หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ เล่ม ๒ – หน้าที่ 391 (เล่ม 4)

ด้วยได้ฟังก็ตาม ด้วยรังเกียจก็ตาม ขอพระผู้เป็นเจ้าทั้งหลาย จงอาศัยความ
อนุเคราะห์ว่ากล่าวภิกษุณีสงฆ์, ภิกษุณีสงฆ์เห็นอยู่ จักทำคืน, และว่า ข้าแต่
พระผู้เป็นเจ้า ! ภิกษุณีสงฆ์ปวารณากะพระผู้เป็นเจ้า ด้วยได้เห็นก็ตาม ด้วย
ได้ฟังก็ตาม ด้วยรังเกียจก็ตาม, ขอพระผู้เป็นเจ้าจงอาศัยความอนุเคราะห์
ว่ากล่าวภิกษุณีสงฆ์, ภิกษุณีสงฆ์เห็นอยู่ จักคำคืน ดังนี้.
เมื่อไม่ครบสงฆ์แม้ทั้ง ๒ ฝ่าย พึงกล่าว ๓ ครั้ง อย่างนี้ว่า ข้าแต่
พระผู้เป็นเจ้าทั้งหลาย ! ภิกษุณีทั้งหลายปวารณากะพระผู้เป็นเจ้าทั้งหลาย ด้วย
ได้เห็นก็ดี ด้วยได้ฟังก็ดี ด้วยรังเกียจก็ดี, พระผู้เป็นเจ้าทั้งหลายจงอาศัยความ
อนุเคราะห์ว่ากล่าวภิกษุณีทั้งหลาย ๆ เห็นอยู่ จักกระทำคืน, และว่า ข้าแต่
พระผู้เป็นเจ้า ! ภิกษุณีทั้งหลายปวารณากะพระผู้เป็นเจ้า ด้วยได้เห็นก็ดี ด้วย
ได้ฟังก็ดี ด้วยรังเกียจก็ดี, ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า ขอพระผู้เป็นเจ้าจงอาศัย
ความอนุเคราะห์ ว่ากล่าวภิกษุณีทั้งหลาย ๆ เห็นอยู่ จักกระทำคืน ดังนี้, ว่า
ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้าทั้งหลาย ! ดิฉันปวารณากะพระผู้เป็นเจ้าทั้งหลาย ด้วย
ได้เห็นก็ดี ด้วยได้ฟังก็ดี ด้วยรังเกียจก็ดี, ขอพระผู้เป็นเจ้าทั้งหลายจงอาศัย
ความอนุเคราะห์ว่ากล่าวดิฉัน ๆ เห็นอยู่ จักกระทำคืน และว่า ข้าแต่พระผู้-
เป็นเจ้า ! ดิฉันปวารณากะพระผู้เป็นเจ้า ด้วยได้เห็นก็ดี ด้วยได้ฟังก็ดี ด้วย
รังเกียจก็ดี ขอพระผู้เป็นเจ้าจงอาศัยความอนุเคราะห์ว่ากล่าวดิฉัน ๆ เห็นอยู่
จักกระทำคืน ดังนี้.
การประพฤติมานัต และการแสวงหาการอุปสมบท จักมีแจ้งในที่
ตามควรแก่ฐานะนั่นแล.
ข้อว่า น ภิกฺขุนิยา เกนจิ ปริยาเยน มีความว่า ภิกษุณีอย่า
พึงด่า อย่าพึงบริภาษภิกษุด้วยอักโกสวัตถุ ๑. หรือด้วยคำเปรียบเปรยอะไร
อย่างอื่น และไม่พึงขู่ภิกษุด้วยภัย.

