No Favorites




หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๒ – หน้าที่ 316 (เล่ม 51)

แห่งปฏิสนธิ. คำว่า ปุนปฺปุนํ นี้ ก็ควรนำมา (ประกอบ) ในคำว่า นิริยํ
อคจฺฉิสฺสํ นี้ด้วย.
บทว่า เปตโลกํ ได้แก่ เปรตวิสัย อธิบายว่า ได้แก่ อัตภาพเปรต
มีขุปปิปาสาเปรตเป็นต้น.
บทว่า อาคมํ ได้แก่ เข้าถึงคือเกิดขึ้นด้วยสามารถแห่งปฏิสนธิ.
บทว่า ปุนปฺปุนํ ได้แก่ ไป ๆ มา ๆ.
บทว่า ทุกฺขมมฺหิปิ ความว่า แม้ที่สุดแสนจะทนได้ เพราะทุกข์
ทั้งหลายมีการโบยด้วยหวายที่แข็งและปฏักที่คมเป็นต้น. ก็คำว่า ทุกฺขมมฺ-
หิปิ นี้ ท่านกล่าวไว้ด้วยสามารถแห่งลิงควิปลาส (คือเป็นทุกฺขมายปิ เพราะ
เป็นวิเสสนะของติรจฺฉานโยนยํ). บทว่า ติรจฺฉานโยนิยํ ได้แก่ ในกำเนิด
เดียรฉาน แยกประเภทเป็นเนื้อและนกเป็นต้น.
บทว่า เนกธา หิ ความว่า อาตมาภาพอยู่มาเนิ่นนานแล้ว คือ
ตลอดกาลยึดยาวนานแล้ว มากมายหลายประการ ทั้งด้วยสามารถแห่งสัตว์
๔ เท้า มีอูฐ โค และแพะเป็นต้น ทั้งด้วยสามารถแห่งสัตว์มีปีกทั้งหลายมีกา
นกตระกุมและเหยี่ยวเป็นต้น และหลายวาระด้วยกัน คือ เสวยทุกข์ด้วยอำนาจ
แห่งภัยมีความมีใจหวาดส่ะดุ้งเป็นต้นเนืองนิจ เพื่อแสดงให้เห็นว่า สัตว์ที่เกิด
ในกำเนิดเดียรฉานวกกลับไปกลับมา ในกำเนิดเดียรฉานนั้นนั่นเองนานเท่านาน
เพราะงมงายมาก ท่านจึงได้กล่าวคำว่า จิรํ ไว้ในที่นี้.
บทว่า มานุโสปิ จ ภโวภิราธิโต ความว่า ถึงอัตภาพมนุษย์
อาตมาภาพก็ชอบใจมาแล้ว คือสำเร็จมาแล้ว ได้แก่ เผชิญมาแล้วด้วยกุศลกรรม
เช่นนั้นประชุมกันเป็นเหตุ. ในเรื่องนี้ควรยกญาณกัจฉโปปมสูตรมาเป็น
อุทาหรณ์.
บทว่า สคฺคกายมคมํ สกึ สกึ ความว่า อาตมาภาพได้เข้าถึง
ฝูงทวยเทพชั้นกามาพจร กล่าวคือการไปสู่สวรรค์ ด้วยสามารถแห่งการเกิดขึ้น
เป็นครั้งเป็นคราว คือ บางกาลบางสมัย.

316
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๒ – หน้าที่ 317 (เล่ม 51)

