No Favorites




หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๓ – หน้าที่ 142 (เล่ม 52)

เป็นต้นอย่างใดอย่างหนึ่ง ชื่อว่าเป็นบัณฑิตเพราะอรรถที่กล่าวแล้ว คำที่
เหลือมีนัยดังกล่าวแล้วนั่นแล.
บทว่า พหุสฺสุโต ความว่า ชื่อว่าเป็นพหูสูต ด้วยอำนาจความเป็น
พหูสูตในทางปริยัติ ชื่อว่า พหุสสุตะ เพราะได้สดับสุตตะและเคยยะ
เป็นต้นมาก และชื่อว่าทรงไว้ซึ่งธรรม เพราะทรงธรรมนั้นนั่นแหละไว้
ไม่ให้พินาศไป เหมือนน้ำมันเหลวแห่งราชสีห์ ที่เขาใส่ไว้ในภาชนะ
ทองคำฉะนั้น.
บทว่า ธมฺมสฺส โหติ อนุธมฺมจารี ความว่า ชื่อว่าประพฤติ
ธรรมสมควรแก่ธรรม เพราะรู้อรรถรู้ธรรม ตามที่ฟังมา ตามที่เรียนมา
แล้วประพฤติ คือปฏิบัติธรรมอันสมควรแก่โลกุตรธรรม ๙ ธรรมต่าง
ด้วยปาริสุทธิศีล ธุดงค์และอสุภกรรมฐานเป็นต้น กล่าวคือปุพพภาค-
ปฏิปทา คือประพฤติหวังการแทงตลอดว่า วันนี้ วันนี้แหละ ดังนี้.
บทว่า โส ตาทิโส นาม จ โหติ ปณฺฑิโต ความว่า บุคคลใด
เป็นพหูสูต ทรงธรรมและประพฤติธรรมสมควรแก่ธรรม เพราะอาศัย
ครูใด บุคคลผู้นั้นแลเป็นผู้เช่นนั้น คือเป็นเสมือนกับครูนั้น ชื่อว่าเป็น
บัณฑิต เพราะมีภาวะแห่งการปฏิบัติเหมือนกัน.
ก็ข้อที่บุคคลผู้เป็นเช่นนั้น พึงเป็นผู้วิเศษเพราะรู้ธรรมทั้งหลุดนั้น
มีเนื้อความกล่าวไว้แล้วแล.
บทว่า อตฺถญฺจ โย ชานาติ ภาสิตสฺส ความว่า บุคคลใด ย่อม
รู้อรรถแห่งพระปริยัติธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสแล้ว ก็เมื่อรู้ ย่อม
รู้อรรถตามที่กล่าวแล้วในธรรมนั้น ๆ ว่า ศีล ตรัสไว้ในที่นี้ สมาธิ ตรัส

142
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๓ – หน้าที่ 143 (เล่ม 52)

ไว้ในที่นี้ ปัญญา ตรัสไว้ที่นี้ ดังนี้ แล้วการทำโดยประการนั้น คือย่อม
ปฏิบัติตามที่พระศาสดาทรงพร่ำสอน.
บทว่า อตฺถนฺตโร นาม ส โหติ ปณฺฑิโต ความว่า บุคคลนั้น
คือเห็นปานนั้น เป็นผู้อยู่ภายในแห่งเหตุผล กระทำเหตุเพียงการรู้เหตุผล
ศีลเป็นต้นเท่านั้น เพราะเหตุแห่งผล ย่อมชื่อว่าเป็นบัณฑิต คำที่เหลือ
มีนัยดังกล่าวแล้วนั่นแล.
ก็ในคาถาเหล่านี้ ด้วยคาถาต้น ท่านกล่าวถึงความเป็นผู้วิเศษอันมี
ศรัทธาเป็นอุปนิสัย โดยนัยมีอาทิว่า โย เว ครูนํ ดังนี้. ด้วยคาถาที่ ๒
ท่านกล่าวถึงความเป็นผู้วิเศษอันมีวิริยะเป็นอุปนิสัย โดยนัยมีอาทิว่า ยํ
อาปทา ดังนี้. ด้วยคาถาที่ ๓ ท่านกล่าวถึงความเป็นผู้วิเศษอันมีสมาธิ
เป็นอุปนิสัย โดยนัยมีอาทิว่า โย เว สมุทฺโทว  ิโต ดังนี้. ด้วยคาถา
ที่ ๔ ท่านกล่าวถึงความเป็นผู้วิเศษอันมีสติเป็นอุปนิสัย โดยนัยมีอาทิว่า
พหุสฺสุโต ดังนี้. ด้วยคาถาที่ ๕ พึงทราบว่า ท่านกล่าวถึงความเป็น
ผู้วิเศษอันมีปัญญาเป็นอุปนิสัย โดยนัยมีอาทิว่า อตฺถญฺจ โย ชานาติ
ดังนี้.
จบอรรถกถาโกสิยเถรคาถาที่ ๑๒
จบปรมัตถทีปนี
อรรถกถาขุททกนิกาย เถรคาถา
ปัญจกนิบาต