391
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ เล่ม ๒ – หน้าที่ 392 (เล่ม 4)

บทว่า โอวโฏ ได้แก่ ปิด คือ กั้น ห้าม. ถ้อยคำนั้น แหละ ชื่อว่า
พจนบถ.
บทว่า อโนโฏ ได้แก่ ไม่ปิด คือ ไม่กั้น ไม่ห้าม. เพราะเหตุนั้น
ภิกษุณีทั้งอยู่ในฐานแห่งความเป็นผู้ใหม่ คือ ในฐานแห่งผู้เป็นหัวหน้า อย่า
พึงว่ากล่าว อย่าพึงสั่งสอนภิกษุโดยปริยายใด ๆ ว่า ท่านจงเดินหน้าอย่างนี้,
จงถอยกลับอย่างนี้, จงนุ่งอย่างนี้, จงห่มอย่างนี้. แต่เห็นโทษแล้ว จะแสดง
โทษที่มีอยู่โดยนัยเป็นต้นว่า พระมหาเถระทั้งหลายในปางก่อน ย่อมไม่เดินไป
ข้างหน้า ไม่ถอยหลัง ไม่นุ่ง ไม่ห่มอย่างนั้น, ย่อมไม่ทรงแม้ผ้ากาสาวะเช่นนี้
ไม่หยอดนัยน์ตาอย่างนั้น ดังนี้ ควรอยู่.
ส่วนภิกษุทั้งหลาย ว่ากล่าว สั่งสอนภิกษุณี คามสะดวกว่า แม่
สมณีแก่นี้ ย่อมนุ่งอย่างนี้ ย่อมห่มอย่างนี้, อย่านุ่งอย่างนี้ อย่าห่มอย่างนี้,
อย่ากระทำกรรมเกี่ยวด้วยเมล็ดงา และเกี่ยวด้วยใบไม้เป็นต้น ควรอยู่.
สองบทว่า สมคฺคมฺหยฺยาติ ภณนฺตํ ได้แก่ กะภิกษุณีสงฆ์ ผู้กล่าว
อยู่ว่า พวกดิฉันพร้อมเพรียงกัน พระผู้เป็นเจ้า !
คำว่า อญฺญํ ธมฺมํ ภณติ ได้แก่ (สั่งสอน) สูตร หรืออภิธรรม
อย่างอื่น, ก็พวกภิกษุณีย่อมหวังเฉพาะโอวาทด้วยคำว่า สมคฺคมฺหยฺย.
เพราะเหตุนั้น จึงเป็นทุกกฏแก่ภิกษุผู้กล่าวธรรมอื่นเว้นโอวาทเสีย.
สองบทว่า โอวาทํ อนิยฺยาเทตฺวา ได้แก่ ไม่กล่าวว่า ดูก่อน
น้องหญิง ! ในโอวาท, กรรม คือ ภิกขุโนวาทกสมมติ (การสมมติภิกษุผู้
สั่งสอนภิกษุณี) ผู้ศึกษาพึงทราบว่า กรรม ในคำว่า อธมฺมกมฺเม เป็นต้น .
บรรดากรรม มีกรรมไม่เป็นธรรมเป็นต้นนั้น ในกรรมไม่เป็นธรรม เป็น
ปาจิตตีย์ ๑๘ ตัว ด้วยอำนาจแห่งหมวด ๙ ๒ หมวด. ในกรรมเป็นธรรม

392
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ เล่ม ๒ – หน้าที่ 393 (เล่ม 4)

