ขณะทั้งหลายย่อมล่วงเลยคนทั้งหลาย ผู้ทอดทิ้ง
การงาน โดยอ้างเลศว่า เวลานี้ นาวนัก ร้อนนัก
เย็นมากแล้ว ส่วนผู้ใดไม่สำคัญหนาวและร้อนให้ยิ่ง
ไปกว่าหญ้า ผู้นั้นจะทำงานอยู่อย่างลูกผู้ชาย ไม่พลาด
ไปจากความสุข ข้าพเจ้าเมื่อจะเพิ่มพูนวิเวก จักแหวก
แฝกคา หญ้าดอกเลา หญ้าปล้อง และหญ้ามุงกระต่าย
ด้วยอุระ.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อติสีตํ ความว่า นำความมาเชื่อมกันว่า
หนาวเหลือเกิน เพราะหิมะตกและฝนพรำเป็นต้น คนเกียจคร้านอ้างข้อนี้.
บทว่า อติอุณฺหํ ความว่า ร้อนเหลือเกิน เพราะแดดแผดเผาใน
ฤดูร้อนเป็นต้น. แม้ด้วยคำทั้ง ๒ นี้ พระเถระได้กล่าวถึงเหตุเป็นที่ตั้งแห่ง
ความเกียจคร้าน ด้วยอำนาจฤดู.
บทว่า อติสายํ ความว่า เย็นมากแล้ว เพราะกลางวันผ่านพ้นไป
ก็ด้วยว่าสายนั้นเทียว แม้เวลาเช้า ก็เป็นอันสงเคราะห์เข้าในคาถานี้ด้วย ด้วย
คำทั้งสองนั้น (สายํ และ ปาโต) พระเถระได้กล่าวถึงเหตุเป็นที่ตั้งแห่งความ
เกียจคร้าน ด้วยอำนาจกาลเวลา.
บทว่า อิติ ความว่า ด้วยประการฉะนี้. ด้วยอิติศัพท์นี้ พระเถระ
สงเคราะห์เอาเหตุเป็นที่ตั้งแห่งความเกียจคร้านเข้าไว้ด้วย ที่พระผู้มีพระ
ภาคเจ้า ได้ตรัสไว้โดยนัยมีอาทิว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย กรรม (การงาน)
เป็นสิ่งที่ภิกษุ ในพระศาสนานี้ควรทำ.