143
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๓ – หน้าที่ 144 (เล่ม 52)

เถรคาถา ฉักกนิบาต
๑. อุรุเวลกัสสปเถรคาถา
ว่าด้วยคาถาของพระอุรุเวลกัสสปเถระ
[๓๔๗] เรายังไม่เห็นปาฏิหาริย์ของพระโคดมผู้เรืองยศ
เพียงใด เราก็ยังเป็นคนลวงโลกด้วยความริษยาและมานะ
ไม่นอบน้อมเพียงนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้เป็นสารถีฝึก
นรชน ทรงทราบความดำริของเรา ทรงตักเตือนเรา
ลำดับนั้น ความสลดใจได้เกิดแก่เรา เกิดความอัศจรรย์
ใจ ขนลุกชูชัน ความสำเร็จอันเล็กน้อยของเราผู้เป็นชฎิล
เคยมีอยู่ในก่อน เราได้สละความสำเร็จอันนั้นแล้ว บวช
ในศาสนาของพระชินเจ้า เมื่อก่อน เรายินดีการบูชายัญ
ห้อมล้อมด้วยกามารมณ์ ภายหลัง เราถอนราคะ โทสะ
และโมหะได้แล้ว เรารู้ขันธปัญจกอันอาศัยอยู่ในกาลก่อน
ชำระทิพยจักษุหมดจด เป็นผู้มีฤทธิ์ รู้จิตของผู้อื่น และ
บรรลุทิพโสต อนึ่ง เราออกบวชเป็นบรรพชิต เพื่อประ-
โยชน์ใด ประโยชน์นั้นเราได้บรรลุแล้ว ความสิ้นไป
แห่งสังโยชน์ทั้งปวงเราได้บรรลุแล้ว.
จบอุรุเวลกัสสปเถรคาถา

144
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๓ – หน้าที่ 145 (เล่ม 52)

อรรถกถาฉักกนิบาต
อรรถกถาอุรุเวลกัสสปเถรคาถาที่ ๑
ในฉักกนิบาต คาถาของท่านพระอุรุเวลกัสสปเถระ มีคำเริ่มต้น
ว่า ทิสฺวาน ปาฏิหีรานิ ดังนี้. เรื่องนั้นมีเหตุเกิดขึ้นอย่างไร.
แม้พระเถระนี้ก็เป็นผู้มีบุญญาธิการ อันได้กระทำไว้ในพระพุทธเจ้า
ในปางก่อนทั้งหลาย ก่อสร้างกุศลอันเป็นอุปนิสัยแก่พระนิพพาน
ในภพนั้น ๆ ในกาลแห่งพระผู้มีพระภาคเจ้า พระนามว่าปทุมุตตระ ได้
บังเกิดในเรือนของตระกูล ถึงความเจริญวัย ฟังธรรมในสำนักของพระ-
ศาสดา ได้เห็นพระศาสดาทรงตั้งภิกษุรูปหนึ่งไว้ในตำแหน่งผู้เลิศแห่ง
บริษัทใหญ่ แม้ตนเองก็ปรารถนาฐานันดรนั้น จึงได้ถวายมหาทานแล้ว
กระทำความปรารถนาไว้. ฝ่ายพระผู้มีพระภาคเจ้าได้ทรงเห็นว่าความ
ปรารถนาของเขาไม่มีอันตราย จึงทรงพยากรณ์ว่าในอนาคตกาล เขาจัก
เป็นเลิศแห่งบริษัทหมู่ใหญ่ในศาสนาของพระโคดมพุทธเจ้า.
เขากระทำบุญในชาตินั้นจนตลอดอายุ จุติจากชาตินั้นแล้วท่องเที่ยว
ไปในเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย ในที่สุด ๙๒ กัปแต่ภัทรกัปนี้ บังเกิด
เป็นน้องชายต่างมารดากันกับพระผู้มีพระภาคเจ้าพระนามว่าปุสสะ เขามี
น้องชายแม้อื่นอีก ๒ คน พี่น้องแม้ทั้ง ๓ คนนั้น บูชาพระสงฆ์มีพระพุทธ-
เจ้าเป็นประธานด้วยการบูชาอย่างยิ่ง การทำกุศลตลอดชั่วอายุ ท่องเที่ยว
ไปในเทวดาและมนุษย์ ก่อนที่พระผู้มีพระภาคเจ้าของเราทั้งหลายจะอุบัติ
(เขา) เกิดเป็นพี่น้องชายกันโดยลำดับ ในตระกูลพราหมณ์ในกรุงสาวัตถี
แม้ทั้ง ๓ คนก็มีนามว่ากัสสปทั้งนั้นเนื่องด้วยโคตร.