ไม่เป็นอาบัติ ในบทสุดท้ายแห่งหมวด ๙ หมวดที่ ๒. ในบทที่เหลือเป็น
ทุกกฏ ๑๗ ตัว.
สองบทว่า อุทฺเทสํ เทนฺโต ได้แก่ ผู้แสดงบาลีแห่งครุธรรม ๘.
สองบทว่า ปริปุจฺฉํ เทนฺโต มีความว่า ผู้กล่าวอรรถกถาแห่งบาลี
ครุธรรมที่คล่องแคล่วนั้นนั่นแล.
หลายบทว่า โอสาเรหิ อยฺยาติ วุจฺจมาโน โอสาเรติ มีความว่า
ภิกษุผู้อันภิกษุณีทั้งหลายกล่าวอย่างนี้ ย่อมสวดบาลีครุธรรม ๘ ภิกษุผู้ให้อุเทศ
ผู้ให้ปริปุจฉาอย่างนี้ และภิกษุผู้อันภิกษุณีกล่าวว่า นิมนต์สวดเถิด สวด
ครุธรรม ๘, ไม่เป็นอาบัติปาจิตตีย์แก่ภิกษุนั้น ไม่เป็นอาบัติทุกกฎแก่ภิกษุผู้
กล่าวธรรมอื่น.
หลายบทว่า ปญฺหํ ปุจฉติ ปญฺหํ ปุฏฺโฐ กเถติ มีความว่า
ภิกษุณีย่อมถามปัญหาอิงครุธรรม หรืออิงธรรมมีชันธ์เป็นต้น . ไม่เป็นอาบัติ
แม้แก่ภิกษุผู้กล่าวแก้ปัญหานั้น.
สองบทว่า อญฺญสฺสตฺถาย ภณนฺตํ มีความว่า ภิกษุณีทั้งหลาย
เข้าไปหาภิกษุผู้กำลังแสดงธรรมในบริษัท ๔ แล้วฟังอยู่. แม้ในการกล่าวเพื่อ
ประโยชน์แก่คนอื่นนั้น ไม่เป็นอาบัติแก่ภิกษุ.
สองบทว่า สิกฺขมานาย สามเณริยา คือ ไม่เป็นอาบัติแม้แก่ภิกษุ
ผู้แสดงแก่สิกขมานาและสามเณรีเหล่านั้น. บทที่เหลือ มีอรรถตื้นทั้งนั้น.
สิกขาบทนี้ มีสมุฏฐานเหมือนปทโสธรรมสิกขาบท เกิดขึ้นทางวาจา ๑
ทางวาจากับจิต ๑ เป็นกิริยา โนสัญญาวิโมกข์ อจิตตกะ ปัณณัติวัชชะ
วจีกรรม มีจิต ๓ มีเวทนา ๓ ดังนี้แล.
โอวาทสิกขาบทที่ ๑ จบ

393
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ เล่ม ๒ – หน้าที่ 394 (เล่ม 4)

โอวาทวรรค สิกขาบทที่ ๒
เรื่องพระจูฬปันถกเถระ
[๔๒ ] โดยสมัยนั้น พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าประทับอยู่ ณ พระ-
เชตวัน อารามของอนาถบิณฑิกคหบดี เขตพระนครสาวัตถี ครั้งนั้น พระเถระ
ทั้งหลาย ผลัดเปลี่ยนกันกล่าวสอนพวกภิกษุณี สมัยนั้น ถึงวาระของท่าน
พระจูฬปันถกที่จะกล่าวสอนพวกภิกษุณี ๆ พูดกัน อย่างนี้ว่า วันนี้โอวาทเห็น
จะไม่สำเร็จประโยชน์ เพราะประเดี๋ยวพระคุณเจ้าจูฬปันถกจะกล่าวอุทานอย่าง
เดิมนั่นแหละซ้ำ ๆ ซาก ๆ แล้วพากันเข้าไปหาท่านพระจูพปันถก อภิวาท
แล้วนั่งอยู่ ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง.
ท่านพระจูฬปันถกได้ถามภิกษุณีเหล่านั้น ผู้นั่งเรียบร้อยแล้ว ดังนี้ว่า
พวกเธอพร้อมเพรียงกันแล้วหรือ น้องหญิงทั้งหลาย.
ภิกษุณี. พวกดิฉันพร้อมเพรียงกันแล้ว เจ้าข้า
จูฬ. ครุธรรม ๘ ประการยังเป็นไปดีอยู่หรือ น้องหญิงทั้งหลาย.
ภิกษุณี. ยังเป็นไปดีอยู่ เจ้าข้า.
ท่านพระจูฬปันถกสั่งว่า นี่แหละเป็นโอวาทละ น้องหญิงทั้งหลาย
แล้วได้กล่าวอุทานนี้ซ้ำอีก ว่าดังนี้.
ความโศก ย่อมไม่มีแก่มนุษย์ ผู้มีจิตตั้ง
มั่น ไม่ประมาท ศึกษาอยู่ในโมเนยยปฏิปทา
ผู้คงที่ ผู้สงบระงับ มีสติทุกเมื่อ.
[๔๒๕] ภิกษุณีทั้งหลายได้สนทนากันอย่างนี้ว่า เราได้พูดแล้วมิใช่
หรือว่า วันนี้ โอวาทเห็นจะไม่สำเร็จประโยชน์ เพราะประเดี๋ยวพระคุณเจ้า
จูฬปันถกจะกล่าวอุทานอย่างเดิมนั่นแหละซ้ำ ๆ ซาก ๆ.

