No Favorites




หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๒ – หน้าที่ 266 (เล่ม 51)

บทว่า พหุํ หิ โส ปสวติ ปุญฺญํ ตาทิโส นโร ความว่า
บุคคลนั้นคือ ผู้อยู่ด้วยเมตตาแบบนั้น ย่อมประสบคือได้เฉพาะ ได้แก่บรรลุ
กุศลมาก คือมากมาย ได้แก่ไม่น้อย.
บัดนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้า เมื่อจะทรงประกอบท่านไว้ในธรรม
คือ สมถะและวิปัสสนา พร้อมด้วยองค์ประกอบ จึงได้ตรัสคาถาที่ ๓ ไว้
โดยนัยมีอาทิว่า สุภาสิตสฺส ดังนี้.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า สุภาสิตสฺส สิกฺเขถ ความว่า พึงศึกษา
สุภาษิตซึ่งแยกเป็นกถาของผู้มักน้อยเป็นต้น คือปริยัติธรรม ด้วยสามารถแห่ง
การฟัง การทรงจำและการสอบถามเป็นต้น.
บทว่า สมณูปาสนสฺส จ ความว่า พึงศึกษาการเข้าไปนั่งใกล้
สมณะผู้ระงับบาปแล้ว (และ) อุบาสกผู้เป็นกัลยาณมิตร ตามกาลเวลาที่สมควร
และจริยาที่ใกล้เคียงของท่านเหล่านั้น ด้วยข้อปฏิบัติ.
บทว่า เอกาสนสฺส จ รโห จิตฺตวูปสมสฺส จ ความว่า พึงศึกษา
อาสนะ คือที่นั่งของคน ๆ เดียว ผู้ไม่มีเพื่อน หมั่นพอกพูนกายวิเวก ด้วย
อำนาจการหมั่นประกอบกรรมฐานในที่ลับ. เมื่อหมั่นประกอบกรรมฐานอยู่
อย่างนี้ และยังภาวนาให้ถึงที่สุด ศึกษาความสงบแห่งกิเลส และความสงบ
แห่งจิต ด้วยอำนาจการตัดขาด (สมุจเฉทปหาน). กิเลสทั้งหลายที่สงบไปแล้ว
โดยส่วนเดียวนั่นเอง เป็นอันท่านละได้แล้ว ด้วยสิกขาเหล่าใด มีอธิสีลสิกขา
เป็นต้น เมื่อท่านศึกษาสิกขาเหล่านั้น คือสิกขาที่เกี่ยวเนื่องกับมรรคและผล
จิตก็ชื่อว่าสงบไปแล้วโดยส่วนเดียว. ในที่สุดแห่งคาถา ท่านเจริญวิปัสสนา
แล้ว ได้บรรลุพระอรหัตผล. ด้วยเหตุนั้น ในอปทานท่านจึงได้กล่าวไว้ว่า

266
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๒ – หน้าที่ 267 (เล่ม 51)

ครั้งนั้น ข้าพเจ้ายึดอาศัยป่าหิมพานต์ สอนมนต์
ศิษย์ของข้าพเจ้า จำนวน ๕๔,๐๐๐ คน ได้อุปัฏฐาก
ข้าพเจ้า เขาเหล่านั้นทั้งหมดได้สำเร็จ จบพระเวทถึง
บารมี มีองค์ ๖ ควรจะบรรลุด้วยวิชาของตน จึงพา
กันอยู่ในป่าหิมพานต์ เทพบุตรผู้มียศมาก จุติจากหมู่
เทวดาชั้นดุสิต มีสติมีสัมปชัญญะ เกิดในท้องของ
มารดา เมื่อพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จอุบัติขึ้นมา
หมื่นโลกธาตุหวั่นไหว คนตาบอดได้ดวงตา ในเมื่อ
พระผู้เป็นนายกโลกเสด็จอุบัติขึ้น ผืนแผ่นดินนี้ทั้งผืน
หวั่นไหวไปทั่วทุกอาการ มหาชนได้สดับเสียงกึกก้อง
หวาดกลัว มวลชนหลั่งมาชุมนุมกันยังสำนักของ
ข้าพเจ้า (ถามว่า) พสุธานี้ไหว จักมีผลอย่างไร ?
ครั้งนั้น ข้าพเจ้าได้บอกพวกเขาว่า สูเจ้าทั้งหลายอย่า
พากันนอน สูเจ้าทั้งหลายจะไม่มีภัย สูเจ้าแม้ทุกคน
จะประเสริฐ นี้เป็นการเกิดขึ้นที่อำนวยความสวัสดี
พสุธานี้ไหวต้องด้วยเหตุ ๘ ประการ นิมิตอย่างนั้น
แสดงให้เห็น จะมีแสงสว่างที่ไพบูลย์มาก พระพุทธ-
เจ้าผู้ประเสริฐสุด ผู้มีพุทธจักษุ จักเสด็จอุบัติขึ้นแน่
ไม่ต้องสงสัย พระองค์จะตรัสบอกศีล ๕ ให้ชุมนุมชน
เข้าใจ เขาเหล่านั้นได้ยินศีล ๕ และการเกิดขึ้นแห่ง
พระพุทธเจ้าที่หาได้ยาก เกิดความตื่นเต้นดีใจ ได้พา

