No Favorites




หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๓ – หน้าที่ 122 (เล่ม 52)

บทว่า อทนฺตํ ความว่า ไม่ได้ฝึก คือยังไม่ศึกษาการศึกษาของ
ช้าง.
บทว่า นวคฺคหํ ได้แก่ ถือเอาไม่นาน.
บทว่า องฺกุสคฺคโห ได้แก่นายหัตถาจารย์. บทว่า พลวา ได้แก่
มีกำลัง ด้วยกำลังกายและกำลังญาณ. บทว่า อาวตฺเตติ อกามํ ความว่า
ให้เจ้าผู้ไม่ปรารถนาอยู่นั่นแล กลับโดยการห้าม.
บทว่า เอวํ อาวตฺตยิสฺสํ ความว่า นายหัตถาจารย์จักให้ช้างตามที่
กล่าวกลับฉันใด เราจักให้จิตชั่วนั้นกลับจากการเกียดกันทุจริตฉันนั้น.
บทว่า วรหยทมกุสโล ความว่า เป็นผู้ฉลาดในการฝึกม้าที่ควรฝึก
ทั้งหลายอันสูงสุด. แต่นั้นนายสารถีผู้ประเสริฐ คือผู้วิเศษสุดในบรรดา
นายสารถีผู้ฝึกม้าที่ควรฝึก ย่อมฝึกม้าอาชาไนยคือม้าที่ควรฝึก คือย่อม
ทรมาน คือย่อมแนะนำด้วยคำอ่อนหวานและคำหยาบ ตามสมควรแก่กาละ
และเทศะ ได้แก่กระทำให้ละพยศ.
บทว่า ปติฏฺฐิโต ปญฺจสุ พเลสุ ความว่า เป็นผู้ตั้งอยู่แล้วในพละ ๕
มีศรัทธาเป็นต้น จักฝึกคือจักทรมานจิตนั้นด้วยการห้ามจากความเป็นผู้
ไม่ศรัทธาเป็นต้น.
บทว่า สติยา ตํ นิพนฺธิสฺสํ ความว่า ดูก่อนจิตชั่ว เราเมื่อไม่ให้
ไปในภายนอกจากอารมณ์อันเป็นภายในแล้ว จักผูกพันจิตนั้นที่เสาคือ
กรรมฐาน ด้วยเชือกคือสติ.
บทว่า ปยุตฺโต เต ทเมสฺสามิ ความว่า เราผูก คือประกอบขวน
ขวาย ที่เสาคือกรรมฐานนั้น แล้วฝึกเจ้า คือจักให้เจ้าหมดจดจากมลทิน
คือกิเลส.

122
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๓ – หน้าที่ 123 (เล่ม 52)

บทว่า วีริยธุรนิคฺคหิโต ความว่า ม้าตามที่กล่าวแล้วนั้น อันนาย
สารถีผู้ฉลาดประกอบไว้ที่แอก คือข่มไว้ด้วยแอก อยู่ในระหว่างแอก ไม่
ล่วงแอกไปได้ฉันใด ดูก่อนจิต แม้เธอก็ฉันนั้น ถูกเราข่มไว้ที่แอกคือ
ความเพียร เมื่อไม่ได้เพื่อจะเป็นไปโดยประการอื่น เพราะมีการกระทำ
โดยเคารพ เพราะมีปกติกระทำเป็นไปติดต่อ จักไม่ออกไปข้างนอกไกล
จากอารมณ์อันเป็นภายในนี้ จริงอยู่ เมื่อจิตประกอบในภาวนา อารมณ์
อื่นจากกรรมฐาน แม้เป็นอารมณ์ใกล้ ก็จะอยู่ไกลแต่ลักษณะทีเดียว รวม
ความว่า พระเถระเมื่อข่มจิตด้วยคาถาเหล่านี้ เจริญวิปัสสนาบรรลุพระ-
อรหัตแล้ว เพราะเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวไว้ในอปทาน๑ว่า
เราตกแต่งเครื่องลาดที่ทำด้วยหญ้าแล้ว ได้ทูล
อาราธนาพระสัมพุทธเจ้า ผู้มีพระฉวีวรรณเหมือนทองคำ
มีพระลักษณะอันประเสริฐ ๓๒ ประการ ผู้ดุจพญารังที่
ดอกกำลังบาน เป็นพระพุทธเจ้าผู้ประเสริฐสุด กำลัง
เสด็จไปทางท้ายป่าใหญ่ ขอพระพุทธเจ้าทรงโปรดอนุ-
เคราะห์ข้าพระองค์เถิด ข้าพระองค์ปรารถนาจะถวาย
ภิกษา พระพุทธเจ้าพระนามว่าอัตถทัสสี ผู้อนุเคราะห์
ประกอบด้วยพระกรุณา มีพระยศใหญ่ ได้ทรงทราบความ
ดำริของเรา จึงเสด็จแวะที่อาศรมของเรา ครั้นแล้ว
พระองค์ได้ประทับบนเครื่องลาดที่ทำด้วยหญ้า เราได้
หยิบเอาผลไม้รกฟ้า มาถวายแด่พระพุทธเจ้าผู้ประเสริฐ
๑. ขุ. อ. ๓๓/ข้อ ๓๔.