394
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ เล่ม ๒ – หน้าที่ 395 (เล่ม 4)

ท่านพระจูฬปันถกได้ยินคำสนทนานี้ของภิกษุณีพวกนั้น ครั้นแล้ว
ท่านเหาะขึ้นสู่เวหา จงกรมบ้าง ยืนบ้าง นั่งบ้าง สำเร็จการนอนบ้าง ทำให้
ควันกลุ้มตลบขึ้นบ้าง ทำให้เป็นไฟโพลงขึ้นบ้าง หายตัวบ้าง อยู่ในอากาศ
กลางหาว กล่าวอุทานอย่างเติมนั้น และพระพุทธพจน์อย่างอื่นอีกมาก.
ภิกษุณีทั้งหลายกล่าวชมอย่างนี้ว่า น่าอัศจรรย์นักชาวเราเอ๋ย ไม่เคย
มีเลยชาวเราเอ๋ย ในกาลก่อนแต่นี้ โอวาทไม่เคยสำเร็จประโยชน์แก่พวกเรา
เหมือนโอวาทของพระคุณเจ้าจูฬปันถกเลย คราวนั้นท่านพระจูฬปันถกกล่าว
สอนภิกษุณีเหล่านั้นจนพลบค่ำ ย่ำสนธยา แล้วได้ส่งกลับด้วยคำว่า กลับไป
เถิด น้องหญิงทั้งหลาย จึงภิกษุณีเหล่านั้น เมื่อเขาปิดประตูเมืองแล้ว ได้
พากันพักแรมอยู่นอกเมือง รุ่งสายจึงเข้าเมืองได้ ประชาชนพากันเพ่งโทษ
ติเตียนโพนทะนาว่า ภิกษุณีพวกนี้เหมือนไม่ใช่สตรีผู้ประพฤติพรหมจรรย์
พักแรมอยู่กับพวกภิกษุในอารามแล้ว เพิ่งจะพากันกลับเข้าเมืองเดี๋ยวนี้ ภิกษุ
ทั้งหลายได้ยินประชาชนพากันเพ่งโทษติเตียนโพนทะนาอยู่ บรรดาที่เป็นผู้มัก
น้อย ... ต่างก็เพ่งโทษติเตียนโพนทะนาว่า ไฉน ท่านพระจูฬปันถก เมื่อ
พระอาทิตย์ตกแล้ว จึงยังได้กล่าวสอนพวกภิกษุณีอยู่เล่า แล้วกราบทูลเรื่อง
นั้นแด่พระผู้มีพระภาคเจ้า. . .
ทรงสอบถาม
พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงสอบถามว่า ดูก่อนจูฬปันถก ข่าวว่า เมื่อ
พระอาทิตย์ตกแล้ว เธอยังกล่าวสอนพวกภิกษุณีอยู่ จริงหรือ.
พระจูฬปันถกทูลรับว่า จริง พระพุทธเจ้าข้า.

