หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ เล่ม ๒ – หน้าที่ 411 (เล่ม 4)

การกราบไหว้ การบูชา ตามปกติ ๑ ภิกษุวิกลจริต ๑ ภิกษุอาทิกัมมิกะ ๑
ไม่ต้องอาบัติแล.
โอวาทวรรค สิกขาบทที่ ๔ จบ
ภิกขุนีวรรค อามิสสิกขาบทที่ ๔
วินิจฉัย ในสิกขาบทที่ ๔ พึงทราบดังนี้
บทว่า น พหุกตา คือ ไม่ทำความทั่งใจ (สอนจริง). อธิบายว่า
ไม่ทำความเคารพมากในธรรมกล่าวสอน. ผู้ศึกษาพึงทราบอรรถแห่งบท
ทั้งหลายว่า ภิกษุโนวาทกํ อวณฺณํ กตฺตุกาโม เป็นต้น โดยนัยดังที่
กล่าวแล้วในอุชฌาปนกสิกขาบทนั่นแล. ภิกษุที่ภิกษุผู้ได้รับสมมติ หรือสงฆ์
มอบภาระให้ไว้ พึงทราบว่า ชื่อว่า ภิกษุไม่ได้รับสมมติ ในคำว่า อุปสมฺปนฺนํ
สงฺเฆน อสมฺมตํ นี้.
ส่วนในคำว่า อุปสมฺปนฺนํ สงฺเฆน สมฺมตํ วา อสมฺมตํ วา
นี้ ภิกษุผู้ได้รับสมมติในคราวเป็นภิกษุแล้ว ตั้งอยู่ในภูมิแห่งสามเณร พึงทราบ
ว่าได้รับสมมติ. สามเณรพหูสูตที่ภิกษุผู้ได้รับสมมติหรือสงฆ์มอบหน้าที่ไว้
พึงทราบว่า ผู้มีได้รับสมมติ. คำที่เหลือตื้นทั้งนั้น เพราะมีนัยดังกล่าวแล้ว.
สิกขาบทนี้ มีสมุฎฐาน ๓ เกิดขึ้นทางกายกับจิต ๑ ทางวาจากับจิต ๑
ทางกายวาจากับจิต ๑ เป็นกิริยา สัญญาวิโมกข์สจิตตกะ. โลกวัชชะ กายกรรม
วจีกรรม อกุศลจิต เป็นทุกขเวทนา ดังนี้แล.
อามิสสิกขาบทที่ ๔ จบ

411
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ เล่ม ๒ – หน้าที่ 412 (เล่ม 4)

