No Favorites




หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๒ – หน้าที่ 296 (เล่ม 51)

อุบาลีไม่มีผู้เสมอเหมือน ทั้งในพระวินัยและขันธกะ
ทั้งหลาย นวังคสัตถุศาสน์ที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้
ทั้งหมดนั้น หยั่งลงในพระวินัย พุทธสาวกมีประมาณ
เท่าใด มีปกติเป็นพระวินัยว่า พระวินัยเป็นรากเหง้า
(ของนวังคสัตถุศาสน์นั้น) พระสมณโคดมผู้ประเสริฐ
กว่าศากยราช ทรงระลึกถึงกรรมของข้าพเจ้าแล้ว ได้
ประทับนั่ง (ท่ามกลาง) ภิกษุสงฆ์ ทรงแต่งตั้งข้าพเจ้า
ไว้ในตำแหน่งเอตทัคคะ ข้าพเจ้าได้ปรารถนาตำแหน่ง
นี้มาเป็นเวลาแสนกัป ข้าพเจ้าได้บรรลุประโยชน์นั้น
แล้วถึงบารมีในพระวินัยแล้ว ข้าพเจ้าได้เป็นช่างกัล-
บกผู้สร้างความเพลิดเพลินให้ศากยราชมาก่อน ละ
ทิ้งชาตินั้นแล้ว มาเกิดเป็นบุตรพระมหาฤาษี (พุทธ-
ชิโนรส) ในกัปที่ ๒ นับถอยหลังแต่กัปนี้ไป ได้มี
กษัตริย์ผู้ปกครองแผ่นดิน พระนามว่า อัญชสะ ผู้มี
เดชไม่มีที่สิ้นสุด มีพระบริวารนับไม่ถ้วน มีทรัพย์มาก
ข้าพเจ้าได้เป็นขัตติยราชสกุลของพระองค์ มีนามว่า
จันทนะ เป็นผู้เย่อหยิ่ง เพราะความเมาในชาติ และ
ความเมาในยศ และโภคะ ช้างจำนวนแสน ประดับ
ประดาด้วยคชาภรณ์พร้อมสรรพ ตระกูลมาตังคะ
ตกมัน ๓ แห่ง ห้อมล้อมข้าพเจ้าทุกเมื่อ ข้าพเจ้า

296
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๒ – หน้าที่ 297 (เล่ม 51)

ประสงค์จะไปอุทยาน มีพลนิกายของตนออกหน้าไป
จึงได้ขึ้นช้างต้น (ช้างมิ่งขวัญ) ออกจากพระนครไป
ในครั้งนั้น พระปัจเจกสัมพุทธเจ้า นามว่า เทวละ
ถึงพร้อมด้วยจรณะ มีทวารอันคุ้มครองแล้ว สังวร
ดีแล้ว. ได้มาข้างหน้าของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าจึงได้ไส
ข้างต้นเข้าไปได้ล่วงเกินพระพุทธเจ้าในครั้งนั้น ต่อ
จากนั้น ช้างต้นนั้น ก็เกิดเดือดดาลขึ้น ไม่ย่างเท้าไป
ข้าพเจ้าเห็นช้างไม่พอใจ จึงได้โกรธพระพุทธเจ้า
เบียดเบียนพระปัจเจกสัมพุทธเจ้าแล้ว ได้ไปยังพระ-
อุทยาน ข้าพเจ้าไม่พบความสำราญ ณ ที่นั้น เหมือน
คนถูกไฟไหม้ศีรษะ ถูกความกระวนกระวายแผดเผา
เหมือนปลาติดเบ็ด พื้นแผ่นดินมีสาครเป็นขอบเขต
เป็นเสมือนไฟลุกไปทั่วสำหรับข้าพเจ้า ข้าพเจ้าเข้าไป
เฝ้าพระบิดา จึงได้ทูลคำนี้ไว้ว่า หม่อมฉันล่วงเกิน
พระสยัมภูองค์ใด เหมือนยุอสรพิษให้เดือดดาล
เหมือนโหมกองไฟ และเหมือนฝึกช้างตกมัน พระ-
ชินพุทธเจ้าองค์นั้น ผู้มีพระเดชสูงแรงกล้า ข้าพเจ้า
ได้ล่วงเกินแล้ว ก่อนที่พวกเราทุกคนจะพินาศไป พวก
เราจักพากันขอขมาพระมุนีนั้น ถ้าหากพวกเราจักไม่
ยังพระมุนีนั้น ผู้ทรงฝึกองค์แล้ว มีหฤทัยตั้งมั่นแล้ว