บทว่า รูปธาตุสุ ได้แก่ ในรูปภพมีภวัคคพรหมที่เป็นปุถุชน เป็น
ที่สุด.
บทว่า อรูปธาตุสุ ได้แก่ ในอรูปภพทั้งหลาย.
บทว่า นาสญฺญิสุ อสญฺญิสุฏฺฐิตํ ความว่า ไม่ใช่เพียงแต่เกิดขึ้น
ในรูปภพและอรูปภพล้วน ๆ เท่านั้น โดยที่แท้แล้วในเนวสัญญีนาสัญญีภพ
และในอสัญญีภพ ก็เกิดขึ้นสถิตอยู่แล้ว. ควรนำบทว่า มยา (อันเรา) มา
ประกอบเข้าด้วย. ก็ด้วยศัพท์ว่า เนวสัญญี ในคาถานี้ท่านถือเอาอสัญญีภพ
ด้วย พึงทราบว่า ถึงแม้ว่า ภพทั้ง ๒ เหล่านี้ ท่านถือเอาด้วยศัพท์ว่า รูปธาตุ
และอธูปธาตุ แต่ว่า สัตว์เหล่าใดที่เป็นภายนอกจากนี้ มีความสำคัญในภพ
นั้นว่า เที่ยงแท้ และมีความสำคัญว่า เป็นความหลุดพ้นในภพ เพื่อแสดงให้
เห็นถึงความที่ความสำคัญนั้นของสัตว์เหล่านั้นว่าผิด ท่านจึงได้ถือเอาแยก
ออกไปต่างหาก.
พระเถระเจ้าครั้นแสดงการเสวยวัฏทุกข์ของตนในสงสารที่ไม่มีเบื้องต้น
เพราะความที่ท่านตัดขาดมูลรากของภพ ด้วยคาถา ๒ คาถาอย่างนี้แล้ว บัดนี้
เมื่อจะแสดงการะสวยวิวัฏสุข (ความสุขในวิวัฏฏะ) จึงได้กล่าวคาถาที่ ๓ ไว้
โดยนัยมีอาทิว่า สมฺภวา.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า สมฺภวา ได้แก่ ภพทั้งหลาย เพราะว่า
ภพทั้งหลายมีกามภพเป็นต้นเท่านั้น มีอยู่โดยการชุมนุมแห่งเหตุปัจจัย เพราะ
ฉะนั้น ในคาถานี้ ภพท่านจึงกล่าวว่า สัมภวะ.
บทว่า สุวิทิตา ความว่า รู้ดีแล้วด้วยมรรคปัญญา ที่ประกอบด้วย
วิปัสสนาปัญญา.
คำว่า อสารกา เป็นต้น เป็นคำแสดงถึงอาการที่ท่านเหล่านั้นรู้ดี
แล้ว.

317
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๒ – หน้าที่ 318 (เล่ม 51)

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อสารกา ความว่า เว้น จากสาระมีสาระ
คือ เที่ยงเป็นต้น.
บทว่า สงฺขตา ความว่า อันปัจจัยทั้งหลาย ประมวลปรุงแต่งขึ้น.
บทว่า ปจลิตา ความว่า หวั่นไหวไปโดยประการ (ต่าง ๆ) คือ
ไม่ตั้งอยู่มั่นคงแล้ว เพราะความเกิดและความแก่เป็นต้น เหตุที่ถูกปัจจัยปรุง
แต่งนั่นเอง.
บทว่า สเทริตา ความว่า หวั่นไหวแล้ว คือ เป็นของต่ำช้าเพราะ
แตกทำลายไป ได้แก่ ถึงความแตกหักไป อธิบายว่า พังทะลายไปทุกเมื่อ
คือ ตลอดกาลทุกเมื่อ.
บทว่า ตํ วิทิตฺวา มหมตฺตสมฺภวํ ความว่า ข้าพเจ้าครั้นรู้ข้อนั้น
คือ สภาพที่ถูกปรุงแต่ง ตามที่กล่าวมาแล้วอันเกิดในตน คือ สมภพแล้วใน
ตน ได้แก่ ที่เนื่องด้วยตน ไม่เนื่องด้วยผู้อื่น โดยเป็นอิสระเป็นต้น ด้วย
อำนาจการบรรลุด้วยการกำหนดรู้แล้ว จึงเป็นผู้มีสติ ด้วยสติที่สัมปยุตด้วย
มรรคปัญญา ได้บรรลุ คือ ถึงทับ ได้แก่ ถึงแล้วโดยลำดับ ซึ่งสันติธรรม
นั่นแหละ คือ พระนิพพานนั่นเองที่เป็นปฏิปักษ์ต่อสังขตธรรมนั้น. พระ-
เถรเจ้าได้พยากรณ์พระอรหัตผล แก่พระญาติเหล่านั้น ด้วยธรรมเทศนาที่
สำคัญโดยประการดังที่พรรณนามานี้.
จบอรรถกถาโคตมเถรคาถา

318
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๒ – หน้าที่ 319 (เล่ม 51)