267
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๒ – หน้าที่ 268 (เล่ม 51)

กันร่าเริงหรรษา ในกัปที่ ๙๒ แต่กัปนี้ ข้าพเจ้าได้
พยากรณ์นิมิตใดไว้ ด้วยการพยากรณ์นิมิตนั้น ข้าพเจ้า
จึงไม่รู้จักทุคติเลย นี้เป็นผลแห่งการพยากรณ์. กิเลส
ทั้งหลายข้าพเจ้าเผาแล้ว ฯ ล ฯ คำสั่งสอนของพระ-
พุทธเจ้า ข้าพเจ้าได้ปฏิบัติแล้ว.
จบอรรถกถาวารณเถรคาถา
๘. ปัสสิกเถรคาถา
ว่าด้วยคาถาของพระปัสสิกเถระ
[๓๑๔] ได้ยินว่า พระปัสสิกเถระได้ภาษิตคาถานี้ไว้ อย่างนี้ว่า
คนผู้มีศรัทธา มีปัญญา ดำรงอยู่ในธรรม ถึง
พร้อมด้วยศีลแม้คนเดียว ก็มีประโยชน์แก่ญาติ
พวกพ้องทั้งหลาย ผู้ไม่มีศรัทธาในโลกนี้ ญาติทั้งหลาย
เหล่านั้น ที่ข้าพระองค์ขู่ตักเตือน ด้วยความอนุเคราะห์
เพราะความรักกันฉันญาติและเผ่าพันธุ์ จึงพากันทำ
สักการะแก่ภิกษุทั้งหลาย ถึงแก่กรรมล่วงลับไปแล้ว
ก็ประสบความสุขที่เป็นไตรทิพย์ พี่น้องและโยมผู้หญิง
ของข้าพระองค์ผู้รักกามสุข ก็พากันบันเทิงใจ.

268
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๒ – หน้าที่ 269 (เล่ม 51)

อรรถกถาปัสสิกเถรคาถา
คาถาของพระปัสสิกเถระ มีคำเริ่มต้นว่า เอโกปิ สทฺโธ เมธาวี
ดังนี้. มีเรื่องเกิดขึ้นอย่างไร ?
แม้พระเถระนี้ มีบุญญาธิการได้ทำไว้แล้ว ในพระพุทธเจ้า
องค์ก่อน ๆ เมื่อทำบุญทั้งหลายไว้ ในภพนั้น ๆ มาในกาลของพระผู้มี-
พระภาคเจ้า ทรงพระนามว่า อัตถทัสสี ได้เกิดในคฤหาสน์ของผู้มีสกุล
บรรลุนิติภาวะแล้ว อยู่มาวันหนึ่ง ได้เห็นพระศาสดา มีจิตเลื่อมใส ได้ถวาย
ผลไม้มิลักขะ (แด่พระองค์).
ด้วยบุญกรรมนั้น ท่านเมื่อท่องเที่ยวไปมาในเทวโลกและมนุษยโลก
ได้เกิดในตระกูลพราหมณ์มีนามว่า ปัสสิกะ เจริญวัยแล้ว ได้เห็นยมกปาฎิ-
หาริย์ของพระศาสดา กลับมีศรัทธา บวชแล้ว บำเพ็ญสมณธรรมอยู่ ได้เป็น
ผู้อาพาธ ครั้งนั้น ญาติทั้งหลายได้พากันอุปัฏฐากท่านให้หายโรค ตามวิธียา
ที่หมอได้รอบรู้เห็นมาแล้ว ท่านหายอาพาธแล้ว เกิดสลดใจรีบเร่งภาวนาขึ้น
ได้เป็นพระอริยเจ้า ผู้มีอภิญญา ๖. ด้วยเหตุนั้นในอปทาน ท่านจึงได้กล่าว
ไว้ว่า
ข้าพเจ้าได้เห็นพระพุทธเจ้า พระนามว่า อัตถ-
ทัสสี ผู้มีพระยศมาก ที่ระหว่างป่า มีจิตเลื่อมใส ดีใจ
ได้ถวายผลไม้มิลักขะในกัปที่ ๑,๘๐๐ ข้าพเจ้าได้ถวาย
ผลไม้ใดในครั้งนั้น ด้วยทานนั้น ข้าพเจ้าไม่รู้จักทุคติ
เลย นี้เป็นผลของการถวายผลไม้นั้น. กิเลสทั้งหลาย
ข้าพเจ้าได้เผาแล้ว ฯลฯ คำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า
ข้าพเจ้าได้ปฏิบัติแล้ว.

