No Favorites




หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๓ – หน้าที่ 162 (เล่ม 52)

บทว่า ตาหิ จ สุขิโต วิหริสฺสํ ความว่า เราจักเป็นผู้มีความสุข
คือ เกิดสุขอยู่ คือสำเร็จอิริยาบถแม้ทั้ง ๔ อยู่ด้วยอัปปมัญญาเหล่านั้น.
ด้วยเหตุนั้น เราจึงมีความสุขอย่างเดียวในทุกเวลา ความทุกข์ไม่มี.
เพราะเราจักไม่ลำบากด้วยความหนาว คือเราจักไม่ลำบากด้วย
ความหนาว ในฤดูหิมะตก แม้อันมีถัดจากเดือนที่ ๘ เพราะฉะนั้น เรา
จักไม่หวั่นไหวอยู่ คือจักเป็นมีความสุขอยู่ด้วยความสุขอันเกิดจากสมาบัติ
นั่นแหละ เพราะละได้เด็ดขาดซึ่งความพยาบาทเป็นต้น อันเป็นเหตุทำ
จิตให้หวั่นไหว และเพราะไม่มีความหวั่นไหวอันเกิดจากปัจจัย. พระเถระ
เมื่อกล่าวคาถานี้อย่างนี้ ได้เจริญวิปัสสนาทำให้แจ้งพระอรหัต. ด้วยเหตุนั้น
ท่านจึงกล่าวไว้ในอปทาน๑ว่า
เราเป็นหมอผู้ศึกษาดีแล้ว อยู่ในนครพันธุมดี เป็น
ผู้นำความสุขมาให้แก่มหาชนผู้มีทุกข์เดือดร้อน ในกาล
นั้น เราเห็นพระสมณะผู้มีศีล ผู้รุ่งเรืองใหญ่ป่วยไข้ มี
จิตเลื่อมใสมีใจโสมนัส ได้ถวายยาบำบัดไข้ พระสมณะ
ผู้สำรวมอินทรีย์ เป็นอุปัฏฐากของพระวิปัสสีสัมมาสัม-
พุทธเจ้า นามว่าพระอโสกะ หายจากโรคด้วยยานั้นแล
ในกัปที่ ๙๐ แต่ภัตรกัปนี้ ด้วยการที่เราได้ถวายยา เรา
ไม่รู้จักทุคติเลย นี้เป็นผลแห่งการถวายยา และในกัปที่ ๘
แต่ภัทรกัปนี้ เราได้เป็นพระเจ้าจักรพรรดิ พระนามว่า
สัพโพสธะ มีผลมาก สมบูรณ์ด้วยแก้ว ๗ ประการ. เรา
๑. ขุ. อ. ๓๒/ข้อ ๑๘๑.

162
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๓ – หน้าที่ 163 (เล่ม 52)

เผากิเลสได้แล้ว...ฯลฯ... เรากระทำตามคำสั่งสอนของ
พระพุทธเจ้าแล้ว.
ก็ในที่นี้ พึงทราบว่า พระสังคีติกาจารย์ได้ร้อยกรองคาถาเหล่านี้
ไว้ในคราวทำสังคายนาครั้งที่ ๓ เพราะพระเถระนี้เกิดขึ้นในรัชกาลของ
พระเจ้าพินทุสาร.
จบอรรถกถาเตกิจฉการีเถรคาถาที่ ๒

163
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๓ – หน้าที่ 164 (เล่ม 52)

๓. มหานาคเถรคาถา
ว่าด้วยคาถาของพระมหานาคเถระ
[๓๔๙] ผู้ใดไม่มีความเคารพในเพื่อนสพรหมจารีทั้งหลาย ผู้
นั้นย่อมเสื่อมจากสัทธรรม เหมือนปลาในน้ำน้อยฉะนั้น
ผู้ใดไม่มีความเคารพในเพื่อนสพรหมจารีทั้งหลาย ผู้นั้น
ย่อมไม่งอกงามในสัทธรรม เหมือนพืชที่เน่าในไร่นาฉะนั้น
ผู้ใดไม่มีความเคารพในเพื่อนสพรหมจารีทั้งหลาย ผู้นั้น
เป็นผู้ไกลจากพระนิพพานในศาสนาของพระผู้มีพระภาค-
เจ้า ผู้เป็นพระธรรมราชา ผู้ใดมีความเคารพในเพื่อน
สพรหมจารีทั้งหลาย ผู้นั้นย่อมไม่เสื่อมจากสัทธรรม
เหมือนปลาในน้ำมากฉะนั้น ผู้ใดมีความเคารพในเพื่อน
สพรหมจารีทั้งหลาย ผู้นั้นย่อมงอกงามในสัทธรรม
เหมือนพืชที่ดีในไร่นาฉะนั้น ผู้ใดมีความเคารพในเพื่อน
สพรหมจารีทั้งหลาย ผู้นั้นย่อมอยู่ใกล้พระนิพพานใน
ศาสนาของพระผู้มีพระภาคเจ้า ผู้เป็นพระธรรมราชา.
จบมหานาคเถรคาถา
อรรถกถามหานาคเถรคาถาที่ ๓
คาถาของท่านพระมหานาคเถระ มีคำเริ่มต้นว่า ยสฺส สพฺรหฺม-
จารีสุ ดังนี้. เรื่องนั้นมีเหตุเกิดขึ้นอย่างไร ?

