หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ เล่ม ๒ – หน้าที่ 451 (เล่ม 4)

แม้ต่อนาน ๆ พระเถระจึงได้มา ครั้นท่านพระสูตรีบุตรฉันอาหารแล้ว บังเกิด
อาพาธหนัก ไม่สามารถจะหลีกไปจากโรงทานนั้นได้ ครั้นวันที่ ๒ ประชาชน
พวกนั้น ได้กราบเรียนท่านว่า นิมนต์ฉันเถิด เจ้าข้า จึงท่านพระสูตรีบุตร
รังเกียจอยู่ว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงห้ามการอยู่ฉัน อาหารในโรงทานเป็นประจำ
ดังนี้ จึงไม่รับนิมนต์ ท่านได้ยอมอดอาหารแล้ว ครั้นท่านเดินทางไปถึง
พระนครสาวัตถีแล้ว ได้แจ้งเรื่องนั้นแก่ภิกษุทั้งหลาย ๆ ได้กราบทูลเนื้อความ
นั้นแด่พระผู้มีพระภาคเจ้า.
ทรงอนุญาตให้ภิกษุอาพาธฉันอาหารในโรงทานได้
ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงทำธรรมีกถา ในเพราะเหตุเป็น
เค้ามูลนั้น ในเพราะเหตุแรกเกิดนั้น แล้วรับสั่งกะภิกษุทั้งหลายว่า ดูก่อนภิกษุ
ทั้งหลาย เราอนุญาตให้ภิกษุผู้อาพาธ อยู่ฉันอาหารในโรงทานเป็น
ประจำได้.
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็แลพวกเธอพึงยกสิกขาบทนี้ขึ้นแสดงอย่างนั้น
ว่าดังนี้
พระอนุบัญญัติ
๘๐.๑ ข. ภิกษุมิใช่ผู้อาพาธ พึงฉันอาหารในโรงทานได้
ครั้งหนึ่ง ถ้าฉันยิ่งกว่านั้น เป็นปาจิตตีย์.
เรื่องพระสารีบุตร จบ
สิกขาบทวิภังค์
[๔๗๒] ที่ชื่อว่า มิใช่ผู้อาพาธ คือ สามารถจะหลีกไปจากโรงทาน
นั้นได้.

451
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ เล่ม ๒ – หน้าที่ 452 (เล่ม 4)

ที่ชื่อว่า ผู้อาพาธ คือ ไม่สามารถจะหลีกไปจากโรงทานนั้นได้.
ที่ชื่อว่า อาหารในโรงทาน ได้แก่ โภชนะ ๕ อย่างใดอย่างหนึ่ง
ซึ่งเข้าจัดตั้งไว้ ณ ศาลา ปะรำ โคนไม้หรือที่กลางแจ้งมิได้จำเพาะใคร มี
พอแก่ความต้องการ
ภิกษุมิใช่ผู้อาพาธฉันได้ครั้งหนึ่ง หากฉันเกินกว่านั้น รับประเคน
ด้วยตั้งใจว่าจักฉัน ต้องอาบัติทุกกฏ กลืนกิน ต้องอาบัติปาจิตตีย์ ทุก คำกลืน.
บทภาชนีย์
ติกปาจิตตีย์
[๔๗๓] มิใช่ผู้อาพาธ ภิกษุสำคัญว่ามิใช่ผู้อาพาธ ฉันอาหารในโรง
ทานยิ่งกว่านั้น ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
มิใช่ผู้อาพาธ ภิกษุสงสัย ฉันอาหารในโรงทาน ยิ่งกว่านั้น ต้อง
อาบัติปาจิตตีย์.
มิใช่ผู้อาพาธ ภิกษุสำคัญว่าผู้อาพาธ ฉันอาหารในโรงทาน ยิ่งกว่า
นั้น ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
ทุกกะทุกกฏ
ผู้อาพาธ ภิกษุสำคัญว่ามิใช่ผู้อาพาธ. . . ต้องอาบัติทุกกฏ.
ผู้อาพาธ ภิกษุสงสัย. . . ต้องอาบัติทุกกฏ
ไม่ต้องอาบัติ
ผู้อาพาธ ภิกษุสำคัญว่าผู้อาพาธ. . . ไม่ต้องอาบัติ.