297
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๒ – หน้าที่ 298 (เล่ม 51)

ให้ทราบไซร้ รัฐของเราจักแหลกลาญ ไม่เกิน
วันที่ ๗ พระราชาทั้งหลาย คือ สุเมขละ ๑
โกสิยะ ๑ สิคควะ ๑ สัตตกะ ๑ พร้อมด้วยเสนา
ตกทุกข์ได้ยาก เพราะล่วงเกินฤาษีทั้งหลาย เมื่อใด
ฤาษีทั้งหลายผู้สำรวมแล้ว ผู้ประพฤติพรหมจรรย์
โกรธ เมื่อนั้น ฤาษีเหล่านั้น จะบันดาลให้ (โลกนี้)
พร้อมทั้งเทวโลกทั้งสาครและบรรพต ให้พินาศไปได้
ข้าพเจ้าจึงประชุมราชบุรุษทั้งหลายในที่ประมาณสาม
พันโยชน์ เข้าไปหาพระสยัมภู เพื่อต้องการแสดง
โทษผิด ทุกคนมีผ้าเปียก และศีรษะเปียกน้ำเหมือน
กันหมด กระทำอัญชลี หมอบแทบบาทพุทธเจ้า
แล้วได้กล่าวคำวิงวอนนี้ว่า ข้าแต่มหาวีระ ขอท่าน
โปรดประทานอภัยโทษแก่ชนที่ร้องขอ ขอพระ-
มหาวีระบรรเทาความเร่าร้อน และอย่าให้รัฐ
ของพวกข้าพเจ้าพินาศเลย มวลสัตว์พร้อมทั้งเทวดา
และมนุษย์ พร้อมทั้งอสูรเผ่าทานพ พร้อมด้วย
รากษส พึงพากันเอาค้อนเหล็กมาตีศีรษะของ
ข้าพเจ้าอยู่ทุกเมื่อ ความโกรธจะไม่เกิดขึ้นในพระ
พุทธเจ้า เหมือนไฟสถิตอยู่ในน้ำไม่ได้ เหมือนพืช
ไม่งอกบนหิน เหมือนกิมิชาติ ดำรงชีวิตอยู่ในยา
ขนานวิเศษไม่ได้ฉะนั้น พระพุทธเจ้าทั้งหลายไม่

298
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๒ – หน้าที่ 299 (เล่ม 51)

กระเทือนหฤทัย เหมือนแผ่นดินไม่กระเทือน สาคร
ที่นับจำนวนน้ำไม่ได้ก็ไม่กระเพื่อม และอากาศที่ไม่
มีที่สุด ก็ไม่ปั่นป่วน พระมหาวีระทั้งหลาย ผู้
ฝึกฝนดีแล้ว อดกลั้นได้แล้ว และมีตบะ เจ้า
ประคุณทั้งหลาย ผู้อดทนและอดกลั้นได้แล้ว
จะไม่มีการไป พระปัจเจกสัมพุทธเจ้ากล่าวคำ
นี้แล้ว เมื่อจะบรรเทาความเร่าร้อน จึงเหาะ
ขึ้นฟ้า ต่อหน้ามหาชนในครั้งนั้น ข้าแต่พระ-
มหาวีระ ด้วยกรรมนั้น ข้าพระองค์ได้เข้าถึงความเป็น
คนชั้นต่ำ ล่วงเลยกำเนิดนั้นมาแล้ว จึงเข้าไปยัง
อภยบุรี ข้าแต่พระมหาวีระ แม้ในครั้งนั้น พระองค์
ทรงแก้ไขความเร่าร้อน ที่แผดเผาข้าพระองค์ คือ
สถิตมั่นอยู่ในข้าพระองค์ และข้าพระองค์ได้ให้
พระสยัมภู อดโทษแล้ว ข้าแต่พระมหาวีระ แม้
วันนี้ พระองค์ก็ทรงดับไฟ ๓ กอง ให้ข้าพระองค์ผู้
กำลังถูกไฟ ๓ กองเผาลนอยู่ และข้าพระองค์ก็ถึง
ความเยือกเย็น ท่านเหล่าใด มีการเงี่ยโสตลงฟัง
ข้าพเจ้าจะบอกเนื้อความ คือ บท (พระนิพพาน)
ตามที่ข้าพเจ้าได้เห็นแล้ว แก่ท่านเหล่านั้น ขอ
ท่านทั้งหลายจงฟังคำของข้าพเจ้าผู้กล่าวอยู่ ด้วยกรรม
ที่ข้าพเจ้าได้ดูหมิ่นพระสยัมภู ผู้มีหฤทัยสงบ ผู้มี