164
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๓ – หน้าที่ 165 (เล่ม 52)

แม้พระเถระนี้ก็ได้บำเพ็ญบุญญาธิการไว้ในพระพุทธเจ้าอันมีในกาล
ก่อน ก่อสร้างกุศลอันเป็นอุปนิสัยแก่พระนิพพานในภพนั้นๆ ในกาล
แห่งพระผู้มีพระภาคเจ้าพระนามว่า กกุสันธะ ได้บังเกิดในเรือนของตระกูล
รู้เดียงสาแล้ว วันหนึ่ง ได้เห็นพระผู้มีพระภาคเจ้ากกุสันธะหยั่งลงยังป่า
ประทับนั่งอยู่ที่โคนไม้ต้นหนึ่ง ด้วยความสุขในฌาน จึงมีใจเลื่อมใส ได้
ถวายผลทับทิมแด่พระผู้มีพระภาคเจ้านั้น.
ด้วยบุญกรรมนั้น เขาท่องเที่ยวไปในเทวดาเละมนุษย์ทั้งหลาย ใน
พุทธุปบาทกาลนี้ บังเกิดเป็นบุตรของพราหมณ์ นามว่า มธุวาเสฏฐะ
ในเมืองสาเกต เขาได้มีชื่อว่า มหานาค มหานาคนั้นรู้เดียงสาแล้ว เมื่อ
พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ในป่าอัญชนวัน ใกล้เมืองสาเกต ได้เห็น
ปาฏิหาริย์ของท่านพระควัมปติเถระ ได้ศรัทธา จึงบวชในสำนักของ
พระเถระนั่นแหละ ตั้งอยู่ในโอวาทของท่าน จึงบรรลุพระอรหัต. ด้วย
เหตุนั้น ท่านจึงกล่าวไว้ในอปทาน๑ว่า
พระกกุสันธะพระองค์นั้นผู้แกล้วกล้าใหญ่ ถึงฝั่งแห่ง
ธรรมทั้งปวง หลีกออกจากหมู่ ได้ไปยังระหว่างป่า เรา
ถือเอาเยื่อของพืชแล้วเอาเครือเถาร้อยไว้. สมัยนั้น พระ-
ผู้มีพระภาคเจ้าฌานอยู่ในระหว่างภูเขา ครั้นเราได้
เห็นพระผู้มีพระภาคเจ้าผู้เป็นเทพของเทพ มีเลื่อมใส
ได้ถวายเยื่อของพืชแล้วพระวีรเจ้าผู้เป็นทักขิไณยบุคคล
ในกัปนี้แหละ เราได้ถวายเยื่อพืชใดในกาลนั้น ด้วยการ
คล้ายเยื่อพืชนั้น เราจึงไม่รู้จักทุคตินี้ เป็นผลแห่งเยื่อ
๑. ขุ. อ. ๓๓/ข้อ ๓๑.

165
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๓ – หน้าที่ 166 (เล่ม 52)