123
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๓ – หน้าที่ 124 (เล่ม 52)

สุด เมื่อเรามองดูอยู่ พระพิชิตมารทรงเสวยในเวลานั้น
เราได้ยังจิตให้เลื่อมใสในทานนั้นแล้ว ได้ถวายบังคม
พระพิชิตมารในกาลนั้น ด้วยการถวายผลไม้นั้น เราไม่
รู้จักทุคติเลย นี้เป็นผลแห่งการถวายผลไม้ เราเผากิเลส
ทั้งหลายแล้ว . . . ฯลฯ. . .พระพุทธศาสนาเราได้ทำเสร็จ
แล้ว ดังนี้.
ก็ท่านครั้นบรรลุพระอรหัตแล้ว เมื่อจะพยากรณ์พระอรหัตผล จึง
ได้กล่าวพระคาถาเหล่านี้.
จบอรรถกถาวิชิตเสนคาถาที่ ๙

124
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๓ – หน้าที่ 125 (เล่ม 52)

๑๐. ยสทัตตเถรคาถา
ว่าด้วยคาถาของพระยสทัตตเถระ
[๓๔๔] คนมีปัญญาทราม มีจิตคิดจะยกโทษ ฟังคำสอนของ
ท่านผู้ชนะมาร ย่อมเป็นผู้ไกลจากสัทธรรม เหมือนฟ้า
กับดินฉะนั้น คนมีปัญญาทราม มีจิตคิดจะยกโทษ ฟังคำ
สอนของท่านผู้ชนะมาร ย่อมเสื่อมจากสัทธรรม เหมือน
พระจันทร์ข้างแรมฉะนั้น คนมีปัญญาทราม มีจิตคิด
จะยกโทษ ฟังคำสอนของท่านผู้ชนะมาร ย่อมเหี่ยวแห้ง
ในสัทธรรม เหมือนปลาในน้ำน้อยฉะนั้น คนมีปัญญา
ทราม มีจิตคิดจะยกโทษ ฟังคำสอนของท่านผู้ชนะมาร
ย่อมไม่งอกงามในสัทธรรม เหมือนพืชเน่าในไร่นา
ฉะนั้น ส่วนผู้ใดมีจิตอันคุ้มครองแล้ว ฟังคำสอนของ
ท่านผู้ชนะมาร ผู้นั้นทำอาสวะทั้งปวงให้สิ้นไป ทำให้
แจ้งซึ่งธรรมอันไม่กำเริบ ฟังได้บรรลุความสงบอย่าง
ยอดเยี่ยม เป็นผู้ไม่มีอาสวะ ย่อมปรินิพพาน.
จบยสทัตตเถรคาถา
อรรถกถายสทัตตเถรคาถาที่ ๑๐
คาถาของท่านพระยสทัตตเถระ มีคำเริ่มต้นว่า อุปารมฺภจิตฺโต
ดังนี้. เรื่องนั้นมีเหตุเกิดขึ้นอย่างไร ?

125
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๓ – หน้าที่ 126 (เล่ม 52)

