนามาคธราชทรงผนวชอยู่ในสำนักอาชีวก คราวนั้นแล อาชีวกนั้นเข้าเฝ้า
พระเจ้าพิมพิสารจอมเสนามาคธราชถึงพระราชสำนัก ครั้นแล้วได้ถวายพระพร
ว่า ขอถวายพระพร อาตมภาพปรารถนาจะทำภัตตาหารเลี้ยงนักบวชที่ถือลัทธิ
ต่าง ๆ ท้าวเธอตรัสว่า พระคุณเจ้าผู้เจริญ ถ้าพระคุณเจ้านิมนต์ภิกษุสงฆ์มี
มีพระพุทธเจ้าเป็นมุขให้ฉันก่อน ฉันจึงจะจัดทำถวายอย่างนั้นได้
จึงอาชีวกนั้นส่งทูตไปในสำนักภิกษุทั้งหลาย อาราธนาว่า ขอภิกษุ
ทั้งหลาย จงรับภัตตาหารของข้าพเจ้า เพื่อฉันในวันพรุ่งนี้.
ภิกษุทั้งหลายรังเกียจไม่รับนิมนต์ด้วยอ้างว่า การฉันเป็นหมู่ พระผู้มี-
พระภาคเจ้าทรงห้ามแล้ว.
จึงอาชีวกนั้นเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้าถึงพุทธสำนัก ครั้นแล้วได้
กราบทูลปราศรัยกับพระผู้มีพระภาคเจ้า ครั้นผ่านการปราศรัยพอให้เป็นที่ระลึก
ถึงกันไปแล้วได้ยืน ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง กราบทูลว่า แม้พระโคดมผู้เจริญก็
เป็นบรรพชิต แม้ข้าพเจ้าก็เป็นบรรพชิต บรรพชิตควรรับอาหารของบรรพชิต
ขอพระโคดมผู้เจริญ จงทรงรับภัตตาหารของข้าพเจ้าเพื่อเสวยในวันพรุ่งนี้
พร้อมด้วยภิกษุสงฆ์เถิด พระพุทธเจ้าข้า.

463
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ เล่ม ๒ – หน้าที่ 464 (เล่ม 4)

พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงรับนิมนต์โดยอาการดุษณี ครั้นอาชีวกนั้น
ทราบการทรงรับนิมนต์ของพระผู้มีพระภาคเจ้าแล้ว กลับไป
ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงทำธรรมีกถา ในเพราะเหตุเป็น
เค้ามูลนั้น ในเพราะเหตุแรกเกิดนั้น แล้วรับสั่งกะภิกษุทั้งหลายว่า ดูก่อนภิกษุ
ทั้งหลาย ในคราวภัตของสมณะ เราอนุญาตให้ฉันเป็นหมู่ได้.
ดูก่อนภิกษุ ทั้งหลาย ก็แลพวกเธอพึงยกสิกขาบทนี้ขึ้นแสดงอย่างนี้ ว่า
ดังนี้:-
พระอนุบัญญัติ ๗
๘๑.๒ ญ. เว้นไว้แต่สมัยเป็นปาจิตตีย์ ในเฉพาะฉันเป็น
หมู่ นี้สมัยในเรื่องนั้น คือ คราวอาพาธ คราวที่เป็นฤดูถวายจีวร
คราวที่ทำจีวร คราวที่เดินทางไกล คราวที่โดยสารเรือไป คราว
ประชุมใหญ่ คราวภัตของสมณะ นี้สมัยในเรื่องนั้น.
ก็สิกขาบทนี้ ย่อมเป็นอันพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงบัญญัติแล้วแก่ภิกษุ
ทั้งหลาย ด้วยประการฉะนี้.
เรื่องทรงอนุญาตให้ฉันเป็นหมู่ในคราวภัตของสมณะ จบ
สิกขาบทวิภังค์
[๔๘๓] ที่ชื่อว่า ฉันเป็นหมู่ คือ คราวที่มีภิกษุ ๔ รูปอันเขา
นิมนต์ด้วยโภชนะ ๕ อย่างใดอย่างหนึ่ง แล้วฉัน ในชื่อว่าฉันเป็นหมู่.
บทว่า เว้นไว้แต่สมัย คือ ยกเว้นสมัย
ที่ชื่อว่า คราวอาพาธ คือ โดยที่สุดแม้เท้าแตก ภิกษุคิดว่าเป็น
คราวอาพาธแล้วฉันได้