145
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๓ – หน้าที่ 146 (เล่ม 52)

พี่น้องทั้ง ๓ นั้นเติบโตแล้วก็เล่าเรียนไตรเพท. บรรดาพี่น้องชาย
ทั้ง ๓ นั้น พี่ชายคนโตมีมาณพเป็นบริวาร ๕๐๐ คนกลาง ๓๐๐ คน
เล็ก ๒๐๐. พี่น้องทั้ง ๓ นั้น ตรวจดูสาระในคัมภีร์ของตน เห็นแต่
ประโยชน์ปัจจุบันเท่านั้น จึงชอบการบวช. บรรดาพี่น้องทั้ง ๓ นั้น
พี่ชายคนโตพร้อมกับบริวารของตน ไปยังตำบลอุรุเวลาบวชเป็นฤๅษี จึง
มีชื่อว่า อุรุเวลากัสสป น้องชายที่บวชอยู่ ณ โค้งแม่น้ำมหาคงคา จึงมี
ชื่อว่า นทีกัสสป น้องชายผู้ที่บวชอยู่ ณ คยาสีสประเทศ จึงมีชื่อว่า
คยากัสสป.
เมื่อพี่น้องทั้ง ๓ นั้นบวชเป็นฤาษี อยู่ในที่นั้น ๆ อย่างนี้แล้ว เมื่อ
วันเวลาล่วงไปเป็นอันมาก พระโพธิสัตว์ของเราทั้งหลายเสด็จออกมหา-
ภิเนษกรมณ์ ทรงรู้แจ้งแทงตลอดพระสัพพัญญุตญาณ ทรงประกาศพระ-
ธรรมจักรไปโดยลำดับ ทรงให้พระเบญจวัคคีย์เถระดำรงอยู่ในพระอรหัต
ทรงแนะนำสหาย ๕๕ คนมียสะเป็นประธาน แล้วทรงส่งพระอรหันต์ ๖๐
องค์ ไปด้วยพระดำรัสมีว่า ภิกษุทั้งหลาย พวกเธอจงเที่ยวจาริกไป ดังนี้
เป็นต้น แล้วทรงแนะนำภัตทวัคคียกุมาร แล้วเสด็จไปยังที่อยู่ของอุรุเวล-
กัสสป เสด็จเข้าไปยังโรงบูชาไฟเพื่อจะประทับอยู่ ทรงแนะนำอุรุเวล-
กัสสปพร้อมทั้งบริษัท ด้วยปาฏิหาริย์ ๓,๕๐๐ ประการ มีการทรมาน
พระยานาคที่อยู่ในที่นั้นเป็นต้น แล้วทรงให้บรรพชา. ฝ่ายน้องชายทั้งสอง
รู้ว่าอุรุเวลกัสสปนั้นบวชแล้วพร้อมทั้งบริวาร พากันมาบวชในสำนักของ
พระศาสดา. ทั้งหมดนั่นแหละได้เป็นเอหิภิกขุ ทรงบาตรและจีวรอัน
สำเร็จด้วยฤทธิ์.
พระศาสดาทรงพาสมณะ ๑,๐๐๐ รูปนั้น ไปยังคยาสีสประเทศ แล้ว

146
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๓ – หน้าที่ 147 (เล่ม 52)