พระเถระแม้นี้ ได้ทำบุญญาธิการไว้ในพระพุทธเจ้าในปางก่อน
ก่อสร้างกุศลอันเป็นอุปนิสัยแห่งพระนิพพานในภพนั้นๆ. จริงอย่าง
นั้น ในกาลแห่งพระผู้มีพระภาคเจ้า พระนามว่าปทุมุตตระ ท่านบังเกิด
ในตระกูลพราหมณ์ ถึงความสำเร็จในศิลปวิชาของพวกพราหมณ์ ละกาม
ทั้งหลายบวชเป็นฤาษีอยู่ในป่า. วันหนึ่ง ท่านเห็นพระศาสดา มีจิตเลื่อมใส
ประคองอัญชลีชมเชย. ด้วยบุญกรรมนั้น ท่านท่องเที่ยวไปในเทวโลก
และมนุษยโลก ในพุทธุปบาทกาลนี้ บังเกิดในตระกูลแห่งเจ้ามัลละ ใน
มัลลรัฐ ได้นามว่ายสทัตตะ ไปยังเมืองตักกศิลา ศึกษาศิลปะทั้งปวง
เที่ยวจาริกไปกับปริพาชกชื่อว่าสภิยะ เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้าในกรุง
สาวัตถีโดยลำดับ เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแก้ปัญหาที่สภิยปริพาชกถาม
ตนเองก็นั่งฟังมุ่งเพ่งโทษว่า เราจักแสดงโทษในวาทะของพระสมณโคดม.
ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงทราบวาระแห่งจิตของเขา เมื่อจะ
ประทานโอวาทในเวลาจบสภิยสุตต๑เทศนา จึงได้ตรัส ๕ คาถา๒เหล่านี้ว่า
คนมีปัญญาทราม มีจิตคิดจะยกโทษ ฟังคำสอน
ของท่านผู้ชนะมาร ย่อมเป็นผู้ไกลจากสัทธรรม เหมือน
ฟ้ากับดินฉะนั้น. คนมีปัญญาทราม มีจิตคิดจะยกโทษ
ฟังคำสอนของท่านผู้ชนะมาร ย่อมเสื่อมจากสัทธรรม
เหมือนพระจันทร์ข้างแรมฉะนั้น. คนมีปัญญาทราม มีจิต
คิดจะยกโทษ ฟังคำสอนของท่านผู้ชนะมาร ย่อมเหี่ยว
แห้งในสัทธรรม เหมือนปลาในน้ำน้อยฉะนั้น. คนมี
๑. ขุ. สุ. ๒๕/ข้อ ๓๖๔. ๒. ขุ. เถร. ๒๖/ข้อ ๓๔๔.

126
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๓ – หน้าที่ 127 (เล่ม 52)

ปัญญาทราม มีจิตคิดจะยกโทษ ฟังคำสอนของท่านผู้ชนะ
มาร ย่อมไม่งอกงามในสัทธรรม เหมือนพืชเน่าในไร่นา
ฉะนั้น. ส่วนผู้ใดมีจิตอันคุ้มครองแล้ว ฟังคำสอนของ
ท่านผู้ชนะมาร ผู้นั้นทำอาสวะทั้งปวงให้สิ้นไป ทำให้
แจ้งซึ่งธรรมอันไม่กำเริบ พึงบรรลุความสงบอย่างยอด
เยี่ยม เป็นผู้ไม่มีอาสวะ ย่อมปรินิพพาน.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อุปารมฺภจิตฺโต ได้แก่ มีจิตคิดจะยก
โทษ อธิบายว่า มีความประสงค์จะยกโทษ.
บทว่า ทุมฺเมโธ แปลว่า ผู้มีปัญญาทราม.
บทว่า อารกา โหติ สทฺธมฺมา ความว่า บุคคลนั้นคือผู้เช่นนั้น
ย่อมเป็นผู้อยู่ในที่ไกลจากสัทธรรม คือการปฏิบัติ เหมือนปฐพีไกลจาก
ฟ้าฉะนั้น. จะป่วยกล่าวไปไยถึงปฏิเวธสัทธรรมเล่า เมื่อท่านประกอบ
ถ้อยคำที่ขัดแย้งกัน โดยนัยมีอาทิว่า ท่านไม่รู้ธรรมวินัยนี้ สัทธรรมคือ
การปฏิบัติอันสงบละเอียด จักมีแต่ที่ไหน ?
บทว่า ปริหายติ สทฺธมฺมา ความว่า ท่านเสื่อมจากโลกุตรธรรม ๙
ทั้งจากสัทธรรมมีศรัทธาเป็นต้น.
บทว่า ปริสุสฺสติ ความว่า ย่อมเหี่ยวแห้งจากความไม่มีธรรมอัน
เป็นกุศล มีปีติและปราโมทย์เป็นต้น ของตนผู้อิ่มกายอิ่มใจ.
บทว่า น วิรูหติ ความว่า ย่อมไม่ถึงความเจริญงอกงาม.
บทว่า ปูติกํ ความว่า ถึงความเป็นของเน่า เพราะไม่มีการให้การ
ฉาบทาด้วยโคมัย.