464
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ เล่ม ๒ – หน้าที่ 465 (เล่ม 4)

ที่ชื่อว่า คราวที่เป็นฤดูถวายจีวร คือ เมื่อกฐินยังไม่ได้กราน
กำหนดท้ายฤดูฝน ๑ เดือน เมื่อกฐินกรานแล้ว ๕ เดือน ภิกษุคิดว่าเป็นคราว
ที่เป็นฤดูถวายจีวร แล้วฉันได้.
ที่ชื่อว่า คราวที่ทำจีวร คือ เมื่อภิกษุกำลังทำจีวรกันอยู่ ภิกษุคิด
ว่าเป็นคราวที่ทำจีวร แล้วฉันได้
ที่ชื่อว่า คราวเดินทางไกล คือ ภิกษุคิดว่า จักเดินทางไปถึงกึ่ง
โยชน์ แล้วฉัน ได้ เมื่อจะไปก็ฉันได้ มาถึงแล้วก็ฉันได้.
ที่ชื่อว่า คราวโดยสารเรือไป คือ ภิกษุคิดว่า เราจักโดยสารเรือ
ไป แล้วฉันได้ เมื่อจะโดยสารไปก็ฉันได้ โดยสารกลับมาแล้วก็ฉันได้.
ที่ชื่อว่า คราวประชุมใหญ่ คือ คราวที่มีภิกษุ ๒ - ๓ รูปเที่ยว
บิณฑบาตพอเลี้ยงกัน แต่เมื่อมีรูปที่ ๔ มารวมด้วย ไม่พอเลี้ยงกัน ภิกษุคิด
ว่าเป็นคราวประชุมใหญ่ แล้วฉันได้.
ที่ชื่อว่า คราวภัตของสมณะ คือ คราวที่มีผู้ใดผู้หนึ่งซึ่งนับเนื่อง
ว่าเป็นนักบวชทำภัตตาหารถวาย ภิกษุคิดว่าเป็นคราวภัตของสมณะ แล้วฉันได้.
นอกจากสมัย ภิกษุรับว่า จักฉัน ต้องอาบัติทุกกฏ กลืนกิน ต้อง
อาบัติปาจิตตีย์ ทุก ๆ คำกลืน.
บทภาชนีย์
ติกปาจิตตีย์
[๔๘๔] ฉัน เป็นหมู่ ภิกษุสำคัญว่าฉันเป็นหมู่ เว้นไว้แต่สมัย ฉัน
ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
ฉันเป็นหมู่ ภิกษุสงสัย เว้นไว้แต่สมัย ฉัน ต้องอาบัติปาจิตตีย์.

465
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ เล่ม ๒ – หน้าที่ 466 (เล่ม 4)

ฉันเป็นหมู่ ภิกษุสำคัญว่ามิใช่ฉันเป็นหมู่ เว้นไว้แต่สมัย ฉัน ต้อง
อาบัติปาจิตตีย์.
ทุกกะทุกกฏ
มิใช่ฉัน เป็นหมู่ ภิกษุสำคัญว่าฉันเป็นหมู่ . . .ต้องอาบัติทุกกฏ.
มิใช่ฉันเป็นหมู่ ภิกษุสงสัย. . .ต้องอาบัติทุกกฏ.
ไม่ต้องอาบัติ
มิใช่ฉัน เป็นหมู่ ภิกษุสำคัญว่ามิใช่ฉันเป็นหมู่ ไม่ต้องอาบัติ
อนาปัตติวาร
[๔๘๕] ภิกษุฉันในสมัย ๑ ภิกษุ ๒-๓ รูปฉันรวมกัน ๑ ภิกษุหลาย
รูปเที่ยวบิณฑบาตแล้วประชุมฉันแห่งเดียวกัน ๑ ภัตเขาถวายเป็นนิตย์ ๑ ภัต
เข้าถวายตามสลาก ๑ ภัตเขาถวายในปักข์ ๑ ภัตเขาถวายในวันอุโบสถ ๑ ภัต
เขาถวายในวันปาฎิบท ๑ ภิกษุฉันอาหารทุกชนิด เว้นโภชนะ ห้า ๑ ภิกษุ-
วิกลจริต ๑ ภิกษุอาทิกัมมิกะ ๑ ไม่ต้องอาบัติแล.
โภชนวรรค สิกขาบทที่ ๒ จบ