395
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ เล่ม ๒ – หน้าที่ 396 (เล่ม 4)

ทรงติเตียนแล้วบัญญัติสิกขาบท
พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าทรงติเตียนว่า ดูก่อนจูฬปันถก เมื่อพระ-
อาทิตย์ตกแล้ว ไฉนจึงยังได้กล่าวสอนพวกภิกษุณีอยู่เล่า การกระทำของเธอ
นั่น ไม่เป็นไปเพื่อความเลื่อมใสของชุมชนที่ยังไม่เลื่อมใส หรือเพื่อความ
เลื่อมใสยิ่งของชุมชนที่เลื่อมใสแล้ว . . .
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็แลพวกเธอพึงยกสิกขาบทนี้ขึ้นแสดงอย่างนี้
ว่าดังนี้
พระบัญญัติ
๗๑.๒. ถ้าภิกษุ แม้ได้รับสมมติแล้ว เมื่อพระอาทิตย์อัสดง
แล้ว กล่าวสอนพวกภิกษุณี เป็นปาจิตตีย์.
เรื่องจูฬปันถกเถระ จบ
สิกขาบทวิภังค์
[๔๒๖] ผู้ชื่อว่า ได้รับ สมมติแล้ว คือ ได้รับสมมติแล้วด้วยญัตติ-
จตุตถกรรม.
คำว่า เมื่อพระอาทิตย์อัสดงแล้ว คือ เมื่อพระอาทิตย์ตกแล้ว.
ผู้ชื่อว่า พวกภิกษุณี ได้แก่ สตรีผู้อุปสมบทแล้วในสงฆ์ ๒ ฝ่าย.
บทว่า กล่าวสอน ความว่า กล่าวสอนด้วยครุธรรม ๘ ประการ
หรือด้วยธรรมอย่างอื่น ต้องอาบัติปาจิตตีย์.

396
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ เล่ม ๒ – หน้าที่ 397 (เล่ม 4)

บทภาชนีย์
ติกปาจิตตีย์
[๔๒๗] พระอาทิตย์อัสดงแล้ว ภิกษุสำคัญว่า อัสดงแล้ว กล่าว
สอน ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
พระอาทิตย์อัสดงแล้ว ภิกษุสงสัย กล่าวสอน ต้องอาบัติปาจิตตีย์
พระอาทิตย์อัสดงแล้ว ภิกษุสำคัญว่ายังไม่อัสดง กล่าวสอน ต้อง
อาบัติปาจิตตีย์.
ติกทุกกฏ
ภิกษุสั่งสอนภิกษุณีผู้อุปสมบทในสงฆ์ฝ่ายเดียว ต้องอาบัติทุกกฏ.
พระอาทิทย์ยังไม่อัสดง ภิกษุสำคัญว่าอัสดงแล้ว กล่าวสอน ต้อง
อาบัติทุกกฏ.
พระอาทิตย์ยังไม่อัสดง ภิกษุสงสัย กล่าวสอน ต้องอาบัติทุกกฏ.
ไม่ต้องอาบัติ
พระอาทิตย์ยังไม่อัสดง ภิกษุสำคัญว่ายังไม่อัสดง กล่าวสอน ไม่
ต้องอาบัติ.
อนาปัตติวาร
[๔๒๘] ภิกษุให้อุเทศ ๑ ภิกษุให้ปริปุจฉา ๑ ภิกษุอันภิกษุณีกล่าว
ว่า นิมนต์ท่านสวดเถิด เจ้าข้า ดังนี้ สวดอยู่ ๑ ภิกษุถามปัญหา ๑ ภิกษุ
ถูกถามปัญหาแล้วแก้ ๑ ภิกษุกล่าวสอนเพื่อประโยชน์แก่ผู้อื่นอยู่ แต่พวก
ภิกษุณีฟังอยู่ด้วย ๑ ภิกษุกล่าวสอนสิกขมานา ๑ ภิกษุกล่าวสอนสามเณรี ๑
ภิกษุวิกลจริต ๑ ภิกษุอาทิกัมมิกะ ๑ ไม่ต้องอาบัติแล.
โอวาทวรรคสิกขาบทที่ ๒ จบ

397
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ เล่ม ๒ – หน้าที่ 398 (เล่ม 4)

