No Favorites




หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๓ – หน้าที่ 132 (เล่ม 52)

ท่านเจริญโดยลำดับ เก็บรวบรวมทรัพย์ เมื่อท่านพระมหากัจจายนะ
อาศัยเรือนมีตระกูลอยู่ในปวัตตบรรพต ฟังธรรมในสำนักของท่าน ตั้งอยู่
ในสรณะและศีล อุปัฏฐากท่านด้วยปัจจัย ๔.
ครั้นจำเนียรกาลนานมา ท่านเกิดความสังเวช บรรพชาในสำนัก
ของพระเถระ ให้ประชุมสงฆ์ทสวรรคได้โดยาก โดยฝืดเคือง อุปสมบท
แล้วอยู่ในสำนักพระเถระสิ้นกาลเล็กน้อย ลาพระเถระเข้าไปยังกรุงสาวัตถี
เพื่อถวายบังคมพระศาสดา ได้อยู่ในคันธกุฎีเดียวกัน กับพระศาสดา ถูก
พระองค์เชื้อเชิญในเวลาใกล้รุ่ง ในที่สุดแห่งคาถาอุทานว่า เห็นโทษใน
โลกดังนี้ ที่พระองค์ให้สาธุการกล่าวไว้ ด้วยการกล่าวพระสูตร ๑๖ สูตร
ในอัฏฐกวรรค๑แล้ว เจริญวิปัสสนาบรรลุพระอรหัต ด้วยเหตุนั้น ท่านจึง
กล่าวไว้ในอปทาน๒ว่า
ครั้งนั้น พระพิชิตมารผู้สมควรรับเครื่องบูชา พระ-
นามว่า ปทุมุตตระ ได้เสด็จเข้ารูปยังพระนคร พร้อมทั้ง
ภิกษุสงฆ์ผู้มีอินทรีย์อันสำรวมแล้วแสนรูป ขณะนั้น ได้
มีเสียงสนั่นก้องไพเราะ รับเสด็จพระพุทธเจ้าผู้สงบระงับ
ผู้คงที่ ซึ่งกำลังเสด็จเข้าพระนคร โดยทางรถด้วยพุทธา-
นุภาพ พิณที่ไม่ถูกทำเพลง ไม่ลูกเคาะ ก็บรรเลงขึ้นได้
เอง ในเมื่อพระพุทธเจ้าเสด็จเข้าสู่บุรี เรานมัสการพระ
พุทธเจ้าผู้ประเสริฐสุด พระนามว่า ปทุมุตตระ ผู้เป็น
พระมหามุนี และเห็นปาฏิหาริย์แล้ว ได้ยังจิตให้เลื่อมใส
ในปาฏิหาริย์นั้น โอ พระพุทธเจ้า โอ พระธรรม โอ
๑. ข. สุ. ๒๕/อัฏฐกวรรคที่ ๔ มี ๑๖ สูตร ตั้งแต่ข้อ ๔๐๘ ถึงข้อ ๔๒๓.
๒. ขุ. อ. ๓๓/ข้อ ๒๓.

132
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๓ – หน้าที่ 133 (เล่ม 52)

สมบัติแห่งพระศาสดาของเรา ดนตรีถึงไม่มีเจตนาก็ยัง
บรรเลงได้เองเทียว ในกัปที่แสนกัปแต่ภัทรกัปนี้ เราได้
สัญญาใดในกาลนั้น ด้วยการได้สัญญานั้น เราไม่รู้จัก
ทุคติเลย นี้เป็นผลแห่งสัญญาในพระพุทธเจ้า เราเผา
กิเลสทั้งหลายแล้ว . . . ฯลฯ. . . พระพุทธศาสนาเราได้
ทำเสร็จแล้ว ดังนี้.
ก็ท่านดำรงอยู่ในพระอรหัตแล้ว ขอพร ๕ ประการ คือ การ
อุปสมบทด้วยคณะ มีพระวินัยธรเป็นที่ ๕ ในชนบทปลายแดน โดย
ทำนองที่พระอุปัชฌาย์ของท่านได้บอกไว้ การอยู่ประจำ การลาดแผ่น
หนัง การสวมรองเท้าเป็นชั้น ๆ การไม่อยู่ปราศจากจีวร ได้พรเหล่านั้น
จากพระศาสดาแล้ว ไปยังที่ตนอยู่อีก บอกความนั้นแก่พระอุปัชฌาย์
ในเรื่องนี้มีความสังเขปเพียงเท่านี้. ส่วนความพิสดารพึงทราบโดยนัยที่มา
แล้วในอรรถกถา. แต่ในอรรถกถาอังคุตตรนิกาย ท่านกล่าวไว้ว่า ท่าน
ได้อุปสมบทแล้ว เรียนพระกรรมฐานในสำนักพระอุปัชฌาย์ของตน เจริญ
วิปัสสนาแล้วบรรลุพระอรหัต.
ครั้นกาลต่อมา ท่านอยู่ด้วยสุขอันเกิดแต่วิมุตติ พิจารณาข้อปฏิบัติ
ของตน เกิดโสมนัส ได้กล่าวคาถา ๕ คาถา ด้วยอำนาจอุทาน๑ว่า
เราได้อุปสมบทแล้ว เป็นผู้หลุดพ้นจากกิเลส ไม่มี
อาสวะ ได้เห็นพระผู้มีพระภาคเจ้า และได้อยู่ร่วมกับ
พระองค์ในวิหารเดียวกัน พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่
ในที่แจ้งตลอดราตรีเป็นอันมากทีเดียว พระศาสดาผู้
๑. ขุ. เถร. ๒๖/ข้อ ๓๔๕.