โอวาทวรรค สิกขาบทที่ ๕
เรื่องภิกษุรูปหนึ่ง
[๔๔๒] โดยสมัยนั้น พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าประทับอยู่ ณ พระ
เชตวัน อารามของอนาถบิณฑิกคหบดี เขตพระนครสาวัตถี ครั้งนั้น ภิกษุ
รูปหนึ่งเที่ยวบิณฑบาตไปตามถนนแห่งหนึ่ง ในพระนครสาวัตถี แม้ภิกษุณี
รูปหนึ่งก็เที่ยวบิณฑบาตไปในถนนนั้น ครั้งนั้นแล ภิกษุนั้นได้กล่าวคำนี้ กะ
ภิกษุณีรูปนั้นว่า ไปเถิดน้องหญิง ณ สถานที่โน้น มีผู้ถวายภิกษา แม้ภิกษุณี
รูปนั้น ก็กล่าวอย่างนี้ว่า ไปเถิดพระคุณเจ้า ณ สถานที่โน้นมีผู้ถวายภิกษา
ภิกษุและภิกษุณีทั้งสองได้เป็นเพื่อนเห็นกัน เพราะได้พบกันอยู่เนือง ๆ
ก็แลสมัยนั้น พระเจ้าหน้าที่แจกจีวรกำลังแจกจีวรของสงฆ์จึงภิกษุณี
รูปนั้นไปรับโอวาท แล้วเข้าไปหาภิกษุรูปนั้นอภิวาทแล้วยืนอยู่ ณ ที่ควรส่วน
ข้างหนึ่ง
ภิกษุรูปนั้นได้กล่าวคำนี้กะภิกษุณีนั้นผู้ยืนอยู่ ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่งว่า
ดูก่อนน้องหญิง ส่วนจีวรของฉะนั้นเธอจักยินดีหรือไม่
ภิกษุณีรับว่า ยินดี เจ้าข้า เพราะดิฉันมีจีวรเก่า
ภิกษุนั้นได้ให้จีวรแก่ภิกษุณีนั้น แต่ภิกษุนั้นก็เป็นผู้มีจีวรเก่าอยู่
เหมือนกัน ภิกษุทั้งหลายจึงได้กล่าวกะภิกษุรูปนั้นว่า บัดนี้ ท่านจงเปลี่ยน
จีวรของท่านเถิด ภิกษุรูปนั้นได้แจ้งเรื่องนั้นแก่ภิกษุทั้งหลาย บรรดาภิกษุที่
มักน้อย ...ต่างก็เพ่งโทษติเตียนโพนทะนาว่า ไฉน ภิกษุจึงได้ให้จีวรแก่
ภิกษุณีเล่า แล้วกราบทูลเรื่องนั้น แด่พระผู้มีพระภาคเจ้า ...

412
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ เล่ม ๒ – หน้าที่ 413 (เล่ม 4)

ทรงสอบถามแล้วบัญญัติสิกขาบท
พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงสอบถามภิกษุรูปนั้นว่า ดูก่อนภิกษุ ข่าวว่า
เธอได้ให้จีวรแก่ภิกษุณี จริงหรือ.
ภิกษุรูปนั้น ทูลรับว่า จริง พระพุทธเจ้าข้า.
ภ. ดูก่อนภิกษุ ภิกษุณีนั้นเป็นญาติของเธอหรือมิใช่ญาติ.
ภิ. มิใช่ญาติ พระพุทธเจ้าข้า.
ภ. ดูก่อนโมฆบุรุษ ภิกษุผู้มีใช่ญาติย่อมไม่รู้การกระทำอันสมควร
หรือไม่สมควร ของที่มีอยู่หรือไม่มี ของภิกษุณีผู้มีใช่ญาติ ไฉน เธอจึงได้
ให้จีวรแก่ภิกษุณีผู้มีใช่ญาติเล่า การกระทำของเธอนั่น ไม่เป็นไปเพื่อความ
เลื่อมใสของชุมชนที่ยังไม่เลื่อมใส หรือเพื่อความเลื่อมใสยิ่งของชุมชนที่เลื่อม-
ใสแล้ว . . .
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็แลพวกเธอพึงยกสิกขาบทนี้ขึ้นแสดงอย่างนั้น
ว่าดังนี้
พระบัญญัติ
๗๔.๕. ก. อนึ่ง ภิกษุใด ให้จีวรแก่ภิกษุณีผู้มิใช่ญาติ เป็น
ปาจิตตีย์.
ก็สิกขาบทนี้ ย่อมเป็นอันพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงบัญญัติแล้วแก่ภิกษุ
ทั้งหลาย ด้วยประการฉะนี้.
เรื่องภิกษุรูปหนึ่ง จบ
เรื่องภิกษุหลายรูป
[๔๔๓] สมัยต่อมา ภิกษุทั้งหลายรังเกียจไม่ให้จีวรแลกเปลี่ยนแก่
พวกภิกษุณี ภิกษุณีทั้งหลายจึงเพ่งโทษติเตียนโพนทะนาว่า ไฉนพระคุณเจ้า

413
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ เล่ม ๒ – หน้าที่ 414 (เล่ม 4)