ภิกขุนีวรรค อัตถังคตสิกขาบทที่ ๒
พึงทราบวินิจฉัย ในสิกขาบทที่ ๒ ดังต่อไปนี้.
[แก้อรรถคาถาของพระจูฬบันถกเถระ]
บทว่า ปริยาเยน คือ ตามวาระ ความว่า ตามลำดับ.
บทว่า อธิเจตโส คือ ผู้มีอธิจิต อธิบายว่า ผู้ประกอบด้วยจิตที่
ยิ่งกว่าจิตทั้งหมด คือ อรหัตผลจิต.
บทว่า อปฺปมฺชฺชโต คือ ผู้ไม่ประมาท. มีคำอธิบายว่า ผู้ประกอบ
ด้วยการบำเพ็ญกุศลธรรมติดต่อกัน ด้วยความไม่ประมาท.
บทว่า มุนิโน มีความว่า ญาณ ตรัสเรียกว่า โมนะ เพราะรู้โลกทั้ง
๒ อย่างนี้ว่า ผู้ใด ย่อมรู้โลกทั้ง ๒ ผู้นั้น เราเรียกว่า มุนี เพราะเหตุนั้น
หรือ พระขีณาสพ ตรัสเรียกชื่อว่า มุนี เพราะประกอบด้วยญาณนั้น แก่
มุนีนั้น.
สองบทว่า โมนปเถสุ สิกฺขโต มีความว่า ผู้ศึกษาอยู่ในทางแห่ง
ญาณชื่อโมนะ กล่าวคือ อรหัตมรรคญาณ คือ ในโพธิปักขิยธรรม ๓๗
หรือ ในไตรสิกขา. ก็คำนี้พระผู้มีพระภาคตรัสหมายเอาปฏิปทาเป็นต้นส่วนเบื้อง
ต้น . เพราะฉะนั้น ผู้ศึกษาพึงเห็นใจความในคำว่า มุนิโน โมนปเถสุ
สิกฺขโต นี้ อย่างนี้ว่า แก่มุนีผู้ศึกษาอยู่ในธรรมเป็นต้นส่วนเบื้องต้น อย่างนี้
บรรลุความเป็นมุนีด้วยการศึกษานี้.
บทพระคาถาว่า โสกา น ภวนฺติ ตาทิโน มีความว่า ความโศก
ทั้งหลาย เพราะเรื่องมีการพลัดพรากจากอิฏฐารมณ์เป็นต้น ในภายใน (ในจิต)
ย่อมไม่มีแก่พระขีณาสวมุนีผู้คงที่. อีกอย่างหนึ่ง ในบทว่า ตาทิโน นี้ มี

398
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ เล่ม ๒ – หน้าที่ 399 (เล่ม 4)

ใจความแม้อย่างนี้ว่า ความโศกทั้งหลายย่อมไม่มีแก่มุนีผู้ประกอบด้วยลักษณะ
คงที่เห็นปานนี้.
บทว่า อุปสนฺตสฺส ได้แก่ ผู้สงบระงับเพราะสงบกิเลสมีราคะ
เป็นต้นได้.
บทว่า สทา สตีมโต ได้แก่ ผู้ไม่เว้น จากสติ ตลอดกาลเป็นนิตย์
เพราะเป็นผู้ถึงความไพบูลย์แห่งสติ.
สองบทว่า อากาเส อนฺตลิกเข ได้แก่ ในอากาศ กล่าวคือ
กลางหาว, ไม่ใช่อากาศเพิกกสิณ ไม่ใช่อากาศเป็นเครื่องกำหนดรูป.
สองบทว่า จงฺกมติปิ ติฏฺฐติปิ มีความว่า พระจูฬปันถกเถระได้
ฟังถอยคำของภิกษุณีเหล่านั้น คิดว่า ภิกษุณีเหล่านี้ ดูหมิ่นเราว่า พระเถระ
รูปนี้ รู้ธรรมเพียงเท่านี้แหละ, เอาละ ! บัดนี้ เราจะแสดงอานุภาพของตน
แก่ภิกษุณีเหล่านี้ จึงยังความเคารพมาก ในธรรมให้เกิดขึ้นแล้ว เข้าจตุตถ-
ฌาน มีอภิญญาเป็นบาท ออกแล้วได้แสดงอิทธิปาฎิหาริย์เห็นปานนี้ คือ
เดินจงกรมในอากาศกลางหาวบ้าง ฯ ล ฯ หายตัวไปในระหว่างบ้าง.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อนฺตรา ปิธายติ มีความว่า หายตัว
ไปบ้าง คือไปไม่ปรากฎให้เห็นบ้าง.
ข้อว่า ตญฺเญว อุทานํ ภณติ อญฺญญฺจ พหุํ พุทฺธวจนํ มี
ความว่า ได้ยินว่า พระเถระถูกให้เรียนคาถาม ในสำนักของพระเถระผู้เป็น
หลวงพี่ของตนว่า
ดอกบัวชื่อโกกนุท มีกลิ่นหอม พึง
บานแต่เช้า ยังไม่วายกลิ่น ฉันใด, ท่านจงดู
พระอังคีรส ผู้รุ่งโรจน์เหมือนดวงอาทิตย์
แผดรัศมีรุ่งโรจน์อยู่ในกลางหาว ฉันนั้น.