452
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ เล่ม ๒ – หน้าที่ 453 (เล่ม 4)

อนาปัตติวาร
[๔๗๔] ภิกษุอาพาธ ๑ ภิกษุไม่อาพาธฉันครั้งเดียว ๑ ภิกษุเดินทาง
ไปหรือเดินทางกลับมาแวะฉัน ๑ เจ้าของนิมนต์ให้ฉัน ๑ ภิกษุฉันอาหารที่เขา
จัดไว้จำเพาะ ๑ ภิกษุฉันอาหารที่เขามิได้จัดไว้มากมาย ๑ ภิกษุฉันอาหารทุกชนิด
เว้นโภชนะห้า ๑ ภิกษุวิกลจริต ๑ ภิกษุอาทิกัมมิกะ ๑ ไม่ต้องอาบัติแล.
โภชนวรรค สิกขาบทที่ ๑ จบ
ปาจิตตีย์โภชนวรรคที่ ๔
อาวสถปิณฑสิกขาบทที่ ๑
พึงทราบวินิจฉัย ในสิกขาบทที่ ๑ แห่งโภชนวรรคดังต่อไปนี้
[ว่าด้วยการฉันอาหารในโรงทาน]
ก้อนข้าว (อาหาร) ในโรงทาน ชื่อว่า อาวสถปิณฑะ. อธิบายว่า
อาหารที่เขาสร้างโรงทาน กั้นรั้วโดยรอบ มีกำหนดห้องและหน้ามุขไว้มากมาย
จัดตั้งเตียงและตั่งไว้ตามสมควร แก่พวกคนเดินทาง คนไข้ หญิงมีครรภ์
และบรรพชิต แล้วจัดแจงไว้ในโรงทานนั้น เพราะเป็นผู้มีความต้องการบุญ,
คือ วัตถุทุกอย่าง มีข้าวต้ม ข้าวสวย และเภสัชเป็นต้น เป็นของที่เขาจัดตั้งไว้
เพื่อต้องการให้ทานแก่พวกคนเดินทางเป็นต้นนั้น ๆ.
บทว่า ภิยฺโยปิ คือ แม้พรุ่งนี้.
บทว่า อปสกฺกนฺติ คือ ย่อมหลีกไป.

453
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ เล่ม ๒ – หน้าที่ 454 (เล่ม 4)

สองบทว่า มนุสฺสา อุชฺฌายนฺติ มีความว่า พวกชาวบ้านไม่เห็น
พวกเดียรถีย์ จึงถามว่า พวกเดียรถีย์ไปไหน ? ได้ฟังว่าพวกเดียรถีย์เห็นภิกษุ
ฉัพพัคคีย์เหล่านั้นหลีกไปแล้ว จึงพากันยกโทษ.
บทว่า กุกฺกุจายนฺโต มีความว่า กระทำความรังเกียจ คือ ให้
เกิดความสำคัญว่าไม่ควร.
หลายบทว่า สกฺโกติ ตมฺหา อาวสถา ปกฺกมิตุํ มีความว่าย่อม
อาจเพื่อจะไปได้กึ่งโยชน์ หรือโยชน์หนึ่ง.
บทว่า น สกฺโกติ คือ ย่อมไม่อาจเพื่อจะไปตลอดที่ประมาณเท่า
นี้นั่น แหละ
บทว่า อนุทฺทิสฺส มีความว่า เป็นของอันเขาจัดตั้งไว้เพื่อคนทุก
จำพวก ไม่เจาะจงลัทธิอย่างนี้ว่า แก่เจ้าลัทธิพวกนี้เท่านั้น หรือว่าแก่พวกนัก
บวชมีประมาณเท่านี้เท่านั้น.
บทว่า ยาวทตฺโถ มีความว่า เป็นของที่เขาจัดตั้งไว้มีพอแก่ความ
ต้องการ ไม่จำกัดแม้โภชนะว่า เพียงเท่านี้.
บทว่า สกึ ภุญฺชิตพฺพํ คือ พึงฉันได้วันเดียว. ตั้งแต่วันที่ ๒
ไป เป็นทุกกฏในการรับประเคน เป็นปาจิตตีย์ ทุก ๆ คำกลืน.
ส่วนวินิจฉัยในสิกขาบทนี้ ดังต่อไปนี้. โภชนะที่ตระกูลเดียวหรือ
ตระกูลต่าง ๆ รวมกันจัดไว้ ในสถานที่แห่งเดียว หรือในสถานที่ต่าง ๆ กัน
ก็ดี ในสถานที่ไม่แน่นอนอย่างนั้น คือ วันนี้ ที่ ๑ พรุ่งนี้ ที่ ๑ ก็ดี. ภิกษุฉัน
วันหนึ่งในที่แห่งหนึ่งแล้ว ในวันที่ ๒ จะฉันในที่นั้น หรือในที่อื่น ไม่ควร.
แต่โภชนะที่ตระกูลต่าง ๆ จัดไว้ในที่ต่าง ๆ กัน, ภิกษุฉันวันหนึ่งในที่หนึ่ง