127
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๓ – หน้าที่ 128 (เล่ม 52)

บทว่า ตุฏฺเฐน จิตฺเต เป็นตติยาวิภัตติใช้ในลักษณะแห่งอิตถัมภูตะ,
อธิบายว่า เป็นผู้มีใจยินดี เบิกบาน.
บทว่า เขเปตฺวา ได้แก่ ตัดขาดแล้ว.
บทว่า อกุปฺปตํ แปลว่า ไม่กำเริบ (พระอรหัต).
บทว่า ปปฺปุยฺย แปลว่า ถึงแล้ว. บทว่า ปรมํ สนฺตึ ได้แก่
อนุปาทิเสสนิพพาน. ก็การบรรลุอนุปาทิเสสนิพพานนั้น คือการรอกาละ
(ตาย) อย่างเดียวเท่านั้น ไม่ใช่กาลไร ๆ เพราะฉะนั้น เพื่อจะแสดง
อนุปาทิเสสนิพพานนั้น ท่านจึงกล่าวว่าผู้ไม่มีอาสวะย่อมปรินิพพาน.
ท่านอันพระศาสดาทรงโอวาทอย่างนี้แล้ว ก็เกิดความสังเวช บวช
เจริญวิปัสสนา ไม่นานนักก็บรรลุพระอรหัต, เพราะเหตุนั้น ท่านจึง
กล่าวไว้ในอปทาน๑ว่า
เราได้เห็นพระพุทธเจ้าผู้สูงสุดกว่าสัตว์ ผู้รุ่งเรื่อง
เหมือนต้นกรรณิการ์ โชติช่วงดังดวงประทีป ไพโรจน์
ดุจทองคำ เราวางคณโฑน้ำ ผ้าเปลือกไม้กรองธมกรก ทำ
หนังเสือเฉวียงบ่า แล้วก็สดุดีพระพุทธเจ้าผู้ประเสริฐสุด
ว่า ข้าแต่พระมุนี พระองค์ทรงขจัดความมืดมิด ซึ่ง
อากูลไปด้วยข่ายคือโมหะ ทรงแสดงแสงสว่างแห่งพระ-
ญาณแล้ว เสด็จข้ามไป พระองค์ได้ยกโลกนี้ขึ้นได้แล้ว
สิ่งที่ยอดเยี่ยมซึ่งมีอยู่ทั้งหมด จะเปรียบปานกับพระญาณ
เป็นประมาณเครื่องไปจากโลกของพระองค์ไม่มี ด้วย
๑. ขุ. อ. ๓๓/ข้อ ๒๔.

128
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๓ – หน้าที่ 129 (เล่ม 52)

พระญาณนั้น โลกจึงขนานนามพระองค์ว่าสัพพัญญู ข้า-
พระองค์ ขอถวายบังคมพระองค์ผู้มีเพียรใหญ่ ทรงทราบ
ธรรมทั้งปวง ไม่มีอาสวะ ในกัปที่แสนแต่กัปนี้ได้ เรา
สดุดีพระพุทธเจ้าผู้ประเสริฐสุด ด้วยการสดุดีนั้น เรา
ไม่รู้จักทุคติเลย นี้เป็นผลแห่งการสดุดีพระญาณ เรา
เผากิเลสทั้งหลายแล้ว. . . ฯลฯ . . . พระพุทธศาสนาเรา
ได้ทำเสร็จแล้ว ดังนี้.
ก็พระเถระครั้นบรรลุพระอรหัตแล้ว แม้เมื่อพยากรณ์พระอรหัตผล
ก็ได้กล่าวคาถาเหล่านี้เหมือนกัน.
จบอรรถกถายสทัตตเถรคาถาที่ ๑๐

129
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๓ – หน้าที่ 130 (เล่ม 52)