จึงไม่ให้แลกเปลี่ยนแก่พวกเรา ภิกษุทั้งหลาย ได้ยินภิกษุณีเหล่านั้นเพ่งโทษ
ติเตียนโพนทะนาอยู่ จึงกราบทูลเรื่องนั้น แด่พระผู้มีพระภาคเจ้า.
ทรงอนุญาตให้แลกเปลี่ยนจีวร
ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงธรรมีกถา ในเพราะเหตุเป็นเค้ามูล
นั้น ในเพราะเหตุแรกเกิดนั้น แล้วรับสั่งกะภิกษุทั้งหลายว่า ดูก่อนภิกษุ
ทั้งหลาย เราอนุญาตให้แลกเปลี่ยนแก่สหธรรมิกทั้ง ๕ คือ ภิกษุ ภิกษุณี
สิกขมานา สามเณร สามเณรี เราอนุญาตให้แลกเปลี่ยนแก่สหธรรมิก ๕ เหล่า
นี้ได้.
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็แลพวกเธอพึงยกสิกขาบทนี้ขึ้นแสดงอย่างนั้น
ว่าดังนี้
พระอนุบัญญัติ
๗๔. ๕. ข. อนึ่ง ภิกษุใด ให้จีวรแก่ภิกษุณี ผู้ไม่ใช่ญาติ
เว้น ไว้แลถเปลี่ยน เป็นปาจิตตีย์.
เรื่องภิกษุหลายรูป จบ
สิกขาบทวิภังค์
[๔๔๔] บทว่า อนึ่ง . . .ใด ความว่า ผู้ใด คือ ผู้เช่นใด...
บทว่า ภิกษุ ความว่า ที่ชื่อว่า ภิกษุ เพราะอรรถว่าเป็นผู้ขอ...นี้
ชื่อว่า ภิกษุ ที่ทรงประสงค์ในอรรถนี้.
ที่ชื่อว่า ผู้มิใช่ญาติ คือ ไม่ใช่คนเนื่องถึงกัน ทางมารดาก็ดี ทาง
บิดาก็ดี ตลาด ๗ ชั่วบุรพชนก.

414
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ เล่ม ๒ – หน้าที่ 415 (เล่ม 4)

ผู้ชื่อว่า ภิกษุณี ได้แก่ สตรีผู้อุปสมบทแล้วในสงฆ์ ๒ ฝ่าย.
ที่ชื่อว่า จีวร ได้แก่ จีวร ๖ ชนิด ๆ ใดชนิดหนึ่ง ซึ่งเข้าองค์
กำหนดแห่งผ้าต้องวิกัปเป็นอย่างต่ำ.
คำว่า เว้นไว้แต่แลกเปลี่ยน ความว่า ภิกษุให้ เว้นการแลกเปลี่ยน
ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
บทภาชนีย์
ติกปาจิตตีย์
[๔๔๕] ภิกษุณีผู้มีใช่ญาติ ภิกษุสำคัญว่ามิใช่ญาติ ให้จีวร เว้นไว้
แต่แลกเปลี่ยน ต้องอาบัติปาจิตตีย์
ภิกษุณีผู้มิใช่ญาติ ภิกษุสงสัย ให้จีวร เว้น ไว้แต่แลกเปลี่ยน ต้อง
อาบัติปาจิตตีย์.
ภิกษุณีผู้มิใช่ญาติ ภิกษุสำคัญว่าเป็นญาติ ให้จีวร เว้น ไว้แต่แลก
เปลี่ยน ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
ติกทุกกฏ
ภิกษุให้จีวรแก่ภิกษุณีผู้อุปสมบทในสงฆ์ฝ่ายเดียว เว้นไว้แต่แลก
เปลี่ยน ต้องอาบัติทุกกฏ.
ภิกษุณีผู้เป็นญาติ ภิกษุสำคัญว่ามิใช่ญาติ ให้จีวร ต้องอาบัติทุกกฏ.
ภิกษุณีผู้เป็นญาติ ภิกษุสงสัย ให้จีวร ต้องอาบัติทุกกฏ.
ไม่ต้องอาบัติ
ภิกษุณีผู้เป็นญาติ ภิกษุสำคัญว่าเป็นญาติ ให้จีวร ไม่ต้องอาบัติ.

