No Favorites




หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๒ – หน้าที่ 276 (เล่ม 51)

ทั้งหลาย โดยการสรรเสริญอธิวาสนขันติ วิริยารัมภะ และความยินดีในวิเวก
ของตนเป็นสำคัญ จึงได้ภาษิตคาถา ๒ คาถาไว้ว่า
ภิกษุถูกเหลือบและยุงในป่าใหญ่กัด ควรเป็นผู้
มีสติอดกลั้นในอันตรายเหล่านั้น เหมือนช้างใน
สงความ ภิกษุอยู่รูปเดียว ย่อมเป็นเหมือนพรหม อยู่
๒ รูป เหมือนเทวดา อยู่ ๓ รูป เหมือนชาวบ้าน อยู่
ด้วยกันมากกว่านั้น ย่อมมีความโกลาหลมากขึ้น
เพราะฉะนั้น ภิกษุควรเป็นผู้อยู่แต่รูปเดียว.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า นาโค สงฺคามสีเสว ความว่า อุปมา
เสมือนหนึ่งว่า ช้างตัวประเสริฐอาชาไนย สู้ทนเครื่องประหัตประหาร มีดาบ
หอกแทงและหอกซัดเป็นต้นในสนามรบแล้ว กำจัดแสนยานุภาพฝ่ายข้าศึก
(ปรเสนา) ได้ ฉันใด ภิกษุก็ฉันนั้น ควรมีสติสัมปชัญญะ อดทนอันตราย
มีเหลือบเป็นต้นในป่าใหญ่ คือพงไพรไว้ และครั้นทนได้แล้ว ก็จะพึงกำจัด
มารและพลมารได้ ด้วยกำลังแห่งภาวนา.
บทว่า ยถา พฺรหฺมา ความว่า พระพรหมโดดเดี่ยวเดียวดาย เว้นจาก
ผู้กวนใจ อยู่สำราญด้วยฌานสุขเนืองนิจทีเดียว ฉันใด. บทว่า ตถา เอโก
ความว่า แม้ภิกษุอยู่รูปเดียว ไม่มีเพื่อนก็เช่นนั้นเหมือนกัน จะเพิ่มพูนความสุข
เกิดแต่วิเวกอยู่อย่างสำราญ. จริงดังที่กล่าวไว้ว่า ความสุขธรรมดาสามัญของ
คน ๆ เดียว เป็นความสุขที่ประณีต. ด้วยคำว่า ยถา พฺรหฺมา ตถา เอโก นี้
พระเถระชื่อว่าให้โอวาทว่า ภิกษุผู้อยู่รูปเดียวเป็นปกติ เป็นผู้เสมอเหมือน
พระพรหม.
บทว่า ยถา เทโว ตถา ทุเว ความว่า เทวดาทั้งหลายก็คงมีความ
วุ่นวายใจเป็นระยะ ๆ ฉันใด แม้การกระทบกระทั่งกัน เพราะการอยู่ร่วมกัน

276
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๒ – หน้าที่ 277 (เล่ม 51)

ก็คงมีแก่ภิกษุ ๒ รูป ฉันนั้น. เพราะฉะนั้น ภิกษุท่านกล่าวว่า เป็นผู้เสมอ
เหมือนเทวดา โดยการอยู่มีเพื่อนสอง.
บทว่า ยถา คาโม ตถา ตโย ความว่า ในบาลีแห่งนี้เท่านั้น
การอยู่ร่วมกันของภิกษุ ๓ รูป เป็นเสมือนการอยู่ของชาวบ้าน อธิบายว่า
ไม่ใช่การอยู่อย่างวิเวก.
บทว่า โกลาหลํ ตรุตฺรึ ความว่า การอยู่ร่วมกันเกิน ๓ คน
หรือมากกว่านั้น เป็นความโกลาหล อธิบายว่า เป็นเสมือนการชุมนุมของคน
จำนวนมาก ที่มีเสียงอึกทึกครึกโครม เพราะฉะนั้น ภิกษุควรจะเป็นผู้อยู่
คนเดียวเป็นปกติ.
จบอรรถกถายโสชเถรคาถา
๑๐. สาฏิมัตติกเถรคาถา
ว่าด้วยคาถาของพระสาฏิมัตติกเถระ
[๓๑๖] ได้ยินว่า พระสาฏิมัตติกเถระได้ภาษิตคาถานี้ไว้ อย่างนี้ว่า
เมื่อก่อนโยมทั้งหลายได้มีศรัทธา แต่วันนี้ศรัทธา
นั้นของโยมไม่มี สิ่งใดเป็นของโยม สิ่งนั้นก็เป็นของ
โยมนั่นแหละ ทุจริตของอาตมาไม่มี เพราะศรัทธา
ไม่เที่ยงแท้ กลับกลอก ศรัทธานั้นอาตมาเคยเห็นมา
แล้ว คนทั้งหลายประเดี๋ยวรัก ประเดี๋ยวหน่าย ผู้เป็น
มุนีจะเอาชนะได้อย่างไร ? ในเพราะความรักความ-
หน่ายของเขานั้น บุคคลย่อมหุงหาอาหารไว้ เพื่อมุนี
ทุก ๆ สกุล สกุลละเล็กละน้อย อาตมาจักเที่ยว
บิณฑบาต เพราะกำลังแข้งของอาตมายังมีอยู่.