๑๑. โสณกุฏีกัณณเถรคาถา
ว่าด้วยคาถาของพระโสณกุฏีกัณณเถระ
[๓๔๕] เราได้อุปสมบทแล้ว เป็นผู้หลุดพ้นจากกิเลส ไม่มี
อาสวะ ได้เห็นพระผู้มีพระภาคเจ้า และได้อยู่ร่วมกับ
พระองค์ในวิหารเดียวกัน พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่
ในที่แจ้งตลอดราตรีเป็นอันมากทีเดียว พระศาสดาผู้
ฉลาดในธรรมเป็นเครื่องอยู่ ได้เสด็จเข้าไปสู่พระวิหาร
เมื่อนั้นพระโคดมทรงลาดผ้าสังฆาฏิแล้ว สำเร็จสีหไสยา
ทรงละความขลาดกลัวเสียแล้ว เหมือนราชสีห์อยู่ในถ้ำ
ภูเขา ลำดับนั้น ท่านโสณะผู้เป็นสาวกของพระสัมมา-
สัมพุทธเจ้า ผู้กล่าววาจาไพเราะ ได้ภาษิตสัทธรรมในที่
เฉพาะพระพักตร์ของพระพุทธเจ้าผู้ประเสริฐ ท่านโสณะ
กำหนดรู้เบญจขันธ์แล้ว อบรมอัฏฐังคิกมรรคอันประเสริฐ
พึงได้บรรลุความสงบอย่างยิ่ง จักเป็นผู้ไม่มีอาสวะ
ปรินิพพาน.
จบโสณกุฏิกัณณเถรคาถา
อรรถกถาโสณกุฏิกัณณเถรคาถาที่ ๑๑
คาถาของท่านพระโสณกุฏิกัณณเถระ มีคำเริ่มต้นว่า อุปสมฺปทา
จ เม ลทฺธา ดังนี้. เรื่องนั้นมีเหตุเกิดขึ้นอย่างไร ?

130
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๓ – หน้าที่ 131 (เล่ม 52)

ได้ยินว่า ในกาลแห่งพระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงพระนามว่าปทุมุตตระ
เป็นเศรษฐีสมบูรณ์ด้วยสมบัติในหังสวดีนคร ดำรงอยู่ด้วยอิสรสมบัติอัน
โอฬาร วันหนึ่งเห็นพระศาสดาแวดล้อมไปด้วยพระขีณาสพ ๑๐๐,๐๐๐
องค์ เสด็จเข้าไปสู่นครด้วยพุทธานุภาพใหญ่ ด้วยพุทธลีลาใหญ่ มีจิต
เลื่อมใส ถวายบังคมแล้วได้ยืนประคองอัญชลีอยู่ ในปัจฉาภัต ท่านพร้อม
ด้วยอุบาสกทั้งหลาย ไปยังวิหาร ฟังธรรมอยู่ในสำนักของพระผู้มีพระ-
ภาคเจ้า เห็นพระศาสดาทรงตั้งภิกษุรูปหนึ่งไว้ในตำแหน่งเป็นผู้เลิศ แห่ง
ภิกษุผู้กล่าวถ้อยคำอันไพเราะ แม้ตนเองก็ปรารถนาตำแหน่งนั้น จึงได้
ถวายมหาทาน ได้ตั้งความปรารถนาไว้. พระศาสดาทรงทราบความที่ความ
ปรารถนาของท่านไม่มีอันตราย จึงทรงพยากรณ์ว่า ในอนาคตเธอจักได้
เป็นผู้เลิศกว่าภิกษุผู้กล่าวถ้อยคำอันไพเราะ ในศาสนาของพระสัมมาสัม-
พุทธเจ้าพระนามว่าโคดม.
ท่านบำเพ็ญบุญในนครนั้นตลอดชีวิต ท่องเที่ยวไปในเทวโลกและ
มนุษยโลก ในกาลแห่งพระผู้มีพระภาคเจ้า พระนามว่าวิปัสสี บวชใน
ศาสนา บำเพ็ญวัตรปฏิวัตรให้บริบูรณ์ ได้เย็บจีวรถวายแก่ภิกษุรูปหนึ่ง.
เมื่อโลกว่างจากพระพุทธเจ้าอีก เป็นช่างหูกในกรุงสาวัตถี ได้ต่อคันกลด
ที่ขาดถวายแด่พระปัจเจกพุทธเจ้ารูปหนึ่ง, ท่านได้บำเพ็ญบุญในภพนั้นๆ
ด้วยอาการอย่างนี้ ในพุทธุปบาทกาลนี้ บังเกิดเป็นบุตรเศรษฐีมีสมบัติ
มาก ในกุลฆรนคร๑ ในอวันตีรัฐ พวกญาติได้ตั้งชื่อท่านว่า โสณะ.
เพราะท่านทรงเครื่องประดับหูมีราคาโกฏิ เมื่อควรจะเรียกว่าโกฏิกัณณะ
กลับปรากฏชื่อว่า กุฏิกัณณะ.
๑. บาลีเป็น กุรรฆร.

131