454
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ เล่ม ๒ – หน้าที่ 455 (เล่ม 4)

แล้ว ในวันที่ ๒ จะฉันในที่อื่นควรอยู่. ในมหาปัจจรีกล่าวว่า ก็ภิกษุฉันหมด
ลำดับแล้วจะเริ่มตั้งต้นไปใหม่ไม่ควร ดังนี้. แม้ในคณะเดียวกัน ต่างคณะกัน
บ้านเดียวกัน และต่างบ้านกัน ก็นัยนี้นั่นและ ส่วนภัตตาหารใด ที่ตระกูล
เดียวจัด หรือตระกูลต่าง ๆ รวมกันจัดไว้ ขาดระยะไปในระหว่างเพราะไม่มี
ข้าวสารเป็นต้น, แม้ภัตตาหารนั้น ก็ไม่ควรฉัน. ท่านกล่าวไว้ในมหาปัจจรี
ว่า ก็ถ้าว่าตระกูลทั้งหลายตัดขาดว่า พวกเราจักไม่อาจให้ เมื่อเกิดน้ำใจงาม
ขึ้น จึงเริ่มให้ใหม่, จะกลับฉันอีกวันหนึ่ง ๑ ครั้งก็ได้
สองบทว่า อนาปตฺติ คิลานสฺส ได้แก่ ไม่เป็นอาบัติแก่ภิกษุ
อาพาธผู้พักฉันอยู่.
บทว่า คจฺฉนฺโต วา มีความว่า ภิกษุใด เมื่อไปฉันวันหนึ่งใน
ระหว่างทาง, และในที่ไปถึงแล้วฉันอีกวันหนึ่ง ไม่เป็นอาบัติแม้แก่ภิกษุนั้น.
แม้ในภิกษุผู้มา ก็นัยนี้แล. จริงอยู่ ภิกษุผู้ไปแล้วกลับมา ย่อมได้เพื่อจะฉัน
ในระหว่างทางวันหนึ่ง และในขากลับอีกวันหนึ่ง. เมื่อภิกษุคิดว่า จักไป
ฉันแล้วออกไป แม่น้ำขึ้นเต็ม หรือว่ามีภัยคือโจรเป็นต้น, เธอกลับมาแล้ว
ทราบว่าปลอดภัยแล้วไป ย่อมได้เพื่อจะฉันอีกวันหนึ่ง, คำทั้งหมดดังว่ามานี้
ท่านกล่าวไว้ในมหาปัจจรีเป็นต้น.
ข้อว่า อุทฺทิสฺส ปญฺญตฺโต โหติ มีความว่า เป็นของที่เขาจัด
ไว้จำเพาะ เพื่อประโยชน์แก่ภิกษุทั้งหลายเท่านั้น .
บทว่า น ยาวทตฺโถ มีความว่า มิใช่เป็นของที่เขาจัดไว้เพียงพอ
แก่ความต้องการ คือ มีเพียงเล็ก ๆ น้อย ๆ, จะฉันโภชนะ แม้เช่นนั้นเป็น
นิตย์ก็ควร.

455
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ เล่ม ๒ – หน้าที่ 456 (เล่ม 4)

หลายบทว่า ปญฺจ โภชนานิ ฐเปตฺวา สพฺพตฺถ ได้แก่
ไม่เป็นอาบัติในของทุกชนิด เช่น ยาคู ของควรเคี้ยว และผลไม้น้อยใหญ่
เป็นต้น, จริงอยู่ ภิกษุจะฉันโภชนะมียาคูเป็นต้นแม้เป็นนิตย์ก็ควร. บทที่เหลือ
ตื้นทั้งนั้น.
สิกขาบทนี้ มีสมุฏฐานดุจเอฬกโลมสิกขาบท เกิดขึ้นทางกาย ๑
ทางกายกับจิต ๑ เป็นกิริยา โนสัญญาวิโมกข์ อจิตตกะ ปัณณัตติวัชชะ
กายกรรม มีจิต ๓ มีเวทนา ๓ ดังนี้แล
อาวสถปิณฑสิกขาบทที่ ๑ จบ