๑๕. หาริตเถรคาถา
ว่าด้วยคาถาของพระหาริตเถระ
[๓๒๑] ได้ยินว่า พระหาริตเถระได้ภาษิตคาถานี้ไว้ อย่างนี้ว่า
ผู้ใดมุ่งจะทำงานที่ควรทำก่อน ไพล่ไปทำใน
ภายหลัง ผู้นั้นย่อมพลาดจากฐานะ อันนำมาซึ่งความ
สุข และย่อมเดือดร้อนในภายหลัง. งานใดควรทำ ก็
พึงพูดถึงแต่งานนั้นเถิด งานใดไม่ควรทำ ก็ไม่ควร
พูดถึงงานนั้น คนไม่ทำมีแต่พูด บัณฑิตทั้งหลาย
ก็รู้ทัน. พระนิพพานที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง
แล้ว เป็นสุขจริงหนอ ไม่มีความโศก ปราศจากธุลี
คือกิเลส เป็นธรรมเกษม เป็นที่ดับทุกข์ ดังนี้.
อรรถกถาหาริตเถรคาถา
คาถาของท่านพระหาริตเถระ มีคำเริ่มต้นว่า โย ปุพฺเพ กรณี-
ยานิ. มีเรื่องเกิดขึ้นอย่างไร ?
แม้ท่านพระหาริตเถระ นั้น เกิดแล้ว ในคฤหาสน์ของผู้มีสกุล
ในกาลของพระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงพระนามว่า ปทุมตตระ รู้เดียงสา
แล้ว เมื่อพระศาสดา ปรินิพพานแล้ว เมื่อประชาชนพากันบูชาที่เชิงตะกอน
ของพระองค์ ได้ทำการบูชาด้วยของหอม.

319
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๒ – หน้าที่ 320 (เล่ม 51)

ด้วยบุญกรรมนั้น ท่านท่องเที่ยวไปมา ในเทวโลกและมนุษยโลก
มาในพุทธุปบาทกาล ได้เกิดในตระกูลพราหมณ์ มีนามว่า หาริตะ เจริญ
วัยแล้ว อาศัยความถือตัวเพราะชาติ จึงร้องเรียกคนอื่น ด้วยวาทะว่า คนถ่อย
ถึงบวชแล้ว ก็ไม่เลิกละการร้องเรียกว่า คนถ่อย เพราะพระพฤติมานานแล้ว
อยู่มาวันหนึ่ง ท่านได้ฟังธรรมในสำนักของพระศาสดา เกิดความสลดใจ เริ่ม
ตั้งวิปัสสนากรรมฐาน ตรวจตราดูความเป็นไปแห่งจิตของตน ได้เห็นจิตถูก
มานะและอุทธัจจะยึดแล้ว จึงละทิ้งมานะและอุทธัจจะ ยังวิปัสสนาให้ก้าว
หน้าขึ้นไปแล้ว ได้บรรลุพระอรหัตผล. ด้วยเหตุนั้น ในอปทาน ท่านจึงได้
กล่าวไว้ว่า
เมื่อมหาชนทำเชิงตะกอน นำของหอมนานา
ชนิดมา ข้าพเจ้ามีจิตเลื่อมใส ดีใจ ได้บูชาด้วยของ
หอมกำมือ ๑ ในกัปที่แสน นับถอยหลัง แต่กัปนี้ไป
เพราะเหตุที่ข้าพเจ้าได้บูชาเชิงตะกอน จึงไม่รู้จักทุคติ
เลย นี้เป็นผลแห่งการบูชาเชิงตะกอน. กิเลสทั้งหลาย
ข้าพเจ้าเผาแล้ว ฯลฯ คำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า
ข้าพเจ้าได้ปฏิบัติแล้ว.
อนึ่ง ท่านครั้นเป็นพระอรหันต์แล้ว เมื่อเสวยวิมุตติสุข ได้พยากรณ์
พระอรหัตผล โดยการให้โอวาทแก่ภิกษุทั้งหลายโดยตรง ด้วยคาถา ๓
คาถา ว่า
ผู้ใดมุ่งจะทำงานที่ควรทำก่อน ไพล่ไปทำในภาย
หลัง ผู้นั้นย่อมพลาดจากฐานะ อันนำมาซึ่งความสุข
และย่อมเดือดร้อนในภายหลัง. งานใดควรทำ ก็พึง

320
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๒ – หน้าที่ 321 (เล่ม 51)