399
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ เล่ม ๒ – หน้าที่ 400 (เล่ม 4)

ได้สาธยายถึง ๔ เดือน แต่ไม่อาจทำให้คล่องแคล่วได้.
ครั้งนั้น พระเถระ (หลวงพี่) จึงขับไล่พระจูฬบันถกนั้น ไปเสียจาก
วิหาร ด้วยกล่าวว่า เธอเป็นคนอาภัพในพระศาสนานี้. ท่านได้ยืนร้องไห้อยู่
ที่ซุ้มประตู. คราวนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงตรวจดูพุทธเวไนยสัตว์ ทอด
พระเนตรเห็นท่านแล้ว จึงเสด็จไปใกล้ ๆ ท่าน ดุจเสด็จเที่ยวไปยังวิหารจาริก
ตรัสว่า จูฬบันถก ! เธอร้องให้ทำไม ท่านจึงกราบทูลเรื่องราวนั้น.
ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้า จึงทรงประทานท่อนผ้าอันสะอาดแก่ท่าน
ตรัสว่า เธอจงลูบคลำผ้านี้ว่า ผ้าเช็ดธุลี. ท่านรับว่า สาธุ แล้ว นั่งในที่อยู่ของ
ตนลูบคลำที่สุดด้านหนึ่งแห่งผ้านั้น. ที่ที่ถูกลูบคลำนั้น ได้กลายเป็นสีดำ
ท่านกลับ ได้ความสลดใจว่า ผ้าชื่อว่าแม้บริสุทธิ์อย่างนี้ อาศัยอัตภาพนี้ กลับ
กลายเป็นสีดำ ดังนี้ แล้ว จึงปรารภวิปัสสนา. ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้า
ทรงทราบว่า ท่านปรารภความเพียร ได้ทรงภาษิตโอภาสคาถานี้ว่า อธิเจตโส
เป็นต้น . พระเถระบรรลุพระอรหัตผลในเวลาจบคาถา. เพราะเหตุนั้น พระ
เถระจึงเคารพรักคาถานี้ ตามปรกติเทียว. ท่านกล่าวคาถานี้นั่นแล เพื่อให้
ทราบความเคารพรักคาถานี้นั้น และนำพุทธพจน์อื่นเป็นอันมากมากล่าวอยู่ใน
ระหว่าง. เพราะเหตุนั้น พระธรรมสังคาหกาจารย์ทั้งหลายจึงกล่าวว่า กล่าว
อุทานั้นนั่นแล และพระพุทธพจน์อย่างอื่นเป็นอันมาก.
สองบทว่า เอกโต อุปสมฺปนฺนาย ได้แก่ ภิกษุณีผู้อุปสมบทใน
ภิกษุณีสงฆ์. แต่เป็นปาจิตตีย์ แก่ภิกษุผู้กล่าวสอนภิกษุณีผู้อุปสมบทในภิกษุ
สงฆ์. บทที่เหลือในสิกขาบทนี้ท่านทั้งนั้น. และแม้สิกขาบทนี้ มีสมุฎฐาน
เหมือนปทโสธรรมสิกขาบทนั่นแล.
อัตถังคตสิกขาบทที่ ๒ จบ

400