456
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ เล่ม ๒ – หน้าที่ 457 (เล่ม 4)

โภชนวรรคสิกขาบทที่ ๒
เรื่องพระเทวทัต
[๔๗๕] โดยสมัยนั้น พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าประทับอยู่ ณ พระ-
เวฬุวันวิหาร อันเป็นสถานที่พระราชทานเหยื่อแก่กระแต เขตพระนครราชคฤห์
ครั้งนั้น พระเทวทัตเสื่อมจากลาภและสักการะ พร้อมด้วยบริษัทเที่ยวขออาหาร
ในตระกูลทั้งหลายมาฉัน ประชาชนเพ่งโทษติเตียนโพนทะนาว่า ไฉนพระสมณะ
เชื้อสายพระศากยบุตรจึงได้เที่ยวขออาหารในตระกูลทั้งหลายมาฉันเล่า โภชนะ.
ที่ดีใครจะไม่พอใจ อาหารที่อร่อยใครจะไม่ชอบใจ
ภิกษุทั้งหลายได้ยินประชาชนพวกนั้น เพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาอยู่
บรรดาที่เป็นผู้มักน้อย. . .ต่างก็เพ่งโทษติเตียนโพนทะนาว่า ไฉนพระเทวทัต
จึงได้พร้อมด้วยบริษัทเที่ยวขออาหารในตระกูลทั้งหลายมาฉันเล่า แล้วกราบทูล
เรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาคเจ้า . . .
ทรงสอบถาม
พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงสอบถามพระเทวทัตว่า ดูก่อนเทวทัต ข่าวว่า
เธอพร้อมด้วยบริษัท เที่ยวขออาหารในตระกูลทั้งหลายมาฉัน จริงหรือ.
พระเทวทัตทูลรับ ว่า จริง พระพุทธเจ้าข้า.
ทรงติเตียนแล้วบัญญัติสิกขาบท
พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าทรงติเตียนว่า ดูก่อนโมฆบุรุษ ไฉนเธอจึง
ได้พร้อมด้วยบริษัทเที่ยวขออาหารในตระกูลทั้งหลายมาฉันเล่า

457
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ เล่ม ๒ – หน้าที่ 458 (เล่ม 4)

การกระทำของเธอนั่น ไม่เป็นไปเพื่อความเลื่อมใสของชุมชนที่ยังไม่
เลื่อมใส หรือเพื่อความเลื่อมใสยิ่งของชุมชนที่เลื่อมใสแล้ว. . .
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็แลพวกเธอพึงยกสิกขาบทนี้ขึ้นแสดงอย่างนั้น
ว่าดังนี้:-
พระบัญญัติ
๘๑.๒ ก. เป็นปาจิตตีย์ ในเพราะฉันเป็นหมู่.
ก็สิกขาบทนี้ ย่อมเป็นอัน พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงบัญญัติแล้วแก่ภิกษุ
ทั้งหลาย ด้วยประการฉะนี้.
เรื่องพระเทวทัต จบ
เรื่องภิกษุอาพาธ
[๔๗๖] สมัยนั้นแล ประชาชนนิมนต์ภิกษุทั้งหลาย ผู้อาพาธฉัน
ภัตตาหาร ภิกษุทั้งหลายพากันรังเกียจ ไม่รับนิมนต์ด้วยอ้างว่า การฉันเป็นหมู่
พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงห้ามแล้ว แล้วกราบทูลเนื้อความนั้นแด่พระผู้มี-
พระภาคเจ้า
ทรงอนุญาตให้ภิกษุอาพาธฉันเป็นหมู่ได้
ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงทำธรรมีกถา ในเพราะเหตุเป็น
เค้ามูลนั้น ในเพราะเหตุแรกเกิดนั้น แล้วรับสั่งกะภิกษุทั้งหลายว่า ดูก่อน
ภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตให้ภิกษุผู้อาพาธ ฉันเป็นหมู่ได้.
ก็แลพวกเธอพึงยกสิกขาบทนี้ขึ้นแสดงอย่างนั้น ว่าดังนี้:-

458
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ เล่ม ๒ – หน้าที่ 459 (เล่ม 4)