277
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๒ – หน้าที่ 278 (เล่ม 51)

อรรถกถาสาฏิมัตติกเถรคาถา
คาถาของท่านพระสาฏิมัตติกเถระ มีคำเริ่มต้นว่า อหุ ตุยฺหํ ปุเร
สทฺธา. มีเรื่องเกิดขึ้นอย่างไร ?
แม้ท่านสาฏิมัตติกเถระ ได้มีบุญญาธิการที่ได้ทำไว้ ในพระพุทธเจ้า
องค์ก่อน ๆ เมื่อสั่งสมบุญในภพนั้น ๆ ได้ไปเกิดในสกุลพราหมณ์ ในแคว้น
มคธ ในพุทธุปบาทกาลนี้ มีชื่อว่า สาฏิมัตติกะ เจริญวัยแล้ว ได้บวชใน
สำนักของพระวัดป่า เพราะเป็นผู้ถึงพร้อมด้วยเหตุ บำเพ็ญวิปัสสนากรรมฐาน
ได้เป็นพระอริยบุคคลผู้มีอภิญญา ๖. ด้วยเหตุนั้น ท่านจึงได้กล่าวไว้ใน
อปทานว่า
ข้าพเจ้าได้ถวายพัดใบตาล แด่พระผู้มีพระ-
ภาคเจ้า ทรงพระนามว่า สิทธัตถะ กั้นเครื่องกั้นที่
คลุมด้วยดอกมะลิที่มีค่ามาก ในกัปที่ ๙๔ แต่ภัทร
กัปนี้ ข้าพเจ้าไม่รู้จักทุคติเลย เพราะเหตุที่ได้ถวาย
พัดใบตาล นี้คือผลของการถวายพัดใบตาล. กิเลส
ทั้งหลายข้าพเจ้าได้เผาแล้ว ฯ ล ฯ คำสั่งสอนของ
พระพุทธเจ้า ข้าพเจ้าได้ปฏิบัติแล้ว.
อนึ่ง ท่านครั้นเป็นพระอริยบุคคล ผู้มีอภิญญา ๖ แล้ว จึงกล่าว
ตักเตือนภิกษุทั้งหลาย และให้สัตว์จำนวนมาก ดำรงอยู่ในสรณะและศีล โดย
กล่าวธรรมกถา ทั้งได้ทำตระกูลอื่นที่ไม่มีศรัทธาให้มีศรัทธา ที่ไม่เลื่อมใสให้
เลื่อมใส เพราะเหตุนั้น คนทั้งหลายในตระกูลนั้น จึงได้เลื่อมใสในพระเถระ

278
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๒ – หน้าที่ 279 (เล่ม 51)