466
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ เล่ม ๒ – หน้าที่ 467 (เล่ม 4)

โภชนวรรค คณโภชนสิกขาบทที่ ๒
วินิจฉัยในสิกขาบทที่ ๒ พึงทราบดังนี้
[แก้อรรถกถาปฐมบัญญัติ เรื่องพระเทวทัต ]
บทว่า ปริหีนลาภสกฺกาโร มีความว่า ได้ยินว่า พระเทวทัตนั้น
แนะนำให้พระเจ้าอชาตศัตรูปลงพระชนม์พระราชาก็ดี สั่งนายขมังธนูไป (เพื่อ
ปลงพระชนม์พระตถาคต) ก็ดี ทำโลหิตุปบาทก็ดี ได้เป็นผู้ลี้ลับปกปิด, แต่
ในเวลาปล่อยช้างธนบาลก์ไปในกลางวันแสก ๆ นั่นแล ได้เกิดเปิดเผยขึ้น.
คืออย่างไร ? คือ เพราะว่า เมื่อเกิดพูดกันขึ้นว่า พระเทวทัต
ปล่อยช้างไป (เพื่อปลงพระชนม์พระตถาคต) ก็ได้เป็นผู้ปรากฏชัดว่า มิใช่
แต่ปล่อยช้างอย่างเดียว แม้พระราชา พระเทวทัตก็ให้ปลงพระชนม์ ถึงพวก
นายขมังธนูก็ส่งไป แม้ศิลาก็กลิ้ง, พระเทวทัตเป็นคนลามก. และเมื่อมีผู้ถาม
ว่า พระเทวทัตได้ทำกรรมนี้ร่วมกับใคร ? ชาวเมืองกล่าวว่า กับพระเจ้าอชาต-
ศัตรู. ในลำดับนั้น ชาวเมืองก็ลุกฮือขึ้น พูดว่า ไฉนหนอ พระราชาจึง
เที่ยวสมคบโจรผู้เป็นเสี้ยนหนามต่อพระศาสนาเห็นปานนี้เล่า ? พระราชาทรง
ทราบความกำเริบของชาวเมือง จึงทรงขับไสไล่ส่งพระเทวทัตไปเสีย และตั้ง
แต่นั้นมาก็ทรงตัดสำรับ ๕๐๐ สำรับ แห่งพระเทวทัตนั้นเสีย. แม้ที่บำรุงพระ-
เทวทัตนั้น ก็มิได้เสด็จไป, ถึงชาวบ้านพวกอื่นก็ไม่สำคัญของอะไร ๆ ที่จะ
พึงถวาย หรือพึงทำแก่พระเทวทัตนั้น . ด้วยเหตุนั้น พระธรรมสังคาหกาจารย์
จึงกล่าวว่า มีลาภและสักการะเสื่อมสิ้นแล้ว.
ข้อว่า กุเลสุ วิญฺญาเปตฺวา วิญฺญาปตฺวา ภุญฺชติ มีความว่า
พระเทวทัตนั้น ดำริว่า คณะของเราอย่าได้แตกกันเลย เมื่อจะเลี้ยงบริษัท

467
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ เล่ม ๒ – หน้าที่ 468 (เล่ม 4)