พระอนุบัญญัติ
๘๑.๒ ข. เว้นไว้แต่สมัย เป็นปาจิตตีย์ ในเพราะฉัน เป็นหมู่
ในสมัยในเรื่องนั้น คือ คราวอาพาธ ในสมัยในเรื่องนั้น.
ก็สิกขาบทนี้ ย่อมเป็นอันพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงบัญญัติแล้วแก่ภิกษุ
ทั้งหลาย ด้วยประการฉะนี้.
เรื่องภิกษุอาพาธ จบ
ทรงอนุญาตให้ฉันเป็นหมู่ในฤดูถวายจีวร
[๔๗๗] สมัยต่อมาเป็นฤดูที่ชาวบ้านถวายจีวรกัน ประชาชนตกแต่ง
ภัตตาหารพร้อมด้วยจีวร แล้วนิมนต์ภิกษุทั้งหลายด้วยตั้งใจว่า ให้ท่านฉัน
แล้วจักให้ครองจีวร ภิกษุทั้งหลายพากันรังเกียจ ไม่รับนิมนต์ด้วยอ้างว่า
การฉันเป็นหมู่ พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงห้ามแล้ว จีวรจึงเกิดขึ้นเล็กน้อย ภิกษุ
ทั้งหลายได้กราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาคเจ้า ๆ ทรงอนุญาตว่า ดูก่อน
ภิกษุทั้งหลาย ในคราวที่ถวายจีวรกัน เราอนุญาตให้ฉันเป็นหมู่ได้.
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็แลพวกเธอพึงยกสิกขาบทนี้ขึ้นแสดงอย่างนั้น
ว่าดังนี้:-
พระอนุบัญญัติ ๒
๘๑.๒ ค. เว้นไว้แต่สมัย เป็นปาจิตตีย์ ในเพราะฉัน เป็น
หมู่ นี้สมัยในเรื่องนั้น คือ คราวอาพาธ คราวที่เป็นฤดูถวายจีวร
นี้สมัยในเรื่องนั้น.
ก็สิกขาบทนี้ ย่อมเป็นอันพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงบัญญัติแล้วแก่ภิกษุ
ทั้งหลาย ด้วยประการฉะนี้.
เรื่องทรงอนุญาตให้ฉันเป็นหมู่ในฤดูถวายจีวร จบ

459
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ เล่ม ๒ – หน้าที่ 460 (เล่ม 4)

ทรงอนุญาตให้ฉันเป็นหมู่ในฤดูทำจีวร
[๔๗๘] สมัยต่อมา ประชาชนนิมนต์ภิกษุทั้งหลายผู้ช่วยทำจีวรฉัน
ภัตตาหาร ภิกษุทั้งหลายพากัน รังเกียจ ไม่รับนิมนต์ด้วยอ้างว่า การฉันเป็นหมู่
พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงห้ามแล้ว แล้วกราบทูลเรื่องนั้น แด่พระผู้มีพระภาคเจ้าๆ
ทรงอนุญาตว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ในคราวที่ทำจีวรกัน เราอนุญาต
ให้ฉันเป็นหมู่ได้
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็แลพวกเธอพึงยกสิกขาบทนี้ขึ้นแสดงอย่างนี้
ว่าดังนี้:-
พระอนุบัญญัติ
๘๑.๒ ง. เว้นไว้แต่สมัย เป็นปาจิตตีย์ ในเพราะฉันเป็นหมู่
นี้สมัยในเรื่องนั้น คือ คราวอาพาธ คราวที่เป็นฤดูถวายจีวร คราว
ทำจีวร นิสมัยในเรื่องนั้น .
ก็สิกขาบทนี้ ย่อมเป็นอันพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงบัญญัติแล้วแก่ภิกษุ
ทั้งหลาย ด้วยประการฉะนี้.
เรื่องทรงอนุญาตให้ฉันเป็นหมู่ในฤดูทำจีวร จบ
ทรงอนุญาตให้ฉันเป็นหมู่ในคราวเดินทางไกล
[๔๗๙] สมัยต่อมา ภิกษุทั้งหลายพากันเดินทางไกลไปกับประชาชน
คราวนั้นภิกษุเหล่านั้น ได้บอกประชาชนพวกนั้นว่า โปรดรอสักครู่หนึ่งเถิดจะ
พวกฉันจักไปบิณฑบาต
ประชาชนพวกนั้นกล่าวนิมนต์อย่างนี้ว่า นิมนต์ฉันที่นี้แหละเจ้าข้า
ภิกษุทั้งหลายพากันรังเกียจไม่รับนิมนต์ด้วยอ้างว่า การฉันเป็นหมู่
พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงห้ามแล้ว แล้วกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาคเจ้าๆ

460