มาก. บรรดาคนเหล่านั้น หญิงสาวคนหนึ่ง มีรูปร่างงามน่าทัศนา อังคาส
พระเถระผู้เข้าไปบิณฑบาต ด้วยโภชนะโดยเคารพ.
ครั้นอยู่มาวันหนึ่ง มารคิดว่า ความเสื่อมยศจักมีแก่พระเถระนี้ ด้วย
วิธีการอย่างนี้ พระเถระนี้ก็จักดำรงอยู่ไม่ได้ ในพระศาสนานี้ แล้วได้ปลอม
เป็นรูปพระเถระไปจับมือหญิงสาวคนนั้น. หญิงสาวรู้ได้ว่า นี้ไม่ใช่สัมผัสของ
มนุษย์ และได้ให้เขาปล่อยมือ คนในเรือน ได้เห็นเหตุการณ์นั้นแล้ว เกิด
ความไม่เลื่อมใสในพระเถระ.
ในวันรุ่งขึ้น พระเถระเมื่อไม่ทราบเหตุการณ์นั้น ก็ได้ไปยังเรือน
หลังนั้น (เช่นเคย) คนทั้งหลายในเรือนหลังนั้น ไม่ได้ทำความเอื้อเฟื้อ.
พระเถระเมื่อรำลึกหาเหตุการณ์นั้นอยู่ ก็ได้เห็นกิริยาของมาร จึงได้อธิษฐาน
ว่า ขอให้ศพลูกสุนัขจงไปสวม ที่คอของมารนั้น ได้ให้มารผู้เข้ามาหา เพื่อให้
แก้ศพลูกสุนัขออก บอกกิริยาที่ตนทำแล้ว ในวันที่แล้วมา แล้วได้ขู่มารนั้น
แล้วจึงแก้ให้. เจ้าของเรือนได้เห็นเหตุการณ์นั้น แล้วได้พากันขอขมาพระเถระ
ว่า ข้าแต่ท่านผู้เจริญ ขอได้กรุณาให้อภัยโทษเถิด แล้วจึงเรียนท่านว่า ข้าแต่-
ท่านผู้เจริญ ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป กระผมคนเดียวขออุปัฏฐากพระคุณเจ้า.
พระเถระเมื่อกล่าวธรรมกถาแก่เขา ได้กล่าวคาถา ๓ คาถาไว้ว่า
เมื่อก่อนโยมทั้งหลายได้มีศรัทธา แต่วันนี้ศรัทธา
นั้นของโยมไม่มี สิ่งใดเป็นของโยม สิ่งนั้นก็เป็นของ
โยมนั่นแหละ ทุจริตของอาตมาไม่มี เพราะศรัทธา
ไม่เที่ยงแท้ กลับกลอก ศรัทธานั้นอาตมาเคยเห็นมา
แล้ว คนทั้งหลายประเดี๋ยวรัก ประเดี๋ยวหน่าย ผู้เป็น
มุนีจะเอาชนะได้อย่างไร ? ในเพราะความรักและ

279
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๒ – หน้าที่ 280 (เล่ม 51)

ความหน่ายของเขานั้น บุคคลย่อมหุงหาอาหารไว้
เพื่อมุนีทุก ๆ สกุล สกุลละเล็กละน้อย อาตมาจัก
เที่ยวบิณฑบาต เพราะกำลังแข้งของอาตมายังมีอยู่.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อหุ ตุยฺหํ ปุเร สทฺธา สา เต อชฺช
น วิชฺชติ (เมื่อก่อนโยมทั้งหลายได้มีศรัทธา แต่วันนี้ศรัทธานั้นของโยม
ไม่มี) ความว่า ดูก่อนอุบาสก ก่อนแต่นี้ โยมได้มีศรัทธาในอาตมา โดยนัย
มีอาทิว่า พระผู้เป็นเจ้าประพฤติธรรม ประพฤติสม่ำเสมอ แต่วันนี้คือเดี๋ยวนี้
ศรัทธานั้นของโยมคือท่านหามีไม่ เพราะเหตุนั้น บทว่า ยํ ตุยฺหํ ตุยฺหเม-
เวตํ จึงมีอธิบายว่า การถวายปัจจัย ๔ อันใด อันนี้ก็เป็นของโยมนั่นแหละ
อาตมาไม่มีความต้องการสิ่งนั้น เพราะว่า ธรรมดาทานผู้มีจิตเลื่อมใสโดยชอบ
จึงควรให้.
อีกอย่างหนึ่ง บทว่า ยํ ตุยฺหํ ตุยฺหเมเวตํ มีเนื้อความว่า วันนี้
ความไม่เคารพในอาตมาอันใดของโยม ความไม่เคารพอันนั้นก็เป็นของโยม
นั่นแหละ ผลของความไม่เคารพ โยมนั่นเองต้องเป็นผู้เสวย ไม่ใช่อาตมา.
บทว่า นตฺถิ ทุจฺจริตํ มยา ความว่า ก็ขึ้นชื่อว่า ทุจริตของอาตมา
ไม่มี เพราะกิเลสทั้งหลายที่เป็นเหตุของทุจริต อาตมาตัดขาดแล้ว ด้วย
อริยมรรค.
บทว่า อนิจฺจา หิ จลา สทฺธา ความว่า เพราะเหตุที่ศรัทธา
ซึ่งเป็นของปุถุชน เป็นของไม่เที่ยง ไม่เป็นไปโดยส่วนเดียว ฉะนั้นเองจึง
เป็นของกลับกลอกไป เหมือนลูกฟักวางไว้บนหลังม้า และไม่หนักแน่นเหมือน
หลักที่ปักไว้บนกองแกลบ.
บทว่า เอวํ ทิฏฺฐา หิ สา มยา ความว่า และศรัทธานั้นที่เป็น
อย่างนี้ อาตมาเห็นแล้ว คือ ทราบประจักษ์ชัดแล้วในตัวโยม.