ประทับนั่งบนหินดาด ให้สมณะทั้งหมดดำรงอยู่ในพระอรหัต ด้วยอาทิตต-
ปริยายสูตรเทศนา. ด้วยเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวไว้ในอปทาน๑ว่า
ในกัปที่แสนแต่กัปนี้ พระพิชิตมารนามว่า ปทุมุตตระ
ผู้รู้แจ้งโลกทั้งปวง เป็นนักปราชญ์มีจักษุ ได้เสด็จอุบัติ
ขึ้นแล้ว พระองค์เป็นผู้ตรัสสอน ทรงแสดงให้สัตว์
รู้ชัด ได้ยังสรรพสัตว์ให้ข้ามพ้นวัฏสงสาร ฉลาดใน
เทศนา เป็นผู้เบิกบาน ทรงช่วยประชุมชนให้ข้ามพ้นไป
เป็นอันมาก พระองค์เป็นผู้อนุเคราะห์ ประกอบด้วย
พระกรุณาแสวงหาประโยชน์ให้สรรพสัตว์ ยังเดียรถีย์ที่
มาเฝ้าให้ดำรงอยู่ในเบญจศีลได้ทุกคน เมื่อเป็นเช่นนี้
พระศาสนาจึงไม่มีความอากูล ว่างสูญจากเดียรถีย์ วิจิตร
ด้วยพระอรหันต์ผู้คงที่ มีความชำนิชำนาญ พระมหามุนี
พระองค์นั้น สูงประมาณ ๕๘ ศอก มีพระฉวีวรรณงามดุจ
ทองคำอันล้ำค่า มีพระลักษณะอันประเสริฐ ๓๒ ประการ
ครั้งนั้น อายุของสัตว์แสนปี พระชินสีห์พระองค์นั้น
เมื่อดำรงพระชนม์อยู่โดยกาลประมาณเท่านั้น ได้ทรงยัง
ประชุมชนเป็นอันมากให้ข้ามพ้นวัฏสงสารเป็นอันมาก
ครั้งนั้นเราเป็นพราหมณ์ชาวเมืองหังสวดี อันชนสมมติว่า
เป็นคนประเสริฐ ได้เข้าไปเฝ้าพระพุทธเจ้าผู้ส่องโลก
แล้วสดับพระธรรมเทศนา ครั้งนั้นเราได้ฟังพระผู้มี-
พระภาคเจ้าทรงตั้งสาวกของพระองค์ในตำแหน่งเอต-
ทัคคะในที่ประชุมใหญ่ ก็ชอบใจ จึงนิมนต์พระมหาชินเจ้า
๑. ขุ. อ. ๓๓/ข้อ ๑๒๘.

147
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๓ – หน้าที่ 148 (เล่ม 52)

กับบริวารเป็นอันมากแล้ว ได้ถวายทานพร้อมกันกับ
พราหมณ์อีก ๑,๐๐๐ คน ครั้นแล้วเราได้ถวายบังคมพระ-
ผู้มีพระภาคเจ้าผู้นายก แล้วยืนอยู่ ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง
เป็นผู้ร่าเริง ได้กราบทูลว่า ข้าแต่พระมหาวีรเจ้า ด้วย
ความเชื่อในพระองค์และด้วยอธิการคุณ ขอให้ข้าพระ-
องค์ผู้เกิดในภพนั้น ๆ มีบริษัทมากเถิด ครั้งนั้นพระศาสดา
ผู้มีพระสุรเสียงเหมือนคชสารคำรน มีพระสำเนียง
เหมือนนกการเวก ได้ตรัสกะบริษัทว่า จงดูพราหมณ์ผู้นี้
ผู้มีวรรณะเหมือนทองคำ แขนใหญ่ ปากและตาเหมือน
ดอกบัว มีกายและใจสูงเพราะปีติ ร่าเริง มีความเชื่อใน
คุณของเรา เขาปรารถนาตำแหน่งแห่งภิกษุผู้มีเสียงก้อง
ดุจเสียงราชสีห์ในอนาคตกาล เขาจักได้ตำแหน่งนี้สม
ความปรารถนา ในกัปนับแต่นี้ขึ้นไป ๑ แสน พระศาสดามี
พระนามว่าโคดมซึ่งสมภพในวงศ์ของพระเจ้าโอกกากราช
จักเสด็จอุบัติขึ้นในโลก พราหมณ์นี้จักเป็นธรรมทายาท
ของพระศาสดาพระองค์นั้น เป็นโอรสอันธรรมเนรมิตจัก
เป็นสาวกของพระศาสดา มีนามว่ากัสสป พระอัครนายก
ของโลกพระนามว่าผุสสะ ผู้เป็นพระศาสดาอย่างยอด-
เยี่ยม หาผู้เปรียบมิได้ ไม่มีใครจะเสมอเหมือน ได้เสด็จ
อุบัติขึ้นแล้ว ในกัปที่ ๙๒ แต่ภัทรกัปนี้ พระศาสดา
พระนามว่า ผุสสะ พระองค์นั้นแล ทรงกำจัดความมืด
ทั้งปวง ทรงสางรกชัฏใหญ่ ทรงยังฝนคืออมตธรรมให้