415
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ เล่ม ๒ – หน้าที่ 416 (เล่ม 4)

อนาปัตติวาร
[๔๔๖] ภิกษุณีผู้เป็นญาติ ๑ ภิกษุแลกเปลี่ยน คือ เอาจีวรมีค่าน้อย
แลกเปลี่ยนจีวรมีค่ามาก หรือเอาจีวรมีค่ามากแลกเปลี่ยนจีวรมีค่าน้อย ๑
ภิกษุณีถือวิสาสะ ๑ ภิกษุณีถือเอาเป็นของขอยืม ๑ ภิกษุให้บริขารอื่นเว้น
จีวร ๑ ภิกษุให้แก่สิกขมานา ๑ ภิกษุให้สามเณรี ๑ ภิกษุวิกลจริต ๑ ภิกษุ
อาทิกัมมิกะ ๑ ไม่ต้องอาบัติแล
โอวาทวรรค สิกขาบทที่ ๕ จบ
ภิกขุนีวรรค จีวรทานสิกขาบทที่ ๕
วินิจฉัย ในสิกขาบทที่ ๕ พึงทราบดังนี้.
บทว่า วิสิขาย แปลว่า ในตรอก.
สองบทว่า ปิณฺฑาย จรติ มีความว่า ย่อมเที่ยวไปเนือง ๆ ด้วย
สามารถแห่งการเที่ยวไปเป็นประจำ.
บทว่า สนฺทิฏฺฐา คือ ได้เป็นเพื่อนเห็นกัน. บทที่เหลือในสิกขา
บทนี้ โดยบท มีอรรถตื้น โดยวินิจฉัย พึงทราบโดยนัยดังกล่าวแล้วในจีวร
ปฏิคคหณสิกขาบทนั้นแล พร้อมทั้งสมุฏฐานเป็นต้น. จริงอยู่ ในจีวร
ปฏิคคหณสิกขาบทนั้น ภิกษุเป็นผู้รับ ในสิกขาบทนี้ ภิกษุณีเป็นผู้รับ นี้เป็น
ความแปลกกัน. คำที่เหลือเป็นเช่นนั้นเหมือนกันแล.
จีวรทานสิกขาบทที่ ๕ จบ

416
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ เล่ม ๒ – หน้าที่ 417 (เล่ม 4)

โอวาทวรรค สิกขาบทที่ ๖
เรื่องพระอุทายี
[๔๔๗] โดยสมัยนั้น พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าประทับอยู่ ณ พระ-
เชตวัน อารามของอนาถบิณฑิกคหบดี เขตพระนครสาวัตถี ครั้งนั้น ท่าน
พระอุทายีเป็นผู้สามารถทำจีวรกรรม ภิกษุณี รูปหนึ่งเข้าไปหาท่านแล้วพูดว่า
ดิฉันขอโอกาส เจ้าค่ะ ขอพระคุณเจ้าช่วยเย็บจีวรให้ดิฉันด้วย ฝ่ายท่านพระ
อุทายีเย็บจีวรให้นางแล้ว ทำการย้อมอย่างดี ทำบริกรรมเรียบร้อยแล้ว
เขียนรูปอัน วิจิตร ตามความติดเห็นไว้ในท่ามกลางแล้วพับเก็บไว้.
ครั้นภิกษุณีนั่นเข้าไปหาท่านพระอุทายีแล้วถามว่า จีวรนั้นเสร็จแล้ว
หรือยังเจ้าค่ะ.
พระอุทายีตอบว่า เสร็จแล้ว น้องหญิง เชิญนำจีวรผืนนี้ตามที่พับ
ไว้แล้วไปเก็บไว้ เมื่อไรภิกษุณีสงฆ์มารับโอวาท จึงต่อยห่มจีวรผืนนี้เดินตาม
มาเบื้องหลังภิกษุณีสงฆ์.
ฝ่ายภิกษุณีนั้นนำจีวรตามที่พับไว้นั้น ไปเก็บไว้ ถึงคราวที่ภิกษุณี-
สงฆ์มารับโอวาท จึงห่มจีวรผืนนั้น เดินตามมาเบื้องหลังภิกษุณีสงฆ์ ประชาชน
พากันเพ่งโทษติเตียนโพนทะนาว่า ภิกษุณีพวกนี้หมดความเกรงกลัว เป็นคน
ชั่ว ไม่มียางอาย เขียนรูปอันวิจิตรตามความเห็นไว้ที่จีวรได้.
ภิกษุณีทั้งหลายถามว่า นี่ใครทำ.
ภิกษุณีนั้น ตอบว่า พระคุณเจ้าอุทายี.
ภิกษุณีทั้งหลายพูดว่า รูปอย่างนั้นไม่งาม แม้แก่พวกนักเลงที่หมด
ความเกรงกลัว ไม่มียางอาย ไฉนจะงามแก่พระคุณเจ้าอุทายีเล่า แล้วแจ้ง
เรื่องนั้น แก่ภิกษุทั้งหลาย.

