อนึ่ง ครั้นได้บรรลุพระอรหัตผลแล้ว พิจารณาดูข้อปฏิบัติของตน
แล้ว เมื่อจะบันลือสีหนาท จึงได้กล่าวคาถาไว้ ๓ คาถาว่า
เบญจกามคุณ ทำเราผู้เป็นบัณฑิต สามารถคิด
ค้นประโยชน์ได้ ให้ลุ่มหลงหนอ ให้เราตกอยู่ในโลก
เราได้แล่นไปในวิสัยของมาร ถูกลูกศรปักอยู่อย่าง
เหนียวแน่น แต่ก็สามารถเปลื้องตนออกจากบ่วง
มัจจุราชได้. กามทั้งหมดเราละได้แล้ว ภพทั้งหลาย
เราทำลายได้หมดแล้ว การเวียนเกิด สิ้นสุดลงแล้ว
บัดนี้ภพใหม่ไม่มี.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ปณฺฑิตํ วต มํ สนฺตํ ความว่า
เพราะว่าให้เราผู้ชื่อว่าสมบูรณ์ด้วยปัญญา ด้วยอำนาจปัญญา ที่สำเร็จด้วยการ
ฟังและการคิด ที่มีอยู่.
บทว่า อลมตฺถวิจินฺตกํ ความว่า สามารถเพื่อจะคิดค้นประโยชน์
เกื้อกูลทั้งของตนเอง ทั้งของคนอื่น. อีกอย่างหนึ่ง ความว่า เป็นผู้ควรคิดค้น
เนื้อความตามความต้องการ หรือสามารถกำจัดกิเลสได้ สำหรับผู้เห็นเนื้อความ
เป็นปกติ. พระเถระให้ทุกสิ่งทุกอย่างนี้ เพราะว่าตนเป็นผู้มีภพเป็นครั้งสุดท้าย.
บทว่า ปญฺจ กามคุณา ได้แก่ กามคุณจำนวน ๕ ส่วน มีรูป
เป็นต้น.
คำว่า โลเก เป็นคำแสดงถึงสถานที่ ๆ กามเหล่านั้นเป็นไป.
บทว่า สมฺโมหา ความว่า มีสัมโมหะเป็นนิมิต (เพราะงมงาย)
คือ เหตุที่ทำไว้ในใจโดยไม่แยบคาย. อีกอย่างหนึ่ง บทว่า สมฺโมหา
ได้แก่ เพราะงมงาย คือ เพราะทำให้งมงาย.