148
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๓ – หน้าที่ 149 (เล่ม 52)

ตกลง ให้มนุษย์และทวยเทพอิ่มหนำ ครั้งนั้นเราสาม
คนพี่น้องเป็นราชอำมาตย์ในพระนครพาราณสี ล้วนแต่
เป็นที่ไว้วางพระทัยของพระมหากษัตริย์ รูปร่างองอาจ
แกล้วกล้า สมบูรณ์ด้วยกำลังไม่แพ้ใครเลยในสงคราม
ครั้งนั้น พระเจ้าแผ่นดินผู้มีเมืองชายแดนก่อการกำเริบ
ได้ตรัสสั่งเราว่า ท่านทั้งหลายจงไปชนบทชายแดน พวก
ท่านจงยังกำลังของแผ่นดินให้เรียบร้อย ทำแว่นแค้วน
ของเราให้เกษม แล้วกลับมา ลำดับนั้น เราได้กราบทูล
ว่า ถ้าพระองค์จะพึงพระราชทานพระนายกเจ้า เพื่อให้
ข้าพระองค์อุปัฏฐากไซร้ ข้าพระองค์ทั้งหลายก็จักทำกิจ
ของพระองค์ให้สำเร็จ ลำดับนั้น เราผู้รับพระราชทานพร
สมเด็จพระภูมิบาลส่งไปทำชนบทชายแดนให้วางอาวุธ
แล้วกลับมายังพระนครนั้น เราทูลขอการอุปัฏฐากพระ-
ศาสดาแด่พระราชา ได้พระศาสดาผู้เป็นนายกของโลก
ผู้ประเสริฐกว่ามุนี แล้วได้บูชาพระองค์ตราบเท่าสิ้นชีวิต
เราทั้งหลายเป็นผู้มีศีลประกอบด้วยกรุณา มีใจประกอบ
ด้วยภาวนา ได้ถวายผ้ามีค่ามาก รสอันประณีต เสนาสนะ
อันน่ารื่นรมย์ และเภสัชที่เป็นประโยชน์ที่ตนให้เกิดขึ้น
โดยชอบธรรม แก่พระมุนีพร้อมทั้งพระสงฆ์ อุปัฏฐาก
พระองค์ด้วยจิตเมตตาตลอดกาล ครั้นพระศาสดาผู้เลิศ
พระองค์นั้นนิพพานแล้ว ได้ทำการบูชาตามกำลัง เรา
ทุกคนจุติจากอัตภาพนั้นแล้ว ไปสู่สวรรค์ชั้นดาวดึงส์

149
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๓ – หน้าที่ 150 (เล่ม 52)