133
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๓ – หน้าที่ 134 (เล่ม 52)

ฉลาดในธรรมเป็นเครื่องอยู่ ได้เสด็จเข้าไปสู่พระวิหาร
เมื่อนั้นพระโคดมทรงลาดผ้าสังฆาฏิแล้ว สำเร็จสีหไสยา
ทรงละความขลาดกลัวเสียแล้ว เหมือนราชสีห์อยู่ในถ้ำ
ภูเขา ลำดับนั้น ท่านโสณะผู้เป็นสาวกของพระสัมมา-
สัมพุทธเจ้า ผู้กล่าววาจาไพเราะ ได้ภาษิตสัทธรรมในที่
เฉพาะพระพักตร์ของพระพุทธเจ้าผู้ประเสริฐ ท่านโสณะ
กำหนดรู้เบญจขันธ์แล้ว อบรมอัฏฐังคิกมรรคอันประเสริฐ
พึงได้บรรลุความสงบอย่างยิ่ง จักเป็นผู้ไม่มีอาสวะ
ปรินิพพาน ดังนี้.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อุปสมฺปทา ต เม ลทฺธา ความว่า
อุปสัมปทานั้นใด ที่ตนประชุมภิกษุสงฆ์ทสวรรคได้โดยยาก ก็แลอุปสัม-
ปทาใดที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงอนุญาตด้วยคณะ มีพระวินัยธรเป็นที่ ๕
ในชนบทปลายแดนทั้งหมด ด้วยอำนาจการประทานพร, กล่าวหมายเอา
อุปสัมปทาทั้งสองนั้น. จ ศัพท์ เป็นสมุจจยัตถะ. ด้วย จ ศัพท์นั้น ท่าน
สงเคราะห์เอาพรที่ได้จากสำนักพระศาสดา แม้นอกนี้.
บทว่า วิมุตฺโต จมฺหิ อนาสโว ความว่า และเราเป็นผู้หลุดพ้นแล้ว
ด้วยการหลุดพ้นจากวัตถุคือกิเลสทั้งสิ้น ด้วยอรหัตมรรค. ประกอบ
ความว่า เราเป็นผู้ไม่มีอาสวะด้วยกามาสวะเป็นต้นนั้นนั่นแล.
บทว่า โส จ เม ภควา ทิฏฺโฐ ความว่า เราจากรัฐอวันตีไปยัง
กรุงสาวัตถี เพื่อประโยชน์แด่พระผู้มีพระภาคเจ้าใด ก็พระผู้มีพระภาคเจ้า
พระองค์นั้น ที่เราไม่เคยเห็น เราได้เห็นแล้ว.