417
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ เล่ม ๒ – หน้าที่ 418 (เล่ม 4)

บรรดาภิกษุที่มักน้อย . . . ต่างก็เพ่งโทษติเตียนโพนทะนาว่า ไฉน
ท่านพระอุทายีจึงได้เย็บจีวรให้ภิกษุณีเล่า แล้วกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มี-
พระภาคเจ้า . . .
ทรงสอบถามแล้วบัญญัติสิกขาบท
พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงสอบถามท่านพระอุทายีว่า ดูก่อนอุทายี ข่าวว่า
เธอเย็บจีวรให้ภิกษุณี จริงหรือ.
ท่านพระอุทายีทูลรับว่า จริง พระพุทธเจ้าข้า.
ภ ภิกษุณีนั้นเป็นญาติของเธอ หรือมิใช่ญาติ.
อุ. มิใช่ญาติ พระพุทธเจ้าข้า.
ภ. ดูก่อนโมฆบุรุษ ภิกษุที่มิใช่ญาติ ย่อมไม่รู้การกระทำที่สมควร
หรือไม่สมควร อาการที่น่าเลื่อมใสหรือไม่น่าเลื่อมใส ของภิกษุณีที่มิใช่ญาติ
ไฉนเธอจึงได้เย็บจีวรให้ภิกษุณีที่มิใช่ญาติเล่า การกระทำของเธอนั่น ไม่เป็น
ไปเพื่อความเลื่อมใสของชุมชนที่ยังไม่เลื่อมใส หรือเพื่อความเลื่อมใสยิ่งของ
ชุมชนที่เลื่อมใสแล้ว . . .
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็แลพวกเธอพึงยกสิกขาบทนี้ขึ้นแสดงอย่างนี้
ว่าดังนี้ :-
พระบัญญัติ
๗๕.๖. อนึ่ง ภิกษุใด เย็บก็ดี ให้เย็บก็ดี ซึ่งจีวร เพื่อ
ภิกษุณีผู้มิใช่ญาติ เป็นปาจิตตีย์.
เรื่องพระอุทายี จบ

418
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ เล่ม ๒ – หน้าที่ 419 (เล่ม 4)