299
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๒ – หน้าที่ 300 (เล่ม 51)

หฤทัยมั่นคงแล้ว วันนี้ข้าพเจ้าจึงได้เกิดในกำเนิดที่ต่ำ
ทราม ท่านทั้งหลายอย่าพร่าขณะเวลาเลย เพราะผู้
ปล่อยขณะเวลาให้ล่วงเลยไปแล้ว ย่อมเศร้าโศกเสียใจ
ท่านทั้งหลายควรพยายามในประโยชน์ของตน ท่าน
ทั้งหลายจึงจะให้ขณะเวลาประสบผล ไม่ล่วงไปเปล่า
ก็ยาเหล่านี้ คือ ยาสำรอก เป็นพิษร้ายกาจสำหรับคน
บางพวก แต่เป็นโอสถสำหรับคนบางเหล่า ส่วนยา
ถ่าย เป็นพิษร้ายกาจสำหรับคนบางพวก แต่เป็นโอสถ
สำหรับคนบางเหล่า (ฉันใด) พระสัมมาสัมพุทธเจ้า
ก็ฉันนั้น เป็นเสมือนยาสำรอก สำหรับผู้ปฏิบัติ (ผู้
เจริญมรรค) เป็นเสมือนยาถ่ายสำหรับผู้ตั้งอยู่ในผล
เป็นเสมือนโอสถสำหรับผู้ได้ผลแล้ว และเป็นบุญเขต
สำหรับผู้แสวงหา (โมกขธรรม) พระสัมมาสัมพุทธเจ้า
เป็นเสมือนยาพิษที่ร้ายกาจ สำหรับผู้ประพฤติผิดจาก
คำสั่งสอน เผาคน ๆ นั้นเหมือนอสรพิษ ต้องยาพิษ
ยาพิษชนิดแรงที่คนดื่มแล้วจะผลาญชีวิต (เขาเพียง)
ครั้งเดียว ส่วนคนผิดพลาดจากคำสั่งสอน (พุทธ-
ศาสนา) แล้ว จะหมกไหม้ (ในนรก) นับโกฏิกัป
เขาย่อมข้ามโลกนี้พร้อมทั้งเทวโลกได้ ด้วยขันติธรรม
อวิหิงสาธรรม และด้วยความเป็นผู้มีเมตตาจิต เพราะ
ฉะนั้น พระพุทธเจ้าเหล่านั้น จึงทรงเป็นผู้ไม่มีความ

300
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๒ – หน้าที่ 301 (เล่ม 51)