269
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๒ – หน้าที่ 270 (เล่ม 51)

อนึ่ง ท่านมีอภิญญา ๖ แล้ว ได้ไปสำนักของพวกญาติทางอากาศ
สถิตอยู่แล้วบนอากาศ แสดงธรรมให้ญาติเหล่านั้นดำรงอยู่ในสรณะและศีล
ทั้งหลาย บรรดาญาติเหล่านั้น บางพวกถึงแก่กรรมแล้ว ได้เกิดในสวรรค์
เพราะได้ดำรงอยู่แล้วในสรณะและศีลทั้งหลาย. ครั้งนั้น พระศาสดาได้ตรัส
ถามท่านปัสสิกเถระนั้น ผู้เข้ามาถึงที่บำรุงของพระพุทธเจ้าว่า ดูก่อนปัสสิกะ
ญาติทั้งหลายของเธอไม่มีโรคหรือ ? ท่านเมื่อจะทูลถึงอุปการะ ที่ตนได้ทำแก่
ญาติทั้งหลาย แด่พระศาสดา จึงได้กล่าวคาถาไว้ ๓ คาถาว่า
คนผู้มีศรัทธา มีปัญญา ดำรงอยู่ในธรรม ถึง
พร้อมด้วยศีล แม้คนเดียว ก็มีประโยชน์แก่ญาติพวก
พ้องทั้งหลาย ผู้ไม่มีศรัทธาในโลกนี้ ญาติทั้งหลาย
เหล่านั้นที่ข้าพระองค์ขู่ตักเตือน ด้วยความอนุเคราะห์
เพราะความรักกันฉันญาติและเผ่าพันธุ์ จึงพากันทำ
สักการะแก่ภิกษุทั้งหลาย ถึงแก่กรรมล่วงลับไปแล้ว
ก็ประสบความสุขที่เป็นไตรทิพย์ พี่น้องและโยมผู้
หญิงของข้าพระองค์ ผู้รักกามสุข ก็พากันบันเทิงใจ.
บรรดาคาถาเหล่านั้น ในคาถาแรก มีเนื้อความดังต่อไปนี้ ผู้ใดมี
ศรัทธา ด้วยอำนาจความเชื่อในกรรมและผลของกรรม และความเชื่อในพระ-
รัตนตรัย ชื่อว่าผู้มีปัญญา เพราะประกอบด้วยกัมมัสสกตาญาณ เป็นต้นนั้น
นั่นเอง ชื่อว่าผู้ดำรงในธรรม เพราะตั้งอยู่ในพระธรรม คือพระพุทธโอวาท
ได้แก่ นวโลกุตรธรรม ชื่อว่าถึงพร้อมด้วยศีล ด้วยอำนาจศีลที่เนื่องด้วย
อาจาระ ศีลที่เนื่องด้วยมรรค และศีลที่เนื่องด้วยผล ผู้นั้นแม้คนเดียว ก็มี
ประโยชน์เกื้อกูลแก่พวกพ้อง ผู้ได้นามว่า ชื่อว่าญาติ เพราะหมายความว่า

270
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๒ – หน้าที่ 271 (เล่ม 51)