134
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๓ – หน้าที่ 135 (เล่ม 52)

บทว่า วิหาเร จ สหาวสึ ความว่า เราได้เห็นพระผู้มีพระภาคเจ้า
นั้นอย่างเดียวเท่านั้นก็หาไม่ โดยที่แท้เราได้อยู่ร่วมกับพระศาสดาผู้กำหนด
เหตุการณ์ ประทับอยู่ในพระคันธกุฎีของพระศาสดาในวิหาร. อาจารย์
บางพวกกล่าวว่า บทว่า วิหาเร แปลว่า ในที่ใกล้วิหาร.
บทว่า พหุเทว รตฺตํ ความว่า พระผู้มีพระภาคเจ้า ประทับยับยั้ง
ในโอกาสกลางแจ้ง ตลอดราตรีเป็นอันมากทีเดียว ด้วยการแสดงธรรม
แก่ภิกษุทั้งหลาย และด้วยการชำระพระกรรมฐานให้หมดจดตลอดปฐมยาม
และด้วยอำนาจตัดความสงสัย ของเทวดาและพรหมตลอดมัชฌิมยาม.
บทว่า วิหารกุสโล ได้แก่ เป็นผู้ฉลาดในทิพยวิหาร พรหมวิหาร
อาเนญชวิหารและอริยวิหาร.
บทว่า วิหารํ ปาวิสิ ความว่า เข้าไปสู่พระคันธกุฎี เพื่อบรรเทา
ความกระวนกระวายที่เกิดขึ้น เพราะการนั่งและการจงกรมเกินเวลา.
บทว่า สนฺถริตฺวาน สงฺฆาฏึ เสยฺยํ กปฺเปติ ความว่า ปูลาดสังฆาฏิ
๔ ชั้น แล้วทรงสำเร็จสีหไสยา. ด้วยเหตุนั้นจึงกล่าวว่า พระโคดมเป็น
ประดุจสีหะในถ้ำศิลา เป็นผู้ละความขลาดกลัวเสียได้.
พระเถระระบุพระผู้มีพระภาคเจ้า ด้วยพระโคตรว่า โคตมะ ใน
พระคาถานั้น. บทว่า สีโห เสลคุหายํว ได้แก่ ในถ้ำแห่งภูเขาอันล้วน
แล้วแต่หิน สีหมิคราชละความขลาดกลัวเสียได้ เพราะเป็นสัตว์มีเดชสูง
สำเร็จการนอนเหลื่อมเท้าโดยข้างขวา ฉันใด พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้โคดม
ก็ฉันนั้น เป็นผู้ละความขลาดกลัว เพราะตัดกิเลสอันเป็นเหตุให้หวาดเสียว
ขนพอง สยอง สะดุ้งแห่งจิต ทรงสำเร็จสีหไสยา.

135
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๓ – หน้าที่ 136 (เล่ม 52)

บทว่า ตโต แปลว่า ในภายหลัง, อธิบายว่า สำเร็จสีหไสยาแล้ว
ลุกขึ้นจากที่นั้น ถูกพระศาสดาเชิญว่า ภิกษุ พระธรรมจงแจ่มแจ้งกะเธอ
เพื่อจะกล่าว.
บทว่า กลฺยาณวากฺกรโณ แปลว่า ผู้กล่าววาจาอันไพเราะ อธิบาย
ว่า ลำดับแห่งถ้อยคำเพียบพร้อมด้วยความงาม.
บทว่า โสโณ อภาสิ สทฺธมฺมํ ความว่า ท่านโสณกุฏิกัณณะ
ได้กล่าวพระสูตรในอัฏฐกวรรค ๑๖ สูตร โดยประจักษ์ เฉพาะพระพุทธ-
เจ้าผู้ประเสริฐ คือพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะเหตุนั้นพระเถระจึงกล่าว
สอนตนนั่นแหละเหมือนผู้อื่น.
บทว่า ปญฺจกฺขนฺเธ ปริญฺญาย ความว่า กำหนดรู้อุปาทานขันธ์ ๕
ด้วยปริญญาทั้ง ๓ แล้ว เมื่อกำหนดรู้อุปาทานขันธ์ ๕ นั่นแหละ ทำ
หนทางคือ อริยมรรคมีองค์ ๘ ให้เกิดแล้ว บรรลุความสงบอย่างยิ่ง คือ
พระนิพพานดำรงอยู่ เป็นผู้ไม่มีอาสวะ จากนั้นนั่นแหละ จักปรินิพพาน
ณ บัดนี้ คือจักปรินิพพานด้วยอำนาจอนุปาทิเสสนิพพาน ฉะนี้แล.
จบอรรถกถาโสณกุฏิกัณณเถรคาถาที่ ๑๑

136
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๓ – หน้าที่ 137 (เล่ม 52)