ขึ้งเคียด พระพุทธเจ้าทั้งหลายเป็นเสมือนปฐพีไม่ทรง
ข้องอยู่ในลาภและความเสื่อมลาภทั้งในการนับถือและ
การดูหมิ่น เพราะฉะนั้น พระพุทธเจ้าเหล่านั้นจึงทรง
เป็นผู้ไม่มีความขึ้งเคียด พระมหามุนีทรงมีพระทัย
เท่า ๆ กัน สำหรับ สรรพสัตว์ ทั้งในพระเทวทัต นาย
ขมังธนู องค์คุลิมาลโจร พระราหุลและช้างธนบาล
พระพุทธเจ้าเหล่านี้ ไม่ทรงมีความแค้นเคือง ไม่ทรง
มีความรัก สำหรับสัตว์ทั้งหมดคือ ทั้งเพชรฆาตและ
พระโอรส พระพุทธเจ้าทรงมีพระทัยเท่า ๆ กัน คน
เห็นอันตรายแล้วพึงประนมมือเหนือศีรษะไหว้ผ้ากา-
สาวพัสตร์ ที่เปื้อนอุจจาระอันเจ้าของทิ้งแล้ว ซึ่งเป็น
ธงของฤาษี พระพุทธเจ้าทั้งหลายทั้งในอดีตแสนนาน
ในปัจจุบัน และในอนาคต ทรงบริสุทธิ์เพราะธงนี้
เพราะฉะนั้น พระพุทธเจ้าเหล่านี้นั้น จึงเป็นผู้ควร
นมัสการ ข้าพเจ้าย่อมจำทรงพระวินัยที่ดี ที่เป็น
กำหนดหมายของพระศาสดาไว้ด้วยใจ ข้าพเจ้า
จักน้อมนมัสการพระวินัยพักผ่อนอยู่ทุกเมื่อ พระวินัย
เป็นอัธยาศัยของข้าพเจ้า พระวินัยเป็นที่ยืนและที่
จงกรมของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าสำเร็จการอยู่ในพระวินัย
พระวินัยเป็นอารมณ์ของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าบรรลุถึง
บารมีในพระวินัย ทั้งเป็นผู้ฉลาดในสมถะ ข้าแต่
พระมหาวีระ ด้วยเหตุนั้น พระอุบาลีจึงไหว้แทบ
พระยุคลบาทของพระศาสดา ข้าพระองค์นั้นจัก

301
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๒ – หน้าที่ 302 (เล่ม 51)

ออกจากบ้าน (นี้) ไปบ้าน (โน้น) จากเมือง (นี้)
ไปเมือง (โน้น) เที่ยวหานมัสการพระสัมมาสัมพุทธ-
เจ้า และความที่พระธรรมเป็นธรรมดี. กิเลสทั้งหลาย
ข้าพระองค์เผาแล้ว ภพทั้งหมดข้าพระองค์ถอนแล้ว
อาสวะทั้งหลายสิ้นไปหมดแล้ว บัดนี้ ภพใหม่ไม่มี
การมาของข้าพระองค์ในสำนักของพระพุทธเจ้าผู้ประ-
เสริฐ เป็นการมาดีจริง ๆ วิชชา ๓ ข้าพระองค์ได้
บรรลุแล้ว คำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า ข้าพระองค์
ได้ปฏิบัติแล้ว ปฏิสัมภิทา ๔ วิโมกข์ ๘ และอภิญญา ๖
เหล่านี้ ข้าพระองค์ได้ทำให้แจ้งแล้ว คำสั่งสอนของ
พระพุทธเจ้าข้าพระองค์ได้ปฏิบัติแล้ว ดังนี้.
ก็ ณ ที่นั้น พระศาสดาทรงให้ท่านเรียนพระวินัยปิฎกทั้งหมดด้วย
พระองค์เอง ต่อมาภายหลัง ท่านได้วินิจฉัยเรื่อง ๓ เรื่องเหล่านี้คือ เรื่องภารุ-
กัจฉุกะ ๑ เรื่องอัชชุกะ ๑ เรื่องพระกุมารกัสสปะ ๑ เมื่อวินิจฉัยเสร็จแต่ละเรื่อง
พระศาสดาได้ทรงประทานสาธุการ ทรงทำการวินิจฉัยทั้ง ๓ เรื่อง ให้เป็นอุบัติ
เหตุแล้ว ทรงตั้งพระเถระไว้ในตำแหน่งผู้เลิศกว่าพระวินัยธรทั้งหลาย อยู่มา
ภายหลังในวันอุโบสถ วันหนึ่ง เวลาแสดงปาติโมกข์ ท่านเมื่อโอวาทภิกษุ
ทั้งหลาย จึงได้กล่าวคาถาไว้ ๓ คาถาว่า
ภิกษุผู้ออกบวชใหม่ๆ ด้วยศรัทธายังใหม่ต่อการ
ศึกษา ควรคบหากัลยาณมิตร ผู้มีอาชีพบริสุทธิ์ ไม่
เกียจคร้าน. ภิกษุออกบวชใหม่ๆ ด้วยศรัทธายังใหม่
ต่อการศึกษาควรพำนักอยู่ในหมู่สงฆ์ผู้ฉลาด ศึกษา