พูดถึงแต่งานนั้นเถิด งานใดไม่ควรทำ ก็ไม่ควรพูด
ถึงงานนั้น คนไม่ทำมีแต่พูด บัณฑิตทั้งหลายก็รู้ทัน.
พระนิพพานที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงแสดงแล้ว
เป็นสุขจริงหนอ ไม่มีความโศก ปราศจากธุลีคือกิเลส
เป็นธรรมเกษมเป็นที่ดับทุกข์ ดังนี้.
เนื้อความของคาถาเหล่านั้น ได้กล่าวไว้ในหนหลังแล้วแล.
จบอรรถกถาหาริตเถรคาถา
๑๖. วิมลเถรคาถา
ว่าด้วยคาถาของพระวิมลเถระ
[๓๒๒] ได้ยินว่า พระวิมลเถระได้ภาษิตคาถานี้ไว้ อย่างนี้ว่า
บุคคลผู้ปรารถนาความสุขอันถาวร ควรเว้นบาป
มิตร คบหาแต่บุคคลผู้สูงสุด และควรตั้งอยู่ในโอวาท
ของท่าน. คนเกาะไม้เล็ก ๆ ต้องจมอยู่ใน
ห้วงมหรรณพ ฉันใด คนแม้ดำรงชีพอย่างดี แต่
อาศัยคนเกียจคร้าน ก็ต้องจมอยู่ใน (ในวัฏสงสาร)
ฉันนั้น เพราะฉะนั้น จึงควรเว้นคนเกียจคร้าน มี
ความเพียรเลวทราม ควรอยู่ร่วมกับบัณฑิตทั้งหลาย
ผู้สงัดเป็นอริยะ มีใจเด็ดเดี่ยว เข้าฌานเป็นปกติ
ปรารภความเพียรเป็นนิจ.
จบวรรคที่ ๑
จบติกนิบาต

321
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๒ – หน้าที่ 322 (เล่ม 51)

อรรถกถาวิมลเถรคาถา
คาถาของท่านพระวิมลเถระ มีคำเริ่มต้นว่า ปาปมิตฺเต. มีเรื่อง
เกิดขึ้นอย่างไร ?
แม้ท่านพระวิมลเถระ นี้ มีบุญญาธิการได้ทำไว้แล้ว ในพระ-
พุทธเจ้าองค์ก่อน ๆ เมื่อสั่งสมบุญที่เป็นอุปนิสัยแห่งวิวัฏฏะ ในภพนั้น ๆ
มาในกาลของพระผู้มีพระภาคเจ้า พระนามว่า ปทุมุตตระ ได้เกิด
ในคฤหาสน์ของผู้มีตระกูล รู้เดียงสาแล้ว เมื่อพระศาสดาปรินิพพานแล้ว วัน
เล่นสนุกสนานผ่านไปแล้ว เมื่ออุบาสกอุบาสิกาทั้งหลาย รับเอาพระพุทธ-
สรีระไปสู่ที่ถวายพระเพลิง รำลึกถึงพระคุณของพระศาสดาแล้ว มีจิตเลื่อมใส
ได้ทำการบูชา ด้วยดอกมะลิ.
ด้วยบุญกรรมนั้น ท่านได้ท่องเที่ยวไปมาในเทวโลกและมนุษยโลก
มาในพุทธุปบาทกาลนี้ ได้เกิดในตระกูลพราหมณ์ ในเมืองพาราณสี มีชื่อ
ว่า วิมละ เจริญวัยแล้ว อาศัยท่านโสมมิตเถระ บวชในพระศาสนา ถูก
ท่านพระโสมมิตเถระนั่นเอง กระตุ้นเตือน เริ่มบำเพ็ญวิปัสสนา ไม่ช้านัก
ก็ได้บรรลุพระอรหัตผล. ด้วยเหตุนั้น ท่านจึงได้กล่าวไว้ในอปทานว่า
เมื่อกลองดังกระหึ่มขึ้น ในเมื่อชนทั้งหลาย นำ
พระพุทธสรีระออกไป ข้าพเจ้ามีจิตเลื่อมใส ดีใจ ได้
บูชาด้วยดอกไม้โลทแดง ในกัปที่แสนแต่กัปนี้ เพราะ
เหตุที่ข้าพเจ้าบูชาด้วยดอกไม้ จึงไม่รู้จักทุคติเลย

322
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๒ – หน้าที่ 323 (เล่ม 51)