ต้องรู้กันว่า คนเหล่านี้เป็นคนของเรา และชื่อว่าเผ่าพันธุ์ เพราะหมายความว่า
ผูกพันกันด้วยเครื่องผูกมัด คือ ความรักอย่างนั้น ในที่นี้คือในโลกนี้ ผู้ชื่อว่า
ไม่มีศรัทธาดังที่กล่าวมาแล้ว.
เพื่อแสดงเนื้อความที่ท่านกล่าวไว้แล้ว โดยทั่วไปอย่างนี้แล้ว ให้น้อม
เข้ามาสู่ตน ท่านพระปัสสิกเถระ จึงได้กล่าวคาถานอกจากนี้ไว้ โดยนัยว่า
นิคฺคยฺห ดังนี้เป็นต้น.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า นิคฺคยฺห อนุกมฺปาย โจทิตา ญาตโย
มยา ความว่า ญาติทั้งหลายอันข้าพระองค์ ได้ขู่ตักเตือนไว้ว่า แม้ในปัจจุบันนี้
ท่านทั้งหลายเป็นคนยากจน เพราะไม่ได้ทำกุศลไว้ ต่อไป อย่าได้เสวยผล ที่
เศร้าหมองต่ำต้อยอีก. ญาติเหล่านั้น เมื่อไม่สามารถฝ่าฝืนโอวาทของข้าพระองค์
ได้ เพราะความรักกันฉันญาติและเผ่าพันธุ์ คือ เพราะความรักที่เป็นไปแล้ว
อย่างนี้ว่า ผู้นี้เป็นเผ่าพันธุ์ของพวกเราดังนี้ จึงพากันทำสักการะ แล้วเป็นผู้มี
จิตเลื่อมใสในภิกษุทั้งหลาย คือ พากันทำสักการะและความนับถือในภิกษุ
ทั้งหลาย ด้วยการถวายปัจจัยมีจีวรเป็นต้น และด้วยการอุปัฏฐาก เป็นผู้ถึงแก่
กรรมล่วงลับไปแล้ว ได้ผ่านโลกนี้ไปแล้ว. คำว่า เต (ที่กล่าว) อีก เป็น
เพียงนิบาต.
บทว่า ติทิวํ สุขํ ได้แก่ความสุขที่นับเนื่องในเทวโลก. อีกอย่าง
หนึ่ง ได้ประสบความสุขที่เป็นไตรทิพย์ ที่น่าปรารถนา. (เพื่อจะแก้คำถาม)
ว่า ก็ท่านเหล่านั้น คือใคร ? พระเถระจึงได้กล่าวว่า พี่น้องและโยมผู้หญิง
ของข้าพระองค์ ผู้รักความสุข พากันบันเทิงใจ อธิบายว่า เป็นผู้พรั่งพร้อม
ด้วยวัตถุกาม ตามที่ตนต้องการพากันรื่นเริงใจ.
จบอรรถกถาปัสสิกเถรคาถา

271
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๒ – หน้าที่ 272 (เล่ม 51)

๙. ยโสชเถรคาถา
ว่าด้วยคาถาของพระยโสชเถระ
[๓๑๕] ได้ยินว่า พระยโสชเถระได้ภาษิตคาถานี้ไว้ อย่างนี้ว่า
นรชนผู้มีใจไม่ย่อท้อ เป็นผู้รู้จักประมาณในข้าว
และน้ำ ซูบผอม มีตัวสะพรั่งไปด้วยเส้นเอ็น เหมือน
กับเถาหญ้านาง ภิกษุถูกเหลือบและยุงในป่าใหญ่กัด
ควรเป็นผู้มีสติอดกลั้นในอันตรายเหล่านั้น เหมือน
ช้างในสงคราม ภิกษุอยู่รูปเดียวย่อมเป็นเหมือนพรหม
อยู่ ๒ รูปเหมือนเทวดา อยู่ ๓ รูปเหมือนชาวบ้าน
อยู่ด้วยกันมากกว่านั้น ย่อมมีความโกลาหลมากขึ้น
เพราะฉะนั้น ภิกษุควรเป็นผู้อยู่แต่รูปเดียว.
อรรถกถายโสชเถรคาถา
คาถาของท่านพระยโสชเถระ มีคำเริ่มต้นว่า กาลปพฺพงฺคสงฺ-
กาโส. มีเรื่องเกิดขึ้นอย่างไร ?
แม้ท่านพระยโสชเถระนี้ มีบุญญาธิการที่ได้ทำไว้แล้ว ในพระ-
พุทธเจ้าองค์ก่อน ๆ เมื่อสั่งสมบุญทั้งหลายในภพนั้น ๆ มาในกาลของ
พระผู้มีพระภาคเจ้า พระนามว่า วิปัสสี ได้เกิดในตระกูลของผู้เฝ้าสวน
รู้เดียงสาแล้ว วันหนึ่ง ได้เห็นพระผู้มีพระภาคเจ้า พระนามว่า วิปัสสี
กำลังเสด็จมาทางอากาศ มีใจเลื่อมใส ได้ถวายผลขนุนสำมะลอ (แด่พระองค์).