302
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๒ – หน้าที่ 303 (เล่ม 51)

พระวินัย (ให้เข้าใจ). ภิกษุผู้ออกบวชใหม่ ๆ ด้วย
ศรัทธา ยังใหม่ต่อการศึกษาต้องเป็นผู้ฉลาด ในสิ่งที่
ควรและไม่ควร ไม่ควรประพฤติตนเป็นคนออกหน้า
ออกตา.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า สทฺธาย ความว่า เพราะศรัทธา
อธิบายว่า ไม่ใช่เพื่อเลี้ยงชีพ. อีกอย่างหนึ่ง บทว่า สทฺธาย ได้แก่เชื่อผล
กรรมและคุณพระรัตนตรัย.
บทว่า อภินิกฺขมฺม ความว่า ออกจากการครองเรือน.
บทว่า นวปพฺพชิโต ได้แก่ เป็นผู้บวชใหม่ คือบวชในปฐมวัย
นั่นเอง.
บทว่า นโว ได้แก่ ยังใหม่ คือยังรุ่นหนุ่ม ต่อการศึกษาศาสนา.
บทว่า มิตฺเต ภเวยฺย กลฺยาเณ สุทฺธาชีเว อตนฺทิเต (ควร
คบหากัลยาณมิตร ผู้มีอาชีพบริสุทธิ์ ไม่เกียจคร้าน) ความว่า ควรคบคือ
เข้าไปหากัลยาณมิตร ผู้มีลักษณะดังที่ตรัสไว้ โดยนัยมีอาทิว่า เป็นที่รัก
น่าเคารพนับถือ ชื่อว่ามีอาชีพบริสุทธิ์ เพราะเว้นจากมิจฉาชีพ และชื่อว่าผู้
ไม่เกียจคร้าน เพราะเป็นผู้ปรารภความเพียรแล้ว ได้แก่ ควรคบหาสมาคม
โดยการรับเอาโอวาทานุสาสนีของท่าน.
บทว่า สงฺฆสฺมึ วิหรํ ได้แก่ พักอยู่ในหมู่ คือในชุมนุมสงฆ์
โดยการบำเพ็ญวัตรและปฏิวัตร (วัตรต่าง ๆ).
บทว่า สิกฺขถ วินยํ พุโธ ความว่า ต้องเป็นผู้ฉลาดในความรู้
และความเข้าใจ ศึกษาปริยัติคือพระวินัย ด้วยว่า พระวินัยเป็นอายุ (ชีวิต)
ของพระศาสนา เมื่อพระวินัยยังคงอยู่ พระศาสนา ก็เป็นอันยังดำรงอยู่. แต่
บางอาจารย์กล่าวว่า พุโธ ความหมายก่อย่างนั้นเหมือนกัน.