๑๒. โกสิยเถรคาถา
ว่าด้วยคาถาของพระโกสิยเถระ
[๓๔๖] ผู้ใดเป็นธีรชน เป็นผู้รู้ถ้อยคำของครูทั้งหลาย อยู่ใน
โอวาทของครูนั้น และยังความเคารพให้เกิดในโอวาท
ของครูนั้น ผู้นั้นชื่อว่าเป็นผู้มีภักดี และชื่อว่าเป็นบัณฑิต
และพึงเป็นผู้วิเศษ เพราะรู้ธรรมทั้งหลาย อันตราย
อันร้ายแรงเกิดขึ้นแล้ว ไม่ครอบงำบุคคลใดผู้พิจารณาอยู่
บุคคลนั้นย่อมชื่อว่ามีกำลัง ชื่อว่าเป็นบัณฑิต และพึงเป็น
ผู้วิเศษเพราะรู้ธรรมทั้งหลาย ผู้ใดแลตั้งมั่นไม่หวั่นไหว
เหมือนมหาสมุทร มีปัญญาลึกซึ้ง เห็นเหตุผลอันละเอียด
ชื่อว่าเป็นผู้ไม่ง่อนแง่น ไม่คลอนแคลน ชื่อว่าเป็นบัณฑิต
และพึงเป็นผู้วิเศษเพราะรู้ธรรมทั้งหลาย ผู้ใดเป็นพหูสูต
ทรงธรรมและประพฤติธรรมสมควรแก่ธรรม ผู้นั้นชื่อว่า
ผู้คงที่ เป็นบัณฑิต และพึงเป็นผู้วิเศษเพราะรู้ธรรม
ทั้งหลาย ผู้ใดรู้เนื้อความแห่งสุภาษิต ครั้นรู้แล้วทำตาม
ที่รู้ ผู้นั้นชื่อว่าเป็นบัณฑิต อยู่ในอำนาจเหตุผล และ
พึงเป็นผู้วิเศษเพราะรู้ธรรมทั้งหลาย.
จบโกสิยเถรคาถา
พระเถระ ๑๒ รูป กล่าวคาถารูปละ ๕ คาถา รวมเป็น ๖๐ คาถา
คือ

137
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๓ – หน้าที่ 138 (เล่ม 52)

๑. พระราชทัตตเถระ ๒. พระสุภูตเถระ ๓. พระคิริมานันทเถระ
๔. พระสุมนเถระ ๕. พระวัฑฒเถระ ๖. พระนทีกัสสปเถระ ๗. พระ-
คยากัสสปเถระ ๘. พระวักกลิเถระ ๙. พระวิชิตเถระ ๑๐. พระยสทัตต-
เถระ ๑๑. พระโสณกุฏิกัณณเถระ ๑๒. พระโกสิยเถระ.
จบปัญจกนิบาต
อรรถกถาโกสิยเถรคาถาที่ ๑๒
คาถาของท่านพระโกสิยเถระ มีคำเริ่มต้นว่า โย เว ครูนํ ดังนี้.
เรื่องนั้นมีเหตุเกิดขึ้นอย่างไร ?
พระเถระแม้นี้ ได้กระทำบุญญาธิการไว้ในพระพุทธเจ้าในปางก่อน
สั่งสมกุศลอันเป็นอุปนิสัยแห่งพระนิพพานไว้ในภพนั้น ๆ ในกาลแห่ง
พระผู้มีพระภาคเจ้าพระนามว่าวิปัสสี บังเกิดในเรือนมีตระกูล ถึงความ
เป็นผู้รู้เดียงสา วันหนึ่งเห็นพระศาสดา มีจิตเลื่อมใส ได้ถวายท่อนอ้อย.
ด้วยบุญกรรมนั้น ท่านท่องเที่ยวไปในเทวโลกและมนุษยโลก ใน
พุทธุปบาทกาลนี้ บังเกิดในตระกูลพราหมณ์ เขาตั้งชื่อท่านด้วยอำนาจ
โคตรว่า โกสิยะ. ท่านถึงความเป็นผู้รู้เดียงสาแล้ว เข้าไปหาท่านพระธรรม-
เสนาบดีเนืองนิตย์ ฟังธรรมในสำนักของท่าน. ท่านได้ศรัทธาในพระ-
ศาสนาเพราะได้ฟังธรรมนั้น ประกอบเนือง ๆ ซึ่งพระกรรมฐาน ไม่นาน
นักก็บรรลุพระอรหัต. ด้วยเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวไว้ในอปทาน๑ว่า
๑. ขุ. อ. ๓๓/ข้อ ๒๕.