272
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๒ – หน้าที่ 273 (เล่ม 51)

ด้วยบุญกรรมนั้น ท่านท่องเที่ยวไปมาในเทวโลกและมนุษยโลก มา
ในพุทธุปบาทกาลนี้ จึงได้เกิดเป็นบุตรของชาวประมง ผู้เป็นหัวหน้าของตน
๕๐๐ สกุล ในหมู่บ้านของชาวประมง ใกล้ประตูพระนครสาวัตถี. มารดาบิดา
ได้ขนานนามท่านว่า ยโสชะ. ท่านเจริญวัยแล้ว ได้ไปลงอวนที่แม่น้ำอจิรวดี
เพื่อจะเอาปลาพร้อมกับลูกชาวประมง ที่เป็นเพื่อนของตน. บรรดาปลาเหล่านั้น
ปลาใหญ่ตัวหนึ่ง มีสีเหมือนทองเข้าอวน. ชาวประมงเหล่านั้น พากันเอาปลา
ไปให้พระเจ้าปเสนทิโกศล ทอดพระเนตร. พระองค์ตรัสว่า พระผู้มี-
พระภาคเจ้า (เท่านั้น) จึงจะทรงทราบเหตุแห่งสีของปลาสีทองตัวนี้ แล้ว
ทรงให้พวกเขาเอาปลาไปให้พระผู้มีพระภาคเจ้า ทอดพระเนตร. พระผู้มี
พระภาคเจ้าตรัสว่า ปลาตัวนี้ เมื่อพระศาสนาของพระกัสสปสัมมาสัมพุทธเจ้า
เสื่อมถอยลง บวชแล้วปฏิบัติผิด ทำให้ศาสนาเสื่อมถอยลง (มรณภาพแล้ว)
ไปเกิดในนรก ไหม้อยู่ในนรกสิ้นพุทธันดรหนึ่ง จุติจากนรกนั้นแล้ว จึงมา
เกิดเป็นปลาในแม่น้ำอจิรวดี แล้วทรงให้ปลานั้นนั่นเอง บอกความที่เขาและ
น้องของเขาเกิดในนรก และบอกความที่พระเถระผู้เป็นพี่ชายของเขาปรินิพพาน
แล้ว จึงทรงแสดงกบิลสูตร เพราะเกิดเรื่องนี้ขึ้น.
นายยโสชะ ครั้นได้ฟังพระธรรมเทศนาของพระศาสดาแล้ว เกิด
สังเวชสลดใจ จึงได้บวชในสำนักของพระศาสดา พร้อมด้วยสหายของตน
พักอยู่ ณ ที่ ๆ สมควร อยู่มาวันหนึ่ง เป็นผู้มีบริวารได้ไปยังพระเชตวัน
เพื่อถวายบังคมพระผู้มีพระภาคเจ้า. ในการมาของท่าน ได้มีเสียงอึกทึกคึก
โครมไปด้วยการปูเสนาสนะเป็นต้น ในวิหาร ผู้ศึกษาควรทราบเรื่องทั้งหมด
โดยนัยที่มีมาแล้วในคัมภีร์อุทานว่า พระศาสดาครั้นได้ทรงสดับเสียงนั้นแล้ว
ได้ทรงประณามท่านยโสชะ พร้อมด้วยบริวาร ส่วนท่านยโสชะผู้ถูกประณาม

273
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๒ – หน้าที่ 274 (เล่ม 51)