เสวยมหันตสุขในดาวดึงส์นั้น นี้เป็นผลแห่งพุทธบูชา
เมื่อเราท่องเที่ยวอยู่ในภพ เป็นเหมือนนายช่างดอกไม้
ได้ดอกไม้แล้วแสดงชนิดแห่งดอกไม้แปลก ๆ มากมาย
ฉะนั้น ได้เกิดเป็นพระเจ้าวิเทหราช เพราะถ้อยคำของ
คุณะอเจลก เราจึงมีอัธยาศัยอันมิจฉาทิฏฐิกำจัดแล้ว จึง
ขึ้นสู่ทางนรก ไม่เอื้อเฟื้อโอวาทของธิดาเราผู้ชื่อว่ารุจา
เมื่อถูกนารทพรหมสั่งสอนเสียมากมาย จึงละความเห็น
ที่ชั่วช้าเสียได้ บำเพ็ญกุศลธรรมบถ ๑๐ ให้บริบูรณ์โดย
พิเศษ ละทิ้งร่างกายแล้วได้ไปสวรรค์ เหมือนไปที่อยู่
ของตัวเองฉะนั้น เมื่อถึงภพสุดท้าย เราเป็นบุตรของ
พราหมณ์ เกิดในสกุลที่สมบูรณ์ ในกรุงพาราณสี เรา
กลัวต่อความตาย ความป่วยไข้และความแก่ชรา จึงเข้า
ป่าใหญ่แสวงหาหนทางนิพพาน ได้บวชในสำนักของชฎิล
ครั้งนั้น น้องชายทั้งสองของเราก็ได้บวชพร้อมกับเรา เรา
ได้สร้างอาศรม อาศัยอยู่ที่ตำบลอุรุเวลา เรานี้นามตาม
โคตรว่ากัสสป แต่เพราะอาศัยอยู่ที่ตำบลอุรุเวลา เราจึง
มีนามบัญญัติว่า อุรุเวลกัสสป เพราะน้องชายของเรา
อาศัยอยู่ที่ชายแม่น้ำ เขาจึงได้นามว่า นทีกัสสป และ
เพราะน้องชายของเราอีกคนหนึ่ง อาศัยอยู่ที่ตำบลคยา
เขาจึงถูกประกาศนามว่า คยากัสสป น้องชายคนเล็กมี
ศิษย์ ๒๐๐ คน น้องชายคนกลางมี ๓๐๐ คน เรามี ๕๐๐ คน
ถ้วน ศิษย์ทุกคนล้วนแต่ประพฤติตามเรา ครั้งนั้นพระ-

150
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๓ – หน้าที่ 151 (เล่ม 52)

พุทธเจ้าผู้เลิศในโลก เป็นสารถีฝึกนรชน ได้เสด็จมา
หาเรา ทรงทำปาฏิหาริย์ต่าง ๆ แก่เราแล้ว ทรงแนะนำ
เรากับบริวารพันหนึ่งได้อุปสมบทด้วยเอหิภิกขุ ได้บรรลุ
พระอรหัตพร้อมกับภิกษุเหล่านั้นทุกองค์ ภิกษุเหล่านั้น
และภิกษุพวกอื่นเป็นอันมากแวดล้อมเราเป็นยศบริวาร
และเราก็สามารถที่จะสั่งสอนได้ เพราะฉะนั้น พระผู้มี-
พระภาคเจ้าผู้สูงสุด จึงทรงตั้งเราไว้ในตำแหน่งเอตทัคคะ
ในความเป็นผู้มีบริวารมาก โอ สักการะที่ได้ทำไว้ในพระ-
พุทธเจ้าได้ก่อให้เกิดสิ่งที่มีผลแก่เราแล้ว เราเผากิเลสทั้ง-
หลายแล้ว...ฯลฯ... พระพุทธศาสนาเราได้ทำเสร็จแล้ว.
ก็ครั้นบรรลุพระอรหัตแล้ว จึงพิจารณาการปฏิบัติของตน เมื่อจะ
บันลือสีหนาท จึงได้กล่าวคาถา ๖ คาถาเหล่านี้ว่า
เรายังไม่เห็นปาฏิหาริย์ของพระโคดม ผู้เรืองยศ
เพียงใด เราก็ยังเป็นคนลวงโลกด้วยความริษยาและมานะ
ไม่นอบน้อมอยู่เพียงนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้เป็นสารถี
ฝึกนรชน ทรงทราบความดำริของเรา ทรงตักเตือนเรา
ลำดับนั้น ความสลดใจได้เกิดแก่เรา เกิดความอัศจรรย์ใจ
ขนลุกชูชัน ความสำเร็จเล็กน้อยของเราผู้เป็นชฎิลเคยมี
อยู่ในกาลก่อน เราได้สละความสำเร็จนั้นเสีย บวช
ในศาสนาของพระชินเจ้า เมื่อก่อนเรายินดีการบูชายัญ
ห้อมล้อมด้วยกามารมณ์ ภายหลังเราถอนราคะ โทสะ
และโมหะได้แล้ว เรารู้บุพเพนิวาสญาณ ชำระทิพยจักษุ

151