138
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๓ – หน้าที่ 139 (เล่ม 52)

เราเป็นคนเฝ้าประตู อยู่ในพระนครพันธุมดี ได้เห็น
พระพุทธเจ้าผู้ปราศจากธุลี ทรงรู้จบธรรมทั้งปวง เรามี
จิตเลื่อมใสโสมนัส ได้ถือเอาท่อนอ้อยมาถวายแด่พระ-
พุทธเจ้าผู้ประเสริฐสุด พระนามว่า วิปัสสี ผู้แสวงหา
คุณอันยิ่งใหญ่ ในกัปที่ ๙๑ แต่กัปนี้ เราได้ถวายอ้อยใด
ในกาลนั้น ด้วยการถวายอ้อยนั้น เราไม่รู้จักทุคติเลย
นี้เป็นผลแห่งการถวายท่อนอ้อย เราเผากิเลสทั้งหลาย
แล้ว . . . ฯลฯ . . . พระพุทธศาสนาเราได้ทำเสร็จแล้ว
ดังนี้.
ก็แลครั้นบรรลุพระอรหัตแล้ว พิจารณาข้อปฏิบัติของตน เมื่อจะ
สรรเสริญ การอยู่ร่วมกับครู และเข้าไปอาศัยสัปบุรุษจึงกล่าว ๕ คาถา
เหล่านี้ว่า
ผู้ใดเป็นธีรชน เป็นผู้รู้ถ้อยคำของครูทั้งหลาย อยู่ใน
โอวาทของครูนั้น และยังความเคารพให้เกิดในโอวาท
ของครูนั้น ผู้นั้นชื่อว่าเป็นผู้มีภักดี และชื่อว่าเป็นบัณฑิต
และพึงเป็นผู้วิเศษ เพราะรู้ธรรมทั้งหลาย อันตรายร้าย
แรงเกิดแล้ว ไม่ครอบงำบุคคลใดผู้พิจารณาอยู่ บุคคล
นั้นย่อมชื่อว่ามีกำลัง ชื่อว่าเป็นบัณฑิต และพึงเป็นผู้
วิเศษเพราะรู้ธรรมทั้งหลาย ผู้ใดและตั้งมั่นไม่หวั่นไหว
เหมือนมหาสมุทร มีปัญญาลึกซึ้ง เห็นเหตุผลอันละเอียด
ชื่อว่าเป็นผู้ไม่ง่อนแง่น ไม่คลอนแคลน ชื่อว่าเป็นบัณฑิต

139
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๓ – หน้าที่ 140 (เล่ม 52)

และพึงเป็นผู้วิเศษเพราะรู้ธรรมทั้งหลาย ผู้ใดรู้เนื้อความ
แห่งสุภาษิต ครั้นรู้แล้วทำตามที่รู้ ผู้นั้นชื่อว่าเป็นบัณฑิต
อยู่ในอำนาจเหตุผล และพึงเป็นผู้วิเศษ เพราะรู้ธรรม
ทั้งหลาย.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า โย ได้แก่ ผู้ใดผู้หนึ่ง ในบรรดา
บริษัท ๔ มีขัตติยบริษัทเป็นต้น. บทว่า เว แปลว่า เป็นผู้ปรากฏ.
บทว่า ครูนํ ได้เเก่ บัณฑิตผู้ประกอบด้วยคุณมีศีลเป็นต้น.
บทว่า วจนญฺญู ได้แก่ ผู้รู้ถ้อยคำ คืออนุสาสนีของบัณฑิตเหล่านั้น
อธิบายว่า เมื่อปฏิบัติตามคำพร่ำสอน ก็แลครั้นปฏิบัติแล้วรู้ผลแห่งการ
ปฏิบัตินั้น.
บทว่า วเส จ ตมฺหิ ชนเยถ เปมํ ความว่า พึงอยู่ในคำ คือใน
โอวาทของครูทั้งหลาย คือพึงปฏิบัติตามคำพร่ำสอน ครั้นปฏิบัติแล้ว
พึงให้เกิดความรัก ความเคารพในคำพร่ำสอนเหล่านั้นว่า เราจักเป็นผู้
ล่วงพ้นทุกข์มีชาติทุกข์เป็นต้นนี้ ด้วยโอวาทนี้หนอ. ก็คำทั้งสองนี้เป็น
การกระทำความที่กล่าวแล้วนั่นแล ด้วยบททั้งสองว่า ธีรชนเป็นผู้รู้
ถ้อยคำของครูทั้งหลาย ดังนี้ ให้ปรากฏ.
บทว่า โส ความว่า ผู้ใดเป็นธีรชน รู้ถ้อยคำของครูทั้งหลาย ผู้นั้น
ชื่อว่าเป็นผู้มีความภักดีในครูเหล่านั้น ด้วยการปฏิบัติตามที่พร่ำสอน และ
ชื่อว่าบัณฑิตเพราะไม่ล่วงเลยข้อพร่ำสอนนั้น แม้เพราะเหตุแห่งชีวิต.
บทว่า ญตฺวา จ ธมฺเมสุ วิเสสิ อสฺส ความว่า ก็เมื่อปฏิบัติอย่าง
นั้น ถึงเป็นผู้วิเศษว่า เป็นผู้มีวิชชา ๓ มีอภิญญา ๖ บรรลุปฏิสัมภิทา