แล้วสลดใจ เหมือนม้าอาชาไนย ตัวดีถูกหวดด้วยแส้ จึงพักอยู่ที่ฝั่งแม่น้ำ
วัดคุมุทา พร้อมด้วยบริษัทบริวาร พยายามสืบต่อบำเพ็ญวิปัสสนา แล้วได้
เป็นพระอริยเจ้า ผู้มีอภิญญา ๖ ในภายในพรรษานั่นเอง. ด้วยเหตุนั้น ท่าน
จึงได้กล่าวไว้ในอปทานว่า
ในครั้งนั้น ข้าพเจ้าได้เป็นคนเฝ้าสวน ในนคร
พันธุมดี ได้เห็นพระพุทธเจ้า ผู้ทรงปราศจากความ
กำหนัด กำลังเสด็จดำเนินไป ข้าพเจ้าไม่ได้หลีกไป
ได้เอาผลขนุนสำมะลอไปถวายพระพุทธเจ้า ผู้ประ-
เสริฐที่สุด พระองค์ผู้มีพระยศยิ่งใหญ่ มีพระทัยสงบ
แล้ว ประทับบนอากาศนั่นเอง ทรงรับเอาผลไม้นั้น
พระองค์ทรงยังความปลื้มใจให้เกิดแก่ข้าพเจ้า ทรง
นำความสุขในปัจจุบันมาให้ข้าพเจ้า เพราะถวายผลไม้
แด่พระพุทธเจ้า ด้วยใจเลื่อมใส ในครั้งนั้น ข้าพเจ้า
จึงประสบปีติที่ไพบูลย์ และความสุขอย่างสูงสุด รัตนะ
เกิดขึ้นแก่ข้าพเจ้าผู้เกิดในภพนั้น ๆทีเดียว ในกัปที่ ๙๑
แต่ภัทรกัปนี้ ข้าพเจ้าไม่รู้จักทุคติเลย เพราะเหตุที่ได้
ถวายผลไม้แก่พระพุทธเจ้า ในครั้งนั้น นี้คือผลแห่ง
การให้ทานผลไม้. กิเลสทั้งหลายข้าพเจ้าได้เผาแล้ว
ฯ ล ฯ คำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า ข้าพเจ้าได้ปฏิบัติแล้ว.
ก็พระศาสดาได้ตรัสสั่งให้หาท่านยโสชะ พร้อมด้วยบริวารผู้มีอภิญญา
๖ แล้ว ได้ทรงทำการต้อนรับด้วยอาเนญชสมาบัติ (สมาบัติที่ไม่หวั่นไหว)
ท่านสมาทานธุดงค์ธรรมแม้ทุกข้อแล้วประพฤติ. ด้วยเหตุนั้น ร่างกายของท่าน

274
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๒ – หน้าที่ 275 (เล่ม 51)

จึงผ่ายผอม เศร้าหมอง ผิวพรรณคล้ำไป. พระผู้มีพระภาคเจ้าเมื่อจะทรง
สรรเสริญท่าน ด้วยความเป็นผู้มีความปรารถนาน้อยอย่างยิ่ง จึงได้ตรัส
พระคาถาที่ ๑ ไว้ว่า
นรชนผู้มีใจไม่ย่อท้อ เป็นผู้รู้จักประมาณในข้าว
และน้ำ ซูบผอม มีตัวสะพรั่งไปด้วยเส้นเอ็น เหมือน
กับเถาหญ้านาง.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า กาลปพฺพงฺสงฺกาโส ความว่า มีตัว
คล้ายข้อเถาหญ้านาง เพราะมีอวัยวะร่างกายผอม ดำรงอยู่โดยยาก โดย
ปราศจากกล้ามเนื้อ ด้วยเหตุนั้น พระองค์จึงได้ตรัสไว้ว่า กิโส ธมนิสนฺถโต
ผอมมีตัวสะพรั่งด้วยเส้นเอ็น.
บทว่า กิโส ได้แก่ มีรูปร่างผอม เพราะบำเพ็ญโมเนยยปฏิปทา ข้อ
ปฏิบัติเพื่อเป็นมุนีให้บริบูรณ์.
บทว่า ธมนิสนฺถโต ความว่า มีตัวสะพรั่งด้วยเส้นเอ็น อธิบายว่า
มีรูปร่างเกลื่อนไปด้วยเส้นเอ็นใหญ่ ๆ ที่ปรากฏชัด เพราะมีเนื้อและเลือดน้อย.
บทว่า มตฺตญฺญู ได้แก่ เป็นผู้รู้ประมาณในการแสวงหา การรับ
การฉัน และการเสียสละ.
บทว่า อทีนมานโส ได้แก่ ผู้มีใจไม่หดหู่ เพราะไม่ถูกความ
เกียจคร้านเป็นต้นครอบงำ คือเป็นผู้มีพฤติกรรมไม่เกียจคร้าน.
บทว่า นโร ได้แก่ ผู้ชาย คือผู้สมบูรณ์ด้วยลักษณะของผู้ชาย เพราะ
นำธุระของลูกผู้ชายไปได้ อธิบายว่า ชายที่เอางานเอาการ.
พระเถระผู้อันพระศาสดาทรงสรรเสริญอย่างนี้แล้ว เมื่อจะกล่าวธรรม
ที่เหมาะสมกับความที่ตนเป็นผู้อันพระศาสดาทรงสรรเสริญแล้ว แก่ภิกษุ

275