พืช เราเผากิเลสได้แล้ว ...ฯลฯ... เราได้กระทำตาม
คำสอนของพระพุทธเจ้าแล้ว.
ก็พระเถระครั้นได้บรรลุพระอรหัตแล้ว จึงอยู่ด้วยสุขอันเกิดแต่
วิมุตติ เห็นภิกษุฉัพพัคคีย์ไม่กระทำความเคารพในเพื่อนสพรหมจารีทั้ง-
หลาย จึงกล่าวคาถา ๖ คาถานี้ เนื่องด้วยการให้โอวาทแก่ภิกษุฉัพพัคคีย์
นั้นว่า
ผู้ใดไม่มีความเคารพในเพื่อนสพรหมจารี ผู้นั้นย่อม
เสื่อมจากพระสัทธรรม เหมือนปลาในน้ำน้อย ผู้ใดไม่มี
มีความเคารพในเพื่อนสพรหมจารี ผู้นั้นย่อมไม่งอกงาม
ในพระสัทธรรม เหมือนพืชที่เน่าในไร่นา ผู้ใดไม่มีความ
เคารพในเพื่อนสพรหมจารี ผู้นั้นย่อมอยู่ไกลจากพระ-
นิพพาน ในศาสนาของพระผู้มีพระภาคเจ้า ผู้เป็นพระ-
ธรรมราชา. ผู้ใดมีความเคารพในเพื่อนสพรหมจารี ผู้นั้น
ย่อมไม่เสื่อมจากพระสัทธรรม เหมือนปลาในน้ำมาก
ฉะนั้น ผู้ใดมีความเคารพในเพื่อนสพรหมจารีทั้งหลาย
ผู้นั้นย่อมงอกงามในพระสัทธรรม เหมือนพืชดีในไร่นา
ฉะนั้น ผู้ใดมีความเคารพในเพื่อนสพรหมจารี ผู้นั้นย่อม
อยู่ใกล้พระนิพพาน ในศาสนาของพระผู้มีพระภาคเจ้า
ผู้เป็นพระธรรมราชา.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า สพฺรหฺมจารีสุ ความว่า ชื่อว่า เพื่อน
สพรหมจารี เพราะประพฤติธรรมอันประเสริฐมีศีลเป็นต้นที่มีอยู่, ผู้ที่ถึง
ความเสมอกันด้วยศีลและทิฏฐิ ชื่อว่า สหธรรมิก, ในเพื่อนสพรหมจารี
และสหธรรมิกเหล่านั้น.

166
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๓ – หน้าที่ 167 (เล่ม 52)

บทว่า คารโว ได้แก่ ความเป็นผู้มีความเคารพ คือกระทำความ
เคารพอันมีคุณมีศีลเป็นต้นเป็นเหตุ.
บทว่า นูปลพฺภติ ได้แก่ ไม่มี คือไม่เป็นไป อธิบายว่า ไม่เข้า
ไปตั้งอยู่.
บทว่า นิพฺพานา ได้แก่จากการทำกิเลสให้ดับ คือจากความสิ้น
กิเลส.
บทว่า ธมฺมราชสฺส ได้แก่ พระศาสดา. จริงอยู่ พระศาสดาชื่อว่า
พระธรรมราชา เพราะยังโลกพร้อมทั้งเทวโลก ให้ยินดีด้วยธรรมอันเป็น
โลกิยะ และโลกุตระ ตามสมควร.
ก็ด้วยคำว่า ในศาสนาของพระธรรมราชา นี้ ในคาถานั้น ชื่อว่า
พระนิพพานย่อมมีในศาสนาของพระธรรมราชาเท่านั้น ไม่มีในศาสนาอื่น.
ในคาถานั้น ท่านแสดงว่า ผู้ใดเว้นความเคารพในเพื่อนสพรหม-
จารี ผู้นั้นย่อมเป็นผู้ห่างไกลแม้จากศาสนาของพระธรรมราชา เหมือน
อยู่ห่างไกลจากพระนิพพานฉะนั้น.
บทว่า พโหฺวทเก ได้แก่ ในน้ำมาก.
บทว่า สนฺติเก โหติ นิพฺพานํ ความว่า พระนิพพานย่อมมีอยู่ใน
สำนัก คือในที่ใกล้บุคคลนั้น คำที่เหลือมีนัยดังกล่าวแล้วนั่นแหละ. ก็
คาถาเหล่านี้แหละ เป็นคาถาพยากรณ์พระอรหัตผลของพระเถระ.
จบอรรถกถามหานาคเถรคาถาที่ ๓

167
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๓ – หน้าที่ 168 (เล่ม 52)