นี้เป็นผลของการบูชาพระพุทธสรีระ. กิเลสทั้งหลาย
ข้าพเจ้าเผาแล้ว ฯลฯ คำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า
ข้าพเจ้าปฏิบัติแล้ว.
อนึ่ง ท่านครั้นบรรลุพระอรหัตผลแล้ว เมื่อจะให้โอวาทแก่ภิกษุผู้
เป็นสหายของตน ได้ภาษิตคาถาไว้ ๓ คาถาว่า
บุคคลปรารถนาความสุขอันถาวร ควรเว้นบาป
มิตร คบหาแต่บุคคลผู้สูงสุด และควรตั้งอยู่ในโอวาท
ของท่าน. คนเกาะไม้เล็ก ๆ ต้องจมลงในห้วง
มหรรณพ ฉันใด คนแม้ดำรงชีพอย่างดี แต่อาศัย
คนเกียจคร้าน ก็ต้องจมอยู่ (ในวัฏสงสาร) ฉันนั้น
เพราะฉะนั้น จึงควรเว้นคนเกียจคร้าน มีความเพียร
เลวทราม ควรอยู่ร่วมกับบัณฑิตทั้งหลาย ผู้สงัดเป็น
อริยะ มีใจเด็ดเดี่ยว เข้าฌานเป็นปกติ ปรารภความ
เพียรเป็นนิจ.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ปาปมิตฺเต ได้แก่ ผู้ไม่เป็นกัลยาณมิตร
คือ ผู้ไม่ใช่สัตบุรุษ มีความเพียรเสื่อมแล้ว.
บทว่า วิวชฺเชตฺวา ความว่า เว้นบาปมิตรนั้นแต่ไกล โดยการ ไม่
คบหา.
บทว่า ภเชยฺยุตฺตมปุคฺคลํ ความว่า ควรส้องเสพกัลยาณมิตร
ที่เป็นสัตบุรุษเป็นบัณฑิต ด้วยการรับเอาโอวาทานุสาสนี.
บทว่า โอวาเท จสฺส ติฏฺเฐยฺย ความว่า ควรตั้งอยู่ในโอวาท
ของกัลยาณมิตรนั้น โดยการปฏิบัติ ตามที่สอน คือตามที่อนุศาสน์.

323
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๒ – หน้าที่ 324 (เล่ม 51)

บทว่า ปฏฺเฐนฺ โต ได้แก่ จำนงอยู่.
บทว่า อจลํ สุขํ ได้แก่ ทั้งนิพพานสุข ทั้งผลสุข. ด้วยว่า ความสุข
นั้นท่านเรียก อจละ เพราะเป็นความสุขไม่กำเริบ. คำที่เหลือ มีเนื้อความ
ดังกล่าวมาแล้วนั่นแล.
จบอรรถกถาวิมลเถรคาถา
จบภาค ๑
ในติกนิบาตนี้ รวมพระเถระได้ ๑๖ รูป คือ
๑. พระอังคณิกภารทวาชเถระ ๒. พระปัจจยเถระ ๓. พระพากุล
เถระ ๔. พระธนิยเถระ ๕. พระมาตังคบุตรเถระ ๖. พระขุชชโสภิตเถระ
๗. พระวารณเถระ ๘. พระปัสสิกเถระ ๙. พระยโสชเถระ ๑๐. พระสา-
ฏิมัตติกเถระ ๑๑. พระอุบาลีเถระ ๑๒. พระอุตตรปาลเถระ ๑๓. พระ
อภิภูตเถระ ๑๔. พระโคตมเถระ ๑๕. พระหาริตเถระ ๑๖. พระวิมลเถระ
เป็นคาถาที่ท่านรจนาไว้รวม ๔๘ คาถา ฉะนี้แล และอรรถกถา.

324
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๓ – หน้าที่ 1 (เล่ม 52)

พระสุตตันตปิฎก
ขุททกนิกาย เถรคาถา
เล่มที่ ๒ ภาคที่ ๓
ตอนที่ ๓
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
เถรคาถา จตุกกนิบาต
๑. นาคสมาลเถรคาถา
ว่าด้วยคาถาของพระนาคสมาลเถระ
[๓๒๓] เราเดินเข้าไปในบิณฑบาตในพระนคร ได้เห็นหญิง
ฟ้อนรำคนหนึ่ง ตกแต่งร่างกายด้วยเครื่องอาภรณ์ นุ่งห่ม
ผ้าสวยงาม ทัดทรงดอกไม้ ลูบไล้ด้วยกระแจะจันทน์
ฟ้อนรำอยู่ในวงดนตรีที่ถนนหลวง ท่ามกลางพระนคร
เป็นดุจบ่วงแห่งมัจจุราชอันธรรมชาติมาดักไว้ เพราะ-
ฉะนั้น การกระทำไว้ในใจโดยอุบายอันแยบคาย จึง
บังเกิดขึ้นแก่เรา อาทีนวโทษปรากฏแก่เรา ความเบื่อหน่าย
ก็ตั้งลงมั่น ลำดับนั้นจิตของเราก็หลุดพ้นจากสรรพกิเลส
ขอท่านจงดูความที่แห่งธรรมเป็นธรรมอันดีเลิศ เราได้
บรรลุวิชชา ๓ แล้ว ได้ทำกิจพระพุทธศาสนาเสร็จแล้ว.
จบนาคสมาลเถรคาถา 1