จึงได้พร้อมด้วยบริษัทเที่ยวขออาหารฉัน อยู่ในตระกูลทั้งหลายอย่างนี้ว่า ท่าน
จงถวายภัตแก่ภิกษุ ๑ รูปท่านจงถวายแก่ภิกษุ ๒ รูป ดังนี้.
คำว่า จีวรํ ปริตฺตํ อุปฺปชฺชติ มีความว่า ชาวบ้านทั้งหลายไม่
ถวายจีวรแก่ภิกษุผู้ไม่รับภัตตาหาร ; เพราะเหตุนั้น จีวรจึงเกิดขึ้นเล็กน้อย.
ข้อว่า จีวรการเก ภิกขู ภตฺเตน นิมนฺเตนฺติ มีความว่า พวก
ชาวบ้านเห็นภิกษุทั้งหลายผู้เที่ยวไปบิณฑบาต ในบ้าน แล้วทำจีวรให้เสร็จช้า
จึงนิมนต์ด้วยความประสงค์บุญว่า ภิกษุทั้งหลายจักยังจีวรให้เสร็จแล้วใช้สอย
ด้วยอาการอย่างนั้น
บทว่า นานาเวรชฺชเก ได้แก่ ผู้มาจากรัฐต่าง ๆ คือ จากราช-
อาณาจักรอื่น. ปาฐะว่า นานาเวรญฺชเก ก็มี. เนื้อความก็อย่างนี้เหมือนกัน.
[อรรถาธิบายว่าด้วยการฉันเป็นคณะ]
บทว่า คณโภชเน คือ ในเพราะการฉันของหมู่ ( ในเพราะการ
ฉันเป็นหมู่) ก็ในสิกขาบทนี้ ทรงประสงค์เอาภิกษุตั้งแต่ ๔ รูปขึ้นไป ชื่อว่า
ว่า คณะ (หมู่). พระผู้มีพระภาคเจ้า เมื่อจะทรงแสดงกำหนดด้วยคำนั้นนั่น
แล จึงตรัสว่า ยตฺถ จตฺตาโร ภิกฺขู ฯปฯ เอตํ คณโภชนํ นาม
ดังนี้.
ก็คณโภชนะนี้นั้น ย่อมเป็นไปโดยอาการ ๒ อย่าง คือ โดยการ.
นิมนต์อย่าง โดยวิญญัติอย่าง ๑. ย่อมเป็นไปโดยการนิมนต์อย่างไร ? คือ
ทายกเข้าไปหาภิกษุ ๔ รูป แล้วนิมนต์ระบุชื่อโภชนะทั้ง ๕ โดยไวพจน์อย่าง
ใดอย่างหนึ่ง หรือโดยภาษาอื่น อย่างนี้ว่า ท่านผู้เจริญ ผมนิมนต์ท่านด้วย
ข้าวสุก, ขอท่านจงถือเอาข้าวสุกของผม, จงหวัง จงตรวจดู จงต้อนรับ
ซึ่งข้าวสุกของผม ดังนี้. ภิกษุตั้งแต่ ๔ รูปขึ้นไป รับนิมนต์รวมกันอย่างนี้

468
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ เล่ม ๒ – หน้าที่ 469 (เล่ม 4)

ไปพร้อมกันเพื่อฉันในวันนี้ หรือเพื่อฉันในวันพรุ่งนี้ ด้วยอำนาจแห่งเวลา
ที่เขากำหนดไว้รับรวมกัน ฉันรวมกัน จัดเป็นคณโภชนะ, เป็นอาบัติแก่ภิกษุ
ทั้งหมด.
ภิกษุทั้งหลายรับนิมนต์รวมกัน ต่างคนต่างฉัน ก็เป็นอาบัติเหมือน
กัน. จริงอยู่ การรับประเคนนั่นแหละเป็นประมาณในสิกขาบทนี้. ภิกษุทั้ง-
หลายรับนิมนต์รวมกัน จะไปพร้อมกัน หรือไปต่างกันก็ตาม, รับประเคนต่าง
กัน จะฉันรวมกัน หรือฉันต่างกันก็ตาม ไม่เป็นอาบัติ.
ภิกษุทั้งหลายไปยังบริเวณ หรือวิหาร ๔ แห่ง รับนิมนต์ต่างกันหรือ
บรรดาภิกษุผู้ยืนอยู่ในที่แห่งเดียวกันนั่นแหละ รับนิมนต์ต่างกัน แม้อย่างนี้
คือ ลูกชายนิมนต์ ๑ รูป บิดานิมนต์ ๑ รูป จะไปพร้อมกัน หรือไปต่างกัน
ก็ตาม, จะฉันพร้อมกัน หรือฉันต่างกันก็ตาม ถ้ารับประเคนรวมกัน จัดเป็น
คณโภชนะ, เป็นอาบัติแก่ภิกษุทั้งหมด. ย่อมเป็นไปโดยการนิมนต์อย่างนั้นก่อน.
ย่อมเป็นไปโดยวิญญัติอย่างไร คือ ภิกษุ ๔ รูป ยืน หรือนั่งอยู่
ด้วยกัน เห็นอุบายสกแล้วออกปากขอว่า ท่านจงถวายภัตตาหารแก่พวกเรา ทั้ง
๔ รูป ดังนี้ ก็ดี ต่างคนต่างเห็นแล้วออกปากขอรวมกัน หรือขอต่างกัน อย่าง
นี้ว่า ท่านจงถวายแก่เรา, ท่านจงถวายแก่เรา ดังนี้ก็ดี จะไปพร้อมกัน หรือ
ไปต่างกันก็ตาม, แม้รับประเคนภัตแล้ว จะฉันร่วมกันหรือฉันต่างกันก็ตาม,
ถ้ารับประเคนรวมกัน, จัดเป็นคณโภชนะ, เป็นอาบัติแก่ภิกษุทั้งหมด, ย่อม
เป็นไปโดยวิญญัติอย่างนี้,
[ว่าด้วยสมัยที่ทรงอนุญาตให้ฉันคณโภชนะได้]
สองบทว่า ปาทาปิ ผาลิตา มีความว่า (เท้าทั้ง ๒) แตกโดย
อาการที่เนื้อปรากฏให้เห็นข้างหน้าหนังใหญ่ เพียงถูกทรายหรือกรวดกระทบ