280
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๒ – หน้าที่ 281 (เล่ม 51)

บทว่า รชฺชนฺติปิ วิรชฺชนฺติ ความว่า สัตว์ทั้งหลายเหล่านี้
บางครั้งรัก คือทำแม้ซึ่งความเสน่หา ในบางอย่าง ด้วยอำนาจความคุ้นเคย
ฉันมิตร แต่บางคราวก็หน่าย คือ มีจิตคลายรัก เพราะศรัทธาไม่มั่นคง ด้วย
ประการอย่างนี้.
บทว่า ตตฺถ กึ ชิยฺยเต มุนิ ความว่า ก็ผู้เป็นมุนี คือผู้บวชแล้ว
จะชนะได้อย่างไร อธิบายว่า มุนีนั้นจะมีความเสื่อมเสียอะไร ในเพราะความ
รักและความหน่ายของปุถุชนนั้น.
พระเถระเมื่อจะแสดงว่า โยมอย่าคิดอย่างนี้ว่า ถ้าหากพระคุณเจ้าไม่
รับปัจจัยของเรา พระคุณเจ้าจะยังชีวิตให้เป็นไปได้อย่างไร จึงได้กล่าวคาถา
ว่า ปจฺจติ เป็นต้นไว้.
เนื้อความของคาถานั้นมีว่า ธรรมดาว่า ภัตตาหารของมุนีคือผู้บวช
แล้ว คนเขาหุงหาไว้ทุกวัน ตระกูลละเล็กละน้อย ตามลำดับเรือน ไม่ใช่หุง
แต่ในบ้านของโยมเท่านั้น.
บทว่า ปิณฺฑิกาย จริสฺสามิ อตฺถิ ชงฺฆพลํ (อาตมาจักเที่ยว
บิณฑบาต เพราะกำลังแข้งของอาตมายังมีอยู่) ความว่า พระเถระแสดงว่า
อาตมายังมีกำลังแข้ง อาตมาไม่ใช่คนแข้งหัก ไม่ใช่คนเปลี้ย และไม่ใช่คนมี
โรคเท้า เพราะฉะนั้น อาตมาจักเดินไปบิณฑบาต เพื่อภิกษาหารที่เจือปนกัน
คือ อาตมาจักเดินบิณฑบาตเลี้ยงชีพ ตามนัยที่พระศาสดาตรัสไว้ว่า ยถาปิ
ภมโร ปุปผํ เหมือนภมร ไม่ทำดอกไม้ให้ชอกช้ำ ฉะนั้น.
จบอรรถกถาสาฏิมัตติกเถรคาถา

281
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๒ – หน้าที่ 282 (เล่ม 51)