140
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๓ – หน้าที่ 141 (เล่ม 52)

ด้วยสามารถแห่งวิชชา ๓ ในธรรมทั้งที่เป็นโลกิยะและโลกุตระ เพราะ
เหตุแห่งการรู้อริยสัจ ๔ ด้วยข้อปฏิบัตินั้นนั่นแล.
บทว่า ยํ ความว่า อันตรายที่ปรากฏมีความเย็น ความร้อน ความ
หิว และความกระหายเป็นต้น และอันตรายที่ปกปิดมีราคะเป็นต้น อันได้
โวหารว่า อันตราย เพราะทำอันตรายต่อการปฏิบัติ อุบัติคือเกิดขึ้นมาก
มาย คือมีกำลัง ย่อมไม่ข่มขี่บุคคล คือไม่ทำใคร ๆ ให้หวั่นไหว.
ถามว่า เพราะเหตุไร ? ตอบว่า เพราะไม่ครอบงำผู้พิจารณา อธิบาย
ว่า ผู้พิจารณาอยู่ คือผู้ตั้งอยู่ในกำลังแห่งการพิจารณา. บทว่า โส
ความว่า ผู้ใดแม้ถูกอันตรายร้ายแรงยิ่งนักครอบงำ ผู้นั้นก็เป็นผู้ชื่อว่ามี
กำลัง มีปัญญา มีความบากบั่นมั่นคง และชื่อว่าเป็นบัณฑิต เพราะพรั่ง
พร้อมด้วยกำลังคือปัญญา อันข่มฝ่ายกิเลสไม่มีส่วนเหลือ.
คำว่า ก็ผู้เป็นเช่นนั้นแล พึงเป็นผู้วิเศษเพราะรู้ธรรมทั้งหลาย
นั้น มีอรรถดังกล่าวแล้วนั่นแล.
บทว่า สมุทฺโทว  ิโต ความว่า มีความตั้งอยู่เป็นสภาวะ เหมือน
สมุทรฉะนั้น. เหมือนอย่างว่า มหาสมุทรใกล้เชิงเขาสิเนรุซึ่งลึก ๘๔,๐๐๐
โยชน์ ตั้งอยู่ไม่หวั่นไหว ไม่เอนเอียงไปด้วยลมตามปกติ ซึ่งตั้งขึ้นจากทิศ
ทั้ง ๘ และลึกซึ้งฉันใด ธีรชนก็ฉันนั้น ตั้งอยู่ไม่หวั่นไหว ไม่เอนเอียง
ด้วยลมคือกิเลส และด้วยลมคือวาทะของพวกเดียรถีย์. ธีรชนชื่อว่าเป็น
ผู้มีปัญญาอันลึกซึ้ง และผู้เห็นประโยชน์ เพราะรู้แจ้งอรรถแห่งปฏิจจ-
สมุปบาทเป็นต้น อันลึกซึ้งหยั่งลงไม่ได้ ด้วยญาณสมภารที่ไม่เคยสั่งสมมา
ละเอียดสุขุม, บุคคลนั้นชื่อว่าเป็นบัณฑิตไม่ง่อนแง่น เป็นผู้คงที่ ชื่อว่า
เป็นผู้ไม่ง่อนแง่น เพราะไม่ง่อนแง่นด้วยกิเลส หรือด้วยเทวบุตรมาร

141