303
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๒ – หน้าที่ 304 (เล่ม 51)

บทว่า กปฺปากปฺเปสุ ความว่า เป็นผู้ฉลาด ในสิ่งที่ควรและไม่
ควร คือเป็นผู้ฉลาดละเมียดละไม (ในสิ่งเหล่านั้น) ด้วยอำนาจพระสูตร และ
ด้วยอำนาจอนุโลมตามพระสูตร.
บทว่า อปุรกฺขโต ได้แก่ ไม่ควรเป็นผู้ออกหน้าออกตา คือไม่
มุ่งหวังการเป็นหัวหน้าจากที่ไหนด้วยตัณหาเป็นต้นอยู่.
จบอรรถกถาอุบาลีเถรคาถา
๑๒. อุตตรปาลเถรคาถา
ว่าด้วยคาถาของพระอุตตรปาลเถระ
[๓๑๘] ได้ยินว่า พระอุตตรปาลเถระได้ภาษิตคาถานี้ไว้ อย่างนี้ว่า
เบญกามคุณ ทำเราผู้เป็นบัณฑิต สามารถ
คิดค้นประโยชน์ได้ให้ลุ่มหลงหนอ ให้เราตกอยู่ใน
โลก เราได้แล่นไปในวิสัยของมาร ถูกลูกศรปักอยู่
อย่างเหนียวแน่น แต่ก็สามารถเปลื้องตนออกจาก
บ่วงมัจจุราชได้ กามทั้งหมดเราละได้แล้ว ภพทั้ง-
หลายเราทำลายได้หมดแล้ว การเวียนเกิด (ชาติสง-
สาร) สิ้นสุดลงแล้ว บัดนี้ภพใหม่ไม่มี.

304
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๒ – หน้าที่ 305 (เล่ม 51)

อรรถกถาอุตตรปาลเถรคาถา
คาถาของท่านพระอุตตปาลเถระ มีคำเริ่มต้นว่า ปณฺฑิตํ วต มํ
สนฺตํ ดังนี้. มีเรื่องเกิดขึ้นอย่างไร ?
แม้ท่านพระอุตตรปาลเถระ นี้ ก็มีบุญญาธิการได้ทำไว้แล้ว ใน
พระพุทธเจ้า องค์ก่อน ๆ เมื่อสั่งสมบุญไว้ในภพนั้น ๆ ได้ให้สร้างสะพาน
ไว้ ที่ทางเสด็จพุทธดำเนิน ของพระผู้มีพระภาคเจ้า.
ด้วยบุญกรรมนั้น ท่านท่องเที่ยวไปมาในเทวโลกและมนุษยโลก
มาในพุทธุปบาทกาลนี้ ได้เกิดในตระกูลพราหมณ์ ในเนืองพาราณสี มีชื่อว่า
อุตตรปาละ เติบโตแล้ว ได้เห็นยมกปาฏิหาริย์ ได้ศรัทธาบวชแล้ว
บำเพ็ญสมณธรรม. อยู่มาวันหนึ่ง เมื่อท่านระลึกถึงภูตารมณ์เนือง ๆ ด้วย
สามารถกระทำไว้ในใจ โดยไม่แยบคาย กามราคะก็เกิดขึ้น. ทันใดนั้น ท่าน
ข่มจิตของตนไว้ได้ เหมือนคนจับโจรพร้อมกับของกลางไว้ได้ เกิดความสลด
ใจขึ้น ข่มกิเลสไว้ ด้วยการมนสิการถึงธรรม ที่เป็นปฏิปักษ์ ต่อกิเลสนั้น
แล้ว บำเพ็ญวิปัสสนากรรมฐาน ให้ภาวนาก้าวหน้าขึ้นไป บรรลุพระอรหัต-
ผล. ด้วยเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวไว้ในอปทานว่า
เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้า พระนามว่า วิปัสสี
เสด็จจงกรมอยู่ต่อหน้า ข้าพเจ้ามีจิตเลื่อมใส ดีใจ
ได้สร้างสะพานถวาย ในกัปที่ ๙๑ นับถอยหลังไปแต่-
กัปนี้ เพราะเหตุที่ข้าพเจ้าได้สร้างสะพานควาย จึงไม่
รู้จักทุคติเลย นี้เป็นผลแห่งการถวายสะพาน. กิเลส
ทั้งหลาย ข้าพเจ้าได้เผาแล้ว ฯ ล ฯ คำสั่งสอนของ
พระพุทธเจ้า ข้าพเจ้าได้ปฏิบัติแล้ว.

305