แห่งปฏิสนธิ. คำว่า ปุนปฺปุนํ นี้ ก็ควรนำมา (ประกอบ) ในคำว่า นิริยํ
อคจฺฉิสฺสํ นี้ด้วย.
บทว่า เปตโลกํ ได้แก่ เปรตวิสัย อธิบายว่า ได้แก่ อัตภาพเปรต
มีขุปปิปาสาเปรตเป็นต้น.
บทว่า อาคมํ ได้แก่ เข้าถึงคือเกิดขึ้นด้วยสามารถแห่งปฏิสนธิ.
บทว่า ปุนปฺปุนํ ได้แก่ ไป ๆ มา ๆ.
บทว่า ทุกฺขมมฺหิปิ ความว่า แม้ที่สุดแสนจะทนได้ เพราะทุกข์
ทั้งหลายมีการโบยด้วยหวายที่แข็งและปฏักที่คมเป็นต้น. ก็คำว่า ทุกฺขมมฺ-
หิปิ นี้ ท่านกล่าวไว้ด้วยสามารถแห่งลิงควิปลาส (คือเป็นทุกฺขมายปิ เพราะ
เป็นวิเสสนะของติรจฺฉานโยนยํ). บทว่า ติรจฺฉานโยนิยํ ได้แก่ ในกำเนิด
เดียรฉาน แยกประเภทเป็นเนื้อและนกเป็นต้น.
บทว่า เนกธา หิ ความว่า อาตมาภาพอยู่มาเนิ่นนานแล้ว คือ
ตลอดกาลยึดยาวนานแล้ว มากมายหลายประการ ทั้งด้วยสามารถแห่งสัตว์
๔ เท้า มีอูฐ โค และแพะเป็นต้น ทั้งด้วยสามารถแห่งสัตว์มีปีกทั้งหลายมีกา
นกตระกุมและเหยี่ยวเป็นต้น และหลายวาระด้วยกัน คือ เสวยทุกข์ด้วยอำนาจ
แห่งภัยมีความมีใจหวาดส่ะดุ้งเป็นต้นเนืองนิจ เพื่อแสดงให้เห็นว่า สัตว์ที่เกิด
ในกำเนิดเดียรฉานวกกลับไปกลับมา ในกำเนิดเดียรฉานนั้นนั่นเองนานเท่านาน
เพราะงมงายมาก ท่านจึงได้กล่าวคำว่า จิรํ ไว้ในที่นี้.
บทว่า มานุโสปิ จ ภโวภิราธิโต ความว่า ถึงอัตภาพมนุษย์
อาตมาภาพก็ชอบใจมาแล้ว คือสำเร็จมาแล้ว ได้แก่ เผชิญมาแล้วด้วยกุศลกรรม
เช่นนั้นประชุมกันเป็นเหตุ. ในเรื่องนี้ควรยกญาณกัจฉโปปมสูตรมาเป็น
อุทาหรณ์.
บทว่า สคฺคกายมคมํ สกึ สกึ ความว่า อาตมาภาพได้เข้าถึง
ฝูงทวยเทพชั้นกามาพจร กล่าวคือการไปสู่สวรรค์ ด้วยสามารถแห่งการเกิดขึ้น
เป็นครั้งเป็นคราว คือ บางกาลบางสมัย.