๔. กุลลเถรคาถา
ว่าด้วยคาถาของพระกุลลเถระ
[๓๕๐] เราผู้ชื่อว่ากุลละ ไปที่ป่าช้าผีดิบ ได้เห็นซากศพ
หญิงคนหนึ่ง เขาทิ้งไว้ในป่าช้า มีหมู่หนอนฟอนกัดอยู่
ดูก่อนกุลละ ท่านจงดูร่างกายอันกระสับกระส่าย ไม่สะอาด
เป็นของเปื่อยเน่า มีของโสโครกไหลเข้าไหลออกอยู่
อันหมู่คนพาลพากันชื่นชมนัก. เราได้ถือเอาแว่นธรรม
แล้ว ส่องดูร่างกายอันไร้ประโยชน์ทั้งภายในและภาย
นอกนี้ ด้วยการบรรลุญาณทัสสนะ. สรีระเรานี้ฉันใด
ซากศพนั่นก็ฉันนั้น ซากศพนั้นฉันใด สรีระเรานี้ฉันนั้น
ร่างกายเบื้องต่ำฉันใด ร่างกายเบื้องบนก็ฉันนั้น ร่างกาย
เบื้องบนฉันใด ร่างกายเบื้องต่ำก็ฉันนั้น. กลางวันฉันใด
กลางคืนก็ฉันนั้น กลางคืนฉันใด กลางวันก็ฉันนั้น เมื่อ
ก่อนฉันใด ภายหลังก็ฉันนั้น ภายหลังฉันใด เมื่อก่อน
ก็ฉันนั้น. ความยินดีด้วยดนตรีเครื่อง ๕ เช่นนั้น ย่อม
ไม่มีแก่เรา ผู้มีจิตแน่วแน่ พิจารณาเห็นธรรมแจ่มแจ้ง
โดยชอบ.
จบกุลลเถรคาถา

168
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๓ – หน้าที่ 169 (เล่ม 52)

อรรถกถากุลลเถรคาถาที่ ๔
คาถาของท่านพระกุลลเถระ มีคำเริ่มต้นว่า กุลฺโล สิวถิกํ ดังนี้.
เรื่องนั้นมีเหตุเกิดขึ้นอย่างไร ?
แม้พระเถระนี้ก็ได้บำเพ็ญบุญญาธิการไว้ในพระพุทธเจ้าอันมีในกาล
ก่อน ได้ก่อสร้างบุญทั้งหลายไว้ในภพนั้นๆ ในพุทธุปบาทกาลนี้ บังเกิด
ในตระกูลกุฎุมพี ในนครสาวัตถี รู้เดียงสาแล้ว ฟังธรรมในสำนักของ
พระศาสดา ได้ศรัทธาจึงบวช และท่านเป็นผู้มีราคะกล้ามาแต่กำเนิด
เพราะเป็นผู้มีราคะจริต ด้วยเหตุนั้น กิเลสทั้งหลายจึงครอบงำจิตของท่าน
ตั้งอยู่เป็นเนืองนิตย์.
ลำดับนั้น พระศาสดาทรงทราบจิตจริยาของท่าน จึงทรงประทาน
อสุภกรรมฐานแล้วตรัสว่า ดูก่อนกุลละ เธอพึงเที่ยวจาริกไปในป่าช้า
เนืองๆ. ท่านจึงเข้าป่าช้าเห็นอสุภทั้งหลายนั้น ๆ มีศพพองขึ้นเป็นต้น
จึงยังมนสิการถึงอสุภให้เกิดขึ้นในขณะนั้น แต่พอออกจากป่าช้าเท่านั้น
ก็ถูกกามราคะครอบงำเอา. พระศาสดาทรงทราบเรื่องนั้นของเธออีก
วันหนึ่ง ในเวลาที่เธอไปที่ป่าช้า จึงทรงเนรมิตแสดงรูปหญิงวัยรุ่นคนหนึ่ง
ผู้ตายยังไม่นาน มีผิวพรรณยังดีอยู่ พอเธอเห็นรูปหญิงนั้น ก็เกิดราคะ
ขึ้นฉับพลัน เหมือนเกิดราคะในสิ่งที่เป็นวิสภาคซึ่งมีชีวิตอยู่ฉะนั้น.
ลำดับนั้น เมื่อเธอกำลังเพ่งดูอยู่นั้นแล พระศาสดาจึงทรงแสดง
รูปหญิงนั้นให้มีของไม่สะอาดไหลออกจากปากแผลทั้ง ๙ (ทวาร ๙) มีหมู่
หนอนคลาคล่ำ น่ากลัว มีกลิ่นเหม็น น่าเกลียด ปฏิกูลยิ่ง, เธอเพ่งดู
รูปนั้นอยู่ ได้มีจิตคลายกำหนัดแล้ว. ลำดับนั้น พระศาสดาทรงแผ่พระ-
โอภาสแสงสว่างไป เมื่อจะยังสติให้เกิดแก่เธอ จึงตรัสว่า

169
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๓ – หน้าที่ 170 (เล่ม 52)

ดูก่อนกุลละ เธอจงดูร่างกายอันกระสับกระส่าย ไม่
สะอาด เปื่อยเน่า ไหลเข้าไหลออกอยู่ อันหมู่คนพาล
ชื่นชมกันยิ่งนัก.
พระเถระได้ฟังดังนั้น จึงพิจารณาสภาพของสรีระร่าง โดยชอบ
ทีเดียว กลับได้อสุภสัญญา ทำปฐมฌานให้บังเกิดในอสุภสัญญานั้น แล้ว
ทำปฐมฌานนั้นให้เป็นบาท เจริญวิปัสสนาบรรลุพรอรหัตแล้ว พิจารณา
การปฏิบัติของตน จงได้กล่าวคาถาเหล่านี้ด้วยอำนาจอุทาน๑ว่า
เราผู้ชื่อว่ากุสละ ไปป่าช้าผีดิบ ได้เห็นซากศพหญิง
คนหนึ่ง เขาทิ้งไว้ในป่าช้า มีหมู่หนอนฟอนกัดอยู่.
ดูก่อนกุสละ ท่านจงดูร่างกายอันกระสับกระส่าย ไม่
สะอาด เป็นของเปื่อยเน่า มีของโสโครกไหลเข้าไหล
ออกอยู่ อันหมู่คนพาลชื่นชมกันยิ่งนัก. เราได้ถือเอา
แว่นธรรม ส่องดูร่างกายอันไร้ประโยชน์ทั้งภายในและ
ภายนอกนี้ ด้วยการบรรลุญาณทัสสนะ. สรีระของเรานี้
ฉันใด ซากศพนั้นก็ฉันนั้น ซากศพนั่นฉันใด สรีระของ
เรานี้ก็ฉันนั้น. ร่างกายเบื้องต่ำฉันใด ร่างกายเบื้องบน
ก็ฉันนั้น ร่างกายเบื้องบนฉันใด ร่างกายเบื้องต่ำฉันนั้น.
กลางวันฉันใด กลางคืนก็ฉันนั้น กลางคืนฉันใด กลางวัน
ก็ฉันนั้น เมื่อก่อนฉันใด ภายหลังก็ฉันนั้น ภายหลังฉันใด
เมื่อก่อนก็ฉันนั้น. ความยินดีด้วยดนตรีเครื่อง ๕ เช่นนั้น
๑. ขุ. เถร. ๒๖/ข้อ ๓๕๐.

170
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๓ – หน้าที่ 171 (เล่ม 52)

ย่อมไม่มีแก่เราผู้มีจิตแน่วแน่ ผู้พิจารณาเห็นธรรมแจ่ม
แจ้งโดยชอบอยู่.
บรรดาบทเหล่านั้น ด้วยบทว่า กุลฺโล นี้ พระเถระกล่าวถึงเฉพาะ
คน ทำให้เป็นเหมือนคนอื่น.
บทว่า อาตุรํ ได้แก่ ถูกความทุกข์นานัปการบีบคั้นอยู่เนืองนิตย์.
บทว่า อสุจึ ได้แก่ เว้นจากความสะอาด คือน่าเกลียด เป็นของ
ปฏิกูล. บทว่า ปูตึ แปลว่า มีกลิ่นเหม็น.
บทว่า ปสฺส ความว่า จงตรวจดูโดยสภาวะ.
ด้วยบทว่า กุสละ นี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสเรียกพระเถระในเวลา
ประทานโอวาท. แต่ในเวลาเปล่งอุทาน พระเถระพูดกะตนด้วยตนเอง.
บทว่า สมุสฺสยํ ได้แก่ สรีระ. บทว่า อุคฺฆรฺนตํ ได้แก่ มีของ
ไม่สะอาดไหลออกทางปากแผลเบื้องบน. บทว่า ปตฺฆรนฺตํ ได้แก่ และ
มีของไม่สะอาดไหลออกรอบ ๆ ปากแผลเบื้องล่าง.
บทว่า พาลานํ อภินนฺทิตํ ความว่า อันหมู่คนพาลคือพวกอันธ-
ปุถุชน ยึดมั่นชื่นชมว่าเรา ว่าของเรา ด้วยความชื่นชม คือทิฏฐิและ
ตัณหาทั้งหลาย.
บทว่า ธมฺมาทาสํ ได้แก่ แว่นอันล้วนแล้วด้วยธรรม. เหมือน
อย่างว่า สัตว์ทั้งหลายเห็นคุณและโทษ ที่หน้าหรือกายของตน ด้วยแว่น
ฉันใด วิปัสสนาญาณอันเป็นเหตุให้พระโยคาวจรเห็นตามเป็นจริงซึ่งธรรม
คือความเศร้าหมอง และความผ่องแผ้ว ในอัตภาพก็ฉันนั้น ท่านเรียกว่า
ธรรมาทาส แว่นธรรมในที่นี้. ทำวิปัสสนาญาณนั้นให้เกิดขึ้นในสันดาน

171