469
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ เล่ม ๒ – หน้าที่ 470 (เล่ม 4)

ก็ก่อให้เกิดทุกข์ขึ้น ไม่สามารถจะไปเที่ยวบิณฑบาตภายในบ้านได้. ในอาพาธ
เช่นนั้น ควรฉันได้ด้วยคิดว่า เป็นคราวอาพาธ (แต่) ไม่ควรทำให้เป็น
กัปปิยะด้วยเลศ.
สองบทว่า จีวเร กริยมาเน มีความว่า ในคราวที่พวกภิกษุได้ผ้า
และด้ายแล้วกระทำจีวร. แท้จริง ชื่อว่า จีวรการสมัย แผนกหนึ่งไม่มี. เพราะ
เหตุนั้น ภิกษุใดกระทำการอย่างใดอย่างหนึ่งที่ควรทำในจีวรนั้น สมดังที่ท่าน
กล่าวไว้ในมหาปัจจรีว่า ชั้นที่สุดภิกษุผู้ร้อยเข็ม (ผู้สนเข็ม) ดังนี้ก็มี, ภิกษุ
นั้นควรฉันได้ด้วยคิดว่า เป็นจีวรการสมัย.
ส่วนในกุรุนทีท่านกล่าวไว้โดยพิสดารทีเดียวว่า ภิกษุใด กะจีวร ตัด
จีวร ด้นด้ายเนา ทาบผ้าเพาะ เย็บล้มตะเข็บ ติดผ้าดาม ตัดอนุวาท ฟัน
ด้าย เย็บสอยตะเข็บในจีวรนั้น กรอด้าย ม้วนด้าย (ควบด้าย) ลับมีดเล็ก
ทำเครื่องปั่นด้าย, ภิกษุแม้ทั้งหมดนี้ ท่านเรียกว่า ทำจีวรทั้งนั้น, แต่ภิกษุ
ใดนั่งใกล้ ๆ กล่าวชาดกก็ดี ธรรมบทก็ดี ภิกษุนี้ไม่ใช่ผู้ทำจีวร, ยกเว้นภิกษุ
นี้เสีย ไม่เป็นอาบัติแก่ภิกษุที่เหลือ เพราะคณโภชนะ.
บทว่า อฑฺฒโยชนํ ได้แก่ ผู้ประสงค์จะเดินทางไกลแม้ประมาณ
เท่านี้ . ก็ภิกษุใดประสงค์จะเดินทางไกล, ในภิกษุนั้น ไม่มีถ้อยคำที่จะต้อง
กล่าวเลย.
บทว่า คจฺฉนฺเตน มีความว่า ภิกษุผู้เดินทางไกล จะฉันแม้ในที่
คาวุตหนึ่งภายในกึ่งโยชน์ ก็ควร.
สองบทว่า คเตน ภุญฺชิตพฺพํ คือ ผู้ไปแล้วพึงฉันได้วันหนึ่ง.
แม้ในเวลาโดยสารเรือไป ก็นัยนี้นั่นแล. ส่วนความแปลกกันดังต่อไปนี้ :-
ในมหาปัจจรีกล่าวว่า ภิกษุผู้โดยสารเรือไป แม้ถึงที่อันตนปรารถนาแล้ว พึง
ฉันได้ตลอดเวลาที่ตนยังไม่ขึ้น (จากเรือ).

470