สิกขาบทวิภังค์
[๔๔๘] บทว่า อนึ่ง. . .ใด ความว่า ผู้ใด คือ ผู้เช่นใด. . .
บทว่า ภิกษุ ความว่า ที่ชื่อว่า ภิกษุ เพราะอรรถว่าเป็นผู้ขอ...
นี้ชื่อว่า ภิกษุ ที่ทรงประสงค์ในอรรถนี้ .
ที่ชื่อว่า ผู้มิใช่ญาติ คือ ไม่ใช่คนเนื่องถึงกัน ทางมารดาก็ดี ทาง
บิดาก็ดี ตลอด ๗ ชั่วบุรพชนก
ผู้ชื่อว่า ภิกษุณี ได้แก่ สตรีผู้อุปสมบทแล้วในสงฆ์ ๒ ฝ่าย
ที่ชื่อว่า จีวร ได้แก่ จีวร ๖ ชนิด ๆ ใดชนิดหนึ่ง ซึ่งเข้าองค์
กำหนดแห่งผ้าต้องวิกัปเป็นอย่างต่ำ.
บทว่า เย็บ คือ เย็บเอง ต้องอาบัติปาจิตตีย์ทุก ๆ รอยเข็ม.
บทว่า ให้เย็บ คือ ใช้ผู้อื่นเย็บ ต้องอาบัติปาจิตตีย์
ใช้หนเดียว แต่เย็บแม้หลายหน ก็ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
บทภาชนีย์
ติกปาจิตตีย์
[๔๔๙] ภิกษุณีผู้มีใช่ญาติ ภิกษุสำคัญว่ามิใช่ญาติ เย็บก็ดี ให้เย็บ
ก็ดี ซึ่งจีวร ต้องอาบัติปาจิตตีย์
ภิกษุณีผู้มีใช่ญาติ ภิกษุสงสัย เย็บเองก็ดี ให้เย็บก็ดี ซึ่งจีวร
ต้องอาบัติ ปาจิตตีย์
ภิกษุณีมิใช่ญาติ ภิกษุสำคัญว่าเป็นญาติ เย็บเองก็ดี ให้เย็บก็ดี
ซึ่งจีวร ต้องอาบัติปาจิตตีย์

419
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ เล่ม ๒ – หน้าที่ 420 (เล่ม 4)

ติกทุกกฏ
ภิกษุเย็บเองก็ดี ให้เย็บก็ดี ซึ่งจีวร เพื่อภิกษุณีผู้อุปสมบทในสงฆ์
ฝ่ายเดียว ต้องอาบัติทุกกฏ
ภิกษุณีผู้เป็นญาติ ภิกษุสำคัญว่ามิใช่ญาติ...ต้องอาบัติทุกกฏ
ภิกษุณีผู้เป็นญาติ ภิกษุสงสัย...ต้องอาบัติทุกกฏ
ไม่ต้องอาบัติ
ภิกษุณีผู้เป็นญาติ ภิกษุสำคัญว่าเป็นญาติ.. .ไม่ต้องอาบัติ.
อนาปัตติวาร
[๔๕๐] ภิกษุเย็บเพื่อภิกษุณีผู้เป็นญาติ ๑ ภิกษุเย็บเองก็ดี ให้เย็
ก็ดี ซึ่งบริขารอื่นเว้นจีวร ๑ ภิกษุเย็บเพื่อสิกขมานา ๑ ภิกษุเย็บเพื่อสามเณรี ๑
ภิกษุวิกลจริต ๑ ภิกษุอาทิกัมมิกะ ๑ ไม่ต้องอาบัติแล.
โอวาทวรรค สิกขาบทที่ ๖ จบ
ภิกขุนีวรรค จีวรสิพพนสิกขาบทที่ ๖
วินิจฉัย ในสิกขาบทที่ ๖ พึงทราบดังนี้
[แก้อรรถ เรื่องเย็บจีวรให้ภิกษุณีผู้มิใช่ญาติ]
คำว่า อุทายี ได้แก่ พระโลลุทายี.
บทว่า ปฏฺโฐ แปลว่า ผู้มีความสามารถ. มีคำอธิบายว่า เป็นผู้
เข้าใจและสามารถ.
สองบทว่า อญฺญตรา ภิกฺขุนี ได้แก่ ภิกษุณีผู้เป็นภรรยาเก่า
พระอุทายีนั้นนั่นเอง.

420