๑๑. อุบาลีเถรคาถา
ว่าด้วยคาถาของพระอุบาลีเถระ
[๓๑๗] ได้ยินว่า พระอุบาลีเถระได้ภาษิตคาถานี้ไว้ อย่างนี้ว่า
ภิกษุผู้ออกบวชใหม่ ๆ ด้วยศรัทธา ยังใหม่ต่อ
การศึกษา ควรคบหากัลยาณมิตร ผู้มีอาชีพบริสุทธิ์
ไม่เกียจคร้าน. ภิกษุผู้ออกบวชใหม่ ๆ ด้วยศรัทธา
ยังใหม่ต่อการศึกษา ควรพำนักอยู่ในหมู่สงฆ์ เป็นผู้
ฉลาดศึกษาพระวินัย. ภิกษุผู้ออกบวชใหม่ ๆ ด้วย
ศรัทธา ยังใหม่ต่อการศึกษา ต้องเป็นผู้ฉลาดในสิ่งที่
ควรและไม่ควร ไม่ควรประพฤติตนเป็นคนออกหน้า
ออกตา.
อรรถกถาอุบาลีเถรคาถา
คาถาของท่านพระอุบาลีเถระ มีคำเริ่มต้นว่า สทฺธาย อภินิกฺ-
ขมฺม. มีเรื่องเกิดขึ้นอย่างไร ?
แม้ท่านพระอุบาลีเถระนี้ ในกาลของพระผู้มีพระภาคเจ้า
พระนามว่า ปทุมุตตระ ได้เกิดขึ้นในคฤหาสน์ของผู้มีสกุล ในนครหงสา-
วดี วันหนึ่ง ฟังพระธรรมเทศนาของพระศาสดา ได้เห็นพระศาสดาทรงแต่งตั้ง
ภิกษุรูปหนึ่งให้ดำรงตำแหน่ง ผู้เลิศกว่าภิกษุทั้งหลาย ผู้ทรงไว้ซึ่งพระวินัย

282
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๒ – หน้าที่ 283 (เล่ม 51)

ทำกรรมคือบุญญาธิการแล้ว ได้ปรารถนาฐานันดรนั้น. ท่านบำเพ็ญกุศลตลอด
ชีวิตแล้ว ท่องเที่ยวไปมาในเทวโลกและมนุษยโลก มาในพุทธุปบาทกาลนี้
ได้ถือปฏิสนธิในเรือนของช่างกัลบก มารดาและบิดาได้ขนานนามของท่านว่า
อุบาลี. ท่านเจริญวัยแล้ว เป็นที่เลื่อมใสของกษัตริย์ทั้ง ๖ มีท่านอนุรุทธะ
เป็นต้น เมื่อพระตถาคตเจ้า ประทับอยู่ที่อนุปิยอัมพวัน ได้ออกบวช
พร้อมกับกษัตริย์ทั้ง ๖ องค์ ที่ออกไปเพื่อต้องการบวช. วิธีบวชของท่านมี
มาแล้วในพระบาลี.
ท่านครั้นบรรพชาอุปสมบทแล้ว ได้รับเอากรรมฐาน ในสำนักของ
พระศาสดาแล้วกล่าวว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ขอพระองค์จงทรงอนุญาต
ให้ข้าพระองค์อยู่ป่าเถิด พระองค์ตรัสว่า ดูก่อนภิกษุ เมื่อเธออยู่ป่า ธุระ
อย่างเดียวเท่านั้นจักเจริญ แต่เมื่อปฏิบัติอยู่ในสำนักของเราทั้งหลาย ทั้งคันถ-
ธุระและวิปัสสนาธุระ จักบริบูรณ์. พระเถระรับพระพุทธดำรัสแล้ว บำเพ็ญ
วิปัสสนากรรมฐานอยู่ไม่นานเลย ก็ได้บรรลุพระอรหัตผล. ด้วยเหตุนั้น ท่าน
จึงได้กล่าวไว้ในอปทานว่า
ในหงสาวดีนคร พราหมณ์ชื่อว่า สุชาต สะสม
ทรัพย์ไว้ ๘๐ โกฏิ มีทรัพย์และข้าวเปลือกเพียงพอ
เป็นนักศึกษา จำทรงมนต์ไว้ได้ ถึงฝั่งแห่งไตรเพท
จบลักษณะอิติหาส และบารมีในธรรมของตน สาวก
ของพระโคดมพุทธเจ้า เป็นผู้มีธรรมเป็นเครื่องเว้น
มีสิกขาอย่างเดียวกัน เป็นทั้งผู้จาริก เป็นทั้งดาบส
ท่องเที่ยวไปตามพื้นดินในครั้งนั้น. ท่านเหล่านั้นห้อม
ล้อมข้าพเจ้า ชนจำนวนมากบูชาข้าพเจ้า ด้วยสำคัญว่า

283
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๒ – หน้าที่ 284 (เล่ม 51)

เป็นพราหมณ์ ผู้เปรื่องปราชญ์ แต่ข้าพเจ้าไม่บูชาอะไร.
ในกาลครั้งนั้น ข้าพเจ้ามีมานะ กระด้าง ไม่เห็นผู้ที่ควร
บูชา คำว่า พุทฺโธ ไม่มีตลอดเวลาที่พระชินเจ้า ยังไม่
เสด็จอุบัติขึ้น. วันคืนล่วงไปๆ พระพุทธเจ้าพระนาม
ว่า ปทุมุตตระ ผู้ทรงมีจักษุ เสด็จอุบติขึ้นในโลก ทรง
ขจัดความมืดทั้งมวลออกไป. เมื่อศาสนาแผ่ออกไปใน
หมู่กษัตริย์และหนาแน่นขึ้น ในครั้งนั้น พระพุทธเจ้า
ได้เสด็จเข้ามายังนครหงสาวดี. พระองค์ผู้ทรงมีจักษุ
ได้ทรงแสดงธรรม เพื่อประโยชน์แก่พระบิดา เวลา
นั้นบริษัททั้งหลายโดยรอบประมาณ ๑ โยชน์. บรรดา
มนุษย์ทั้งหลาย ท่านผู้เขาสมมติแล้วในครั้งนั้น ได้แก่
ดาบส ชื่อสุนันทะ ได้ใช้ดอกไม้บัง (แสงแดด)
ตลอดทั่วทั้งพุทธบริษัท ในครั้งนั้น. และเมื่อพระ
พุทธเจ้าผู้ประเสริฐที่สุด ทรงประกาศสัจจะทั้ง ๔ ที่
ปะรำดอกไม้ บริษัทแสนโกฏิได้บรรลุธรรม. พระ
พุทธเจ้า ทรงหลั่งฝนคือพระธรรม เป็นเวลา ๗ วัน
๗ คืน ครั้นถึงวันที่ ๘ พระชินเจ้า ทรงสรรเสริญ
สุนันทดาบส. สุนันทดาบส นี้ เมื่อท่องเที่ยวไปมา
ในภพที่เป็นเทวโลกหรือมนุษยโลก จักเป็นผู้ประเสริฐ
กว่าสรรพสัตว์ ท่องเที่ยวไปในภพทั้งหลาย. ในแสน
กัปจักมีพระศาสดาในโลก ผู้ทรงสมภพจากราชตระ-
กูลพระเจ้าโอกกากราช พระนามว่า โคดม โดยพระ

284
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๒ – หน้าที่ 285 (เล่ม 51)

โคตร. พระองค์จักทรงมีพุทธชิโนรส ผู้เป็นธรรม
ทายก ที่พระธรรมเนรมิตขึ้น เป็นพุทธสาวกโดย
นามว่า ปุณณมันตานีบุตร. พระสัมมาสัมพุทธเจ้า เมื่อ
จะทรงให้ชนทั้งหมดกระหยิ่มใจ ทรงแสดงพระญาณ
ของพระองค์ จึงได้ทรงสรรเสริญสุนันทดาบส อย่าง
นี้ในครั้งนั้น. ชนทั้งหลายพากันประนมมือนมัสการ
สุนันทดาบส กระทำสักการะในพระพุทธเจ้า แล้ว
ชำระคติของตนให้ผ่องใส. ข้าพเจ้าได้ฟังพระดำรัส
ของพระมุนีแล้ว ได้มีความดำริในเรื่องนั้นว่า แม้เรา
จักทำสักการะ โดยวิธีที่จะเห็นพระโคดมพุทธเจ้า.
ข้าพเจ้าครั้นคิดอย่างนี้แล้ว จึงได้คิดถึงกิริยาของข้าพ-
เจ้าว่า เมื่อไรหนอ เราจึงจะประพฤติธรรม ในบุญ
เขตที่ยอดเยี่ยม. ก็ภิกษุผู้เป็นนักปาฐกรูปนี้ พูดได้
ทุกอย่าง ในพระศาสนาถูกยกย่องว่า เป็นผู้เลิศใน
พระวินัย เราปรารถนาตำแหน่งนั้น. โภคะของเรา
ไม่มีผู้นับได้ ไม่มีผู้ให้กระเทือนได้ เปรียบเหมือน
สาคร เราจะสร้างวัดถวายพระพุทธเจ้า ด้วยโภคะ
นั้น. ข้าพเจ้าได้ชื้อสวนชื่อว่า โสภณะ ด้านหน้าพระ-
นครด้วยทรัพย์แสนหนึ่ง สร้างสังฆารามถวาย. ข้าพ-
เจ้าได้สร้างสังฆารามแต่งเรือนยอดปราสาท มณฑป
ถ้ำ คูหา และที่จงกรมให้เรียบร้อย. ข้าพเจ้าได้สร้าง

285