ตราบใด ตราบนั้น ราตรีอันประกอบด้วยฤกษ์มาลินีเช่นนี้ ย่อมไม่เป็นราตรี
เพื่อจะหลับโดยแท้ คือไม่ใช่เวลาจะมามัวนอนหลับ.
อีกประการหนึ่งแล ราตรีเช่นนี้ ย่อมเป็นราตรีอันผู้รู้แจ้งปรารถนา
แล้ว เพื่อจะประกอบความเพียร โดยอรรถได้แก่ ขึ้นชื่อว่าราตรีเช่นนี้เป็น
เวลาที่มีเสียงสงัดเงียบเป็นพิเศษ เพราะเป็นเวลาที่พวกมนุษย์เหล่ามฤคและ
ปักษีทั้งหลาย ย่างเข้าสู่ความหลับ จึงเป็นเวลาอันวิญญูชน ผู้รู้แจ้ง ปรารถนา
เพื่อเอาใจใส่ดูแลข้อปฏิบัติในตน คือเพื่อจะขวนขวายบำเพ็ญความเพียรของผู้มี
ธรรมเป็นเครื่องตื่นอยู่นั่นเอง.
พระโสณเถระฟังพระโอวาทนั้นแล้ว เป็นผู้มีใจสลดแล้ว เริ่มตั้ง
หิริโอตตัปปะ อธิษฐานอัพโภกาสิกังคธุดงค์ (องค์คุณของภิกษุผู้ถือการอยู่ใน
ที่แจ้งเป็นวัตