No Favorites




หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๓ – หน้าที่ 152 (เล่ม 52)

หมดจด เป็นผู้มีฤทธิ์รู้จิตของผู้อื่นแล บรรลุทิพโสต อนึ่ง
เราออกบวชเป็นบรรพชิตเพื่อประโยชน์ใด ประโยชน์นั้น
เราได้บรรลุแล้ว ความสิ้นสังโยชน์ทั้งปวง เราได้บรรลุ
แล้ว.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ทิสฺวาน ปาฏิหีรานิ ความว่า ได้เห็น
ปาฏิหาริย์ ๓,๕๐๐ ประการ มีการทรมานพระยานาคเป็นต้น. จริงอยู่
บทว่าปาฏิหีรํ, ปาฏิเหรํ, ปาฏิหาริยํ. โดยใจความ เป็นอย่างเดียวกัน
ต่างกันแต่พยัญชนะเท่านั้น.
บทว่า ยสสฺสิโน ได้แก่ ผู้มีพระกิตติศัพท์แพร่ไปในโลกพร้อม
ทั้งเทวโลก โดยนัยมีอาทิว่า อิติปิ โส ภควา ดังนี้.
บทว่า น ตาวาหํ ปณิปตึ ความว่า พระผู้มีพระภาคเจ้ายังมิได้
ทรงกำราบเราเพียงใดว่า ดูก่อนกัสสป เธอยังไม่เป็นพระอรหันต์ ทั้งยัง
ไม่บรรลุพระอรหัตมรรค ทั้งเธอก็ยังไม่มีปฏิปทาเครื่องเป็นพระอรหันต์
หรือเครื่องบรรลุพระอรหัตมรรค ดังนี้ เราก็ยังไม่กระทำการนอบน้อม
เพียงนั้น. เพราะเหตุไร ? เพราะเราลวงด้วยความริษยาและมานะ.
อธิบายว่า เป็นผู้ลวง คือหลอกลวงด้วยความริษยาอันมีลักษณะไม่อดทน
คือสมบัติของผู้อื่นอย่างนี้ว่า เมื่อเรายอมเข้าเป็นสาวกของท่านผู้นี้ เราก็จัก
เสื่อมลาภสักการะ ลาภสักการะจักเพิ่มพูนแก่ท่านผู้นี้ และด้วยมานะมี
ลักษณะยกตนอย่างนี้ว่า เราเป็นผู้อันชนจำนวนมากสมมติให้เป็นหัวหน้า
คณะ.
บทว่า มยฺหํ สงฺกปฺปมญฺญาย ความว่า ทรงทราบความดำริผิด
ของเรา คือ แม้ทรงทราบความดำริผิดซึ่งเราได้เห็นปาฏิหาริย์ที่พระผู้มี-
พระภาคเจ้าทรงแสดงจากอุตริมนุสธรรม แม้คิดว่า มหาสมณะมีฤทธิ์มาก

152
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๓ – หน้าที่ 153 (เล่ม 52)

มีอานุภาพมาก ก็ยัง (มีมิจฉาวิตก) เป็นไปอย่างนี้ว่า ยังไม่เป็นพระ-
อรหันต์เหมือนเรา ก็ทรงรอความแก่กล้าของญาณจึงทรงวางเฉย ภายหลัง
ทรงทำน้ำให้แห้งโดยรอบ ๆ ตรงกลางแม่น้ำเนรัญชรา เสด็จจงกรมที่พื้น
อันฟุ้งด้วยละอองธุลี แล้วประทับยืนในเรือที่ชฎิลนั้นนำมา แม้ในกาลนั้น
ก็ทรงรู้ความดำริผิดที่เราคิดมีอาทิว่า เป็นผู้มีฤทธิ์ ดังนี้ ก็ยังประกาศว่า
ยังไม่เป็นพระอรหันต์เหมือนเรา.
บทว่า โจเทสิ นรสารถี ความว่า ในกาลนั้น พระศาสดาผู้เป็น
สารถีฝึกบุรุษทรงทราบความแก่กล้าแห่งญาณของเราแล้ว จึงทรงทักท้วง
คือข่มเรา โดยนัยมีอาทิว่า ท่านยังไม่เป็นพระอรหันต์เลย ดังนี้.
บทว่า ตโต เม อาสิ สํเวโค อพฺภุโต โลมหํสโน ความว่า
แต่นั้น คือเพราะการทักท้วงตามที่กล่าวแล้ว เป็นเหตุเกิดความสลดใจ คือ
เกิดญาณความรู้พร้อมทั้งความเกรงกลัวบาปอันชื่อว่าไม่เคยเป็น เพราะไม่
เคยมีมาก่อนตลอดกาลมีประมาณเท่านี้ ชื่อว่าชนลุกชูชัน เพราะเป็นไป
โดยอำนาจขนพองสยองเกล้า ได้มีแก่เราว่า เราไม่ได้เป็นพระอรหันต์เลย
สำคัญว่าเป็นพระอรหันต์.
บทว่า ชฏิลสฺส แปลว่า เป็นดาบส.
บทว่า สิทฺธิ ได้แก่ มั่งคั่งด้วยลาภสักการะ.
บทว่า ปริตฺติกา แปลว่า มีประมาณน้อย.
บทว่า ตาหํ ตัดเป็น ตํ อหํ.
บทว่า ตทา ได้แก่ ในเวลาเกิดความสลดใจ ด้วยการทักท้วง
ของพระผู้มีพระภาคเจ้า.

153
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๓ – หน้าที่ 154 (เล่ม 52)

บทว่า นิรากตฺวา ได้แก่ นำออกไป คือทิ้งไป อธิบายว่า เป็น
ผู้ไม่ห่วงใย.
บางอาจารย์กล่าวว่า บทว่า อิทฺธิ ได้แก่ ฤทธิ์อัน สำเร็จด้วยการ
เจริญภาวนา. คำนั้นไม่ถูก เพราะในเวลานั้นอุรุเวลกัสสปยังไม่ได้ฌาน.
จริงอย่างนั้น ท่านจึงกล่าวว่า ห้อมล้อมด้วยกามารมณ์.
บทว่า ยญฺเญน สนฺตุฏฺโฐ ความว่า ยินดี คือสำคัญกิจที่เสร็จ
แล้ว ด้วยการบูชายัญ โดยเข้าใจว่า เราบูชายัญแล้วจักได้เสวยสุขใน
สวรรค์ ได้การละด้วยการบูชายัญมีประมาณเท่านี้.
บทว่า กามธาตุปุรกฺขโต ความว่า ผู้มีความอยากอันปรารภกาม-
สุคติเกิดขึ้น คือมุ่งกามโลก อยู่ด้วยการบูชายัญ. หากว่ายัญนั้นประกอบ
พร้อมด้วยปาณาติบาต ใคร ๆ ไม่อาจได้สุคติด้วยยัญนั้น จริงอยู่ อกุศล
ไม่บังเกิดผลอันน่าปรารถนา น่าพึงใจ แต่เมื่อกุศลเจตนามีทานเป็นต้นมี
อยู่ในยัญนั้น บุคคลพึงไปสู่สุคติได้ เพราะปัจจัยประชุมกัน.
บทว่า ปจฺฉา ได้แก่ ในกาลภายหลังจากการบวชเป็นดาบส คือ
ในกาลที่ละลัทธิดาบสแล้ว ประกอบกรรมฐานอันสัมปยุตด้วยสัจจะ ๔
ตามพระโอวาทของพระศาสดา.
บทว่า สมูหนึ ความว่า เราบำเพ็ญวิปัสสนาแล้วถอนได้สิ้นเชิง.
ฟังราคะ โทสะ โมหะ โดยลำดับมรรค.
ก็เพราะเหตุที่พระเถระนี้ ถอนราคะเป็นต้นได้ด้วยอริยมรรคนั่น
แหละ. ได้เป็นผู้มีอภิญญา ๖ ฉะนั้น เมื่อจะแสดงว่าตนมีอภิญญา ๖ จึง
กล่าวคำว่า ปุพฺเพนิวาสํ ชานามิ ดังนี้เป็นต้น .
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ปุพฺเพนิวาสํ ชานามิ ความว่า เรารู้

154
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๓ – หน้าที่ 155 (เล่ม 52)

คือตรัสรู้โดยประจักษ์ ซึ่งขันธปัญจกที่เคยอาศัยอยู่ในกาลก่อนของตนและ
ของคนอื่น คือขันธ์ที่บังเกิดแล้วและสภาวะที่เนื่องด้วยขันธ์ในอดีตชาติ
ทั้งหลาย ด้วยปุพเพนิวาสญาณ เหมือนรู้ผลมะขามป้อมบนฝ่ามือ.
บทว่า ทิพฺพจกฺขุ วิโสธิตํ ความว่า เราชำระทิพยจักษุญาณให้
หมดจด คือเราได้ญาณอันสามารถทำรูปทั้งเป็นของทิพย์ทั้งเป็นของมนุษย์
ซึ่งอยู่ไกล อยู่ภายนอกฝา และอันละเอียดยิ่ง ให้เเจ่มแจ้ง ดุจรูปตาม
ปกติอันประจวบเข้า ด้วยนัยน์ตาตามปกติ โดยทำให้บริสุทธิ์ด้วยการ
เจริญภาวนา.
บทว่า อิทฺธิมา ได้แก่ ผู้มีฤทธิ์ด้วยฤทธิ์ทั้งหลายมีอธิษฐานฤทธิ์
และวิกุพพนฤทธิ์ (การแผลงฤทธิ์) เป็นต้น อธิบายว่า เป็นผู้ได้ญาณอัน
แสดงฤทธิ์ได้ต่าง ๆ. ชื่อว่าผู้รู้จิตของคนอื่น เพราะรู้จิตของคนอื่นอัน
ต่างด้วยจิตมีราคะเป็นต้น ท่านอธิบายไว้ว่า เป็นผู้ได้เจโตปริยญาณ ญาณ
กำหนดรู้จิตของผู้อื่น.
บทว่า ทิพฺพโสตญฺจ ปาปุณึ ความว่า และได้ทิพโสตญาณ.
บทว่า โส เม อตฺโถ อนุปฺปตโต สพฺพสํโยชนกฺขโย ความว่า
ประโยชน์อันเป็นตัวสิ้นไป หรือจะพึงได้ด้วยความสิ้นไปแห่งสังโยชน์
ทั้งปวง คือทั้งประโยชน์ตนและประโยชน์ของตนอื่น เราได้บรรลุแล้ว
ด้วยการบรรลุอริยมรรค. พึงทราบว่า พระเถระพยากรณ์พระอรหัตด้วย
คาถานี้ ด้วยประการอย่างนี้.
จบอรรถกถาอุรุเวลกัสสปเถรคาถาที่ ๑

155
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๓ – หน้าที่ 156 (เล่ม 52)

๒. เตกิจฉกานิเถร๑คาถา
ว่าด้วยคาถาของพระเตกิจฉกานิเถระ
มารกล่าวว่า
[๓๔๘] ข้าวเปลือกเขาเก็บเข้ายุ้งฉางเสียแล้ว ข้าวสาลียังอยู่
ในลาน เราไม่พึงได้แม้ก้อนข้าว บัดนี้ จักทำอย่างไร.
พระเถระกล่าวว่า
ท่านจงระลึกถึงพระพุทธเจ้า ผู้มีพระคุณหาประมาณ
มิได้ จักมีใจเลื่อมใส เป็นผู้มีสรีระอันปีติถูกต้องแล้ว มี
จิตเบิกบานแล้วเนือง ๆ ท่านจงระลึกถึงพระธรรม อันมี
คุณหาประมาณมิได้ จักมีใจเลื่อมใส เป็นผู้มีสรีระอันปีติ
ถูกต้องแล้ว มีจิตเบิกบานแล้วเนือง ๆ ท่านจงระลึกถึง
พระสงฆ์ผู้มีคุณหาประมาณมิได้ จักมีใจเลื่อมใส เป็น
ผู้มีสรีระอันปีติถูกต้องแล้ว มีจิตเบิกบานแล้วเนือง ๆ.
มารกล่าวว่า
ท่านอยู่ในที่แจ้ง ฤดูนี้เป็นฤดูหนาว ท่านอย่าถูก
ความหนาวครอบงำลำบากเลย นิมนต์ท่านเข้าไปสู่ที่อยู่
อันมีบานประตูและหน้าต่างมิดชิดเถิด.
ลำดับนั้น พระเถระกล่าวว่า
เราจักเจริญอัปปมัญญา ๔ และจักมีความสุขอยู่ด้วย
อัปปมัญญาเหล่านั้น เราจักเป็นผู้ไม่หวั่นไหวไม่ลำบาก
ด้วยความหนาว.
จบเตกิจฉกานิเถรคาถา
๑. อรรถกถาว่า เตกิจฉการีเถระ.

156
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๓ – หน้าที่ 157 (เล่ม 52)

อรรถกถาเตกิจฉการีเถร๑คาถาที่ ๒
คาถาของท่านพระเตกิจฉการีเถระ มีคำเริ่มต้นว่า อติหิตา วีหิ
ดังนี้. เรื่องนั้นมีเหตุเกิดขึ้นอย่างไร ?
แม้พระเถระก็ได้กระทำบุญญาธิการไว้ในพระพุทธเจ้าปางก่อนทั้ง-
หลาย สั่งสมบุญไว้ในภพนั้น ๆ ในกัปที่ ๙๑ แต่ภัทรกัปนี้ ในกาล
แห่งพระผู้มีพระภาคเจ้าพระนามว่าวิปัสสี บังเกิดในเรือนของตระกูล
รู้เดียงสาแล้วก็ได้สำเร็จเวชศาสตร์ ได้กระทำพระเถระนามว่า อโสกะ
ผู้เป็นอุปัฏฐากของพระผู้มีพระภาคเจ้าวิปัสสี ซึ่งอาพาธให้หายโรค. และ
ได้ปรุงยาให้แก่สัตว์เหล่าอื่นผู้ถูกโรคครอบงำ ด้วยความอนุเคราะห์.
ด้วยบุญกรรมนั้น เขาท่องเที่ยวไปในเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย ใน
พุทธุปบาทกาลนี้ บังเกิดเป็นบุตรของพราหมณ์ ชื่อว่า สุพุทธะ. ญาติ
ทั้งหลายตั้งชื่อว่า เตกิจฉการี เพราะในเวลาที่เขาอยู่ในครรภ์ พวกหมอ
ได้พากันบริบาลรักษาให้ปราศจากอันตราย.
เขาศึกษาวิชาและศิลปอันสมควรแก่ตระกูลของตน จึงเจริญอยู่.
ในกาลนั้นพราหมณ์จาณักกะ ได้เห็นความเฉียบแหลมแห่งปัญญา และ.
ความฉลาดในอุบายในการกระทำต่าง ๆ ของสุพุทธพราหมณ์ ถูกความ
ริษยาครอบงำว่า สุพุทธะนี้ได้ที่พึ่งในราชสกุลนี้ จะพึงข่มขี่เรา จึงให้
พระเจ้าจันทคุตต์จับเขาขังในเรือนจำ.
นายเตกิจฉการี ได้ฟังว่าบิดาถูกขังในเรือนจำก็กลัว จึงหนีไปยัง
สำนักของพระสาณวาสีเถระ เล่าเหตุการณ์อันน่าสลดใจของตนแก่พระเถระ
แล้วบวชเรียนพระกัมมัฏฐาน เป็นผู้ถือการอยู่กลางแจ้งเป็นวัตร และถือ
๑. บาลีว่า เตกิจฉกานิเถระ.

157
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๓ – หน้าที่ 158 (เล่ม 52)

การนั่งเป็นวัตรอยู่ ไม่ย่นย่อต่อความหนาวและความร้อน กระทำแต่
สมณธรรมเท่านั้น โดยพิเศษ หมั่นประกอบพรหมวิหารภาวนา.
มารผู้มีบาปเห็นดังนั้นจึงคิดว่า เราจักไม่ให้สมณะนี้ล่วงพ้นวิสัย
ของเราไปได้ ประสงค์จะทำให้ฟุ้งซ่าน ในเวลาเสร็จ (การทำ) ข้าวกล้า
จึงแปลงเพศเป็นคนเฝ้านา เข้าไปหาพระเถระ เพื่อจะเยาะเย้ยท่านจึง
กล่าวว่า
ข้าวเปลือกเขาเก็บเข้ายุ้งฉางเสียแล้ว ข้าวสาลีก็ยัง
อยู่ในลาน เราไม่พึงได้แม้แต่ก้อนข้าว บัดนี้ จักทำ
อย่างไร.
พระเถระได้ฟังดังนั้นจึงกล่าวว่า
ท่านจงระลึกถึงพระพุทธเจ้าผู้มีพระคุณหาประมาณ
มิได้ จักมีความเลื่อมใส เป็นผู้มีสรีระอันปีติถูกต้องแล้ว
มีจิตเบิกบานแล้วเนือง ๆ ท่านจงระลึกถึงพระธรรมอันมี
คุณหาประมาณมิได้...ฯลฯ... ท่านจงระลึกถึงพระสงฆ์ผู้
มีคุณอันหาประมาณมิได้ จักมีใจเลื่อมใส เป็นผู้มีสรีระ
อันปีติถูกต้องแล้ว มีจิตเบิกบานแล้วเนือง ๆ.
มารได้ฟังดังนั้นจึงกล่าวว่า
ท่านอยู่ในที่แจ้ง ฤดูนี้เป็นฤดูหนาว ท่านอย่าถูก
ความหนาวครอบงำลำบากเลย นิมนต์ท่านเข้าไปยังที่อยู่
อันมีบานประตูและหน้าต่างมิดชิดเถิด.

158
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๓ – หน้าที่ 159 (เล่ม 52)

ลำดับนั้น พระเถระจึงกล่าวว่า
เราจักเจริญอัปปมัญญา ๔ และจักมีความสุขอยู่
ด้วยอัปปมัญญา ๔ เหล่านั้น เราจักเป็นผู้ไม่หวั่นไหว ไม่
ลำบากด้วยความหนาว.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อติหิตา วีหิ ความว่า ข้าวเปลือกที่
เขานำไปเก็บไว้ยังยุ้งฉาง อธิบายว่า เก็บงำไว้ในยุ้งฉางนั้น หรือนำจาก
ในมายังเรือน. ก็ในที่นี้ ท่านสงเคราะห์เอาธัญญาหารแม้อย่างอื่น ด้วย
วีหิ ศัพท์. ส่วนข้าวสาลีโดยมากสุกทีหลังข้าวเปลือก ด้วยเหตุนั้น ท่าน
จึงกล่าวว่า ข้าวสาลียังอยู่ในลาน อธิบายว่า ไปสู่ลาน คือสถานที่เป็น
ที่นวดข้าว ได้แก่วางไว้ที่ลานนั้น โดยลอมเป็นกอง โดยการนวดและการ
เคลื่อนย้ายไปเป็นต้น. ท่านแสดงว่า ก็ในที่นี้ เพื่อจะแสดงความที่ข้าว
เปลือกเป็นประธาน จึงถือเอาข้าวสาลีแยกเป็นส่วนหนึ่งต่างหาก. แม้ด้วย
ข้าวทั้งสองนั้น ธัญชาติก็ตั้งอยู่เต็มทั้งในบ้านและภายนอกบ้าน.
บทว่า น จ ลเภ ปิณฺฑํ ความว่า มารได้ทำการหัวเราะเยาะว่า ใน
เมื่อธัญญาหารหาได้ง่ายอย่างนี้ คือ ในเวลามีภิกษาดี แม้มาตรว่าก้อน
ข้าว เราก็จักไม่ได้ บัดนี้ เราจักการทำอย่างไร อธิบายว่า เราจักทำ
อย่างไร คือจักเลี้ยงชีพอยู่ได้อย่างไร.
พระเถระได้ฟังดังนั้นจึงคิดว่า คนผู้น่าสงสารนี้ ประกาศประวัติ
ของตนด้วยตนแก่เรา ส่วนเราควรโอวาทตนด้วยตนเอง ไม่ควรพูดอะไรๆ
เมื่อจะแนะนำตนเข้าไปในการระลึกถึงวัตถุทั้ง ๓ คือ พระพุทธ พระ-
ธรรม พระสงฆ์ จึงได้กล่าวคาถา ๓ คาถา โดยนัยมีอาทิว่า พระพุทธ-
เจ้ามีพระคุณหาประมาณมิได้ ดังนี้.

159
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๓ – หน้าที่ 160 (เล่ม 52)

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า พุทฺธมปฺปเมยฺยํ อนุสฺสร ปสนฺโน
ความว่า พระผู้มีพระภาคเจ้า ชื่อว่า พุทธะ เพราะไปปราศเด็ดขาดจาก
ความหลับ คืออวิชชาพร้อมทั้งวาสนา และเพราะเบิกบานแล้วด้วย
ความรู้ ชื่อว่า ผู้มีพระคุณหาประมาณมิได้ เพราะไม่มีกิเลสมีราคะเป็นต้น
อันเป็นเครื่องกระทำประมาณ เพราะเป็นผู้เพียบพร้อมด้วยพระคุณหา
ประมาณมิได้ และเพราะเป็นเนื้อนาบุญอันหาประมาณไม่ได้. มีความ
เลื่อมใส คือมีใจเลื่อมใสด้วยความเลื่อมใสยิ่ง อันมีความเชื่อเป็นลักษณะ
จงระลึกถึง คือจงยังสติอันมีพระพุทธเจ้าเป็นอารมณ์ ให้เป็นไปเนือง ๆ
โดยนัยมีอาทิว่า แม้เพราะเหตุนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้นเป็น
พระอรหันต์ ตรัสรู้ด้วยพระองค์เองโดยชอบ ท่านจักเป็นผู้มีสรีระอัน
ปีติถูกต้องแล้ว.
บทว่า สตตมุทคฺโค ความว่า ท่านเมื่อระลึกถึงอยู่นั่นแล เป็น
ผู้มีสรีระ อันปีติซึ่งมีลักษณะซาบซ่านถูกต้องแล้วเนือง ๆ คือทุก ๆ กาล
คือเป็นผู้มีสรีระถูกท่วมทับด้วยรูปอันประณีตซึ่งมีปีติเป็นสมุฏฐาน พึงมีใจ
เบิกบานด้วยอุเพงคาปีติ และสามารถทำการให้ลอยขึ้นสู่อากาศได้ พึง
เสวยปีติและโสมนัสอันยิ่ง มีพระพุทธเจ้าเป็นอารมณ์ ด้วยพุทธานุสสติ
อันเป็นเหตุจักไม่ให้แม้แต่ความหิวและความกระหายครอบงำได้ ประดุจ
ความหนาวและร้อนครอบงำไม่ได้ฉะนั้น.
บทว่า ธมฺมํ ได้แก่โลกุตรธรรมอันประเสริฐ.
บทว่า สงฺฆํ ได้แก่พระสงฆ์ผู้บรรลุประโยชน์อย่างยิ่ง ซึ่งเป็น
อริยสงฆ์. คำที่เหลือมีนัยดังกล่าวนั่นแล.

160
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๓ – หน้าที่ 161 (เล่ม 52)

ก็ในบทว่า อนุสฺสร นี้ พึงประกอบความว่า จงระลึกถึงพระ-
ธรรมโดยนัยมีอาทิว่า พระธรรมอันพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ดีแล้ว และ
ระลึกถึงพระสงฆ์โดยนัยมีอาทิว่า พระสงฆ์สาวกของพระผู้มีพระภาคเจ้า
ปฏิบัติดีแล้ว.
เมื่อพระเถระโอวาทตนด้วยการชักนำเข้าในการระลึกถึงคุณพระ-
รัตนตรัยอย่างนี้แล้ว มารประสงค์จะให้พระเถระนั้นสงัดโดยการอยู่สงัดอีก
เมื่อจะแสดงคนประหนึ่งว่านี้หวังดี จึงกล่าวคาถาที่ ๑ ว่า จงอยู่ในที่แจ้ง
ดังนี้.
คาถานั้นมีเนื้อความว่า ภิกษุ ท่านจงอยู่ คือสำเร็จอิริยาบถอยู่ที่
เนินกลางแจ้ง อันอะไร ๆ ไม่ปิดบัง.
ราตรีหนาวเย็นนี้ นับเนื่องในสมัยหิมะตก กำลังดำเนินไปอยู่ ชื่อว่า
ฤดูหนาว. เพราะฉะนั้น ท่านอย่าถูกความหนาวครอบงำลำบากเลย คือ
อย่าได้ความคับแค้น อย่าลำบาก. ท่านจงเข้าไปยังเสนาสนะอันมีบาน-
ประตูและบานหน้าต่างอันมิดชิด คือมีบานประตูหน้าต่างอันปิดแล้ว ท่าน
จักอยู่เป็นสุขด้วยประการอย่างนี้.
พระเถระได้ฟังดังนั้น เมื่อจะแสดงว่า เราไม่มีประโยชน์ในการ
แสวงหาเสนาสนหะ เฉพาะในที่นี้ เรากอยู่สบาย จึงกล่าวคาถาที่ ๖ โดย
นัยมีอาทิว่า เราจักเจริญ ดังนี้.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ผุสิสฺสํ จตสฺโส อปฺปมญฺญาโย
ความว่า เราจักเจริญ คือจักเข้าตามกาลอันควร ซึ่งพรหมวิหาร
ที่ได้ชื่อว่าอัปปมัญญา เพราะมีอารมณ์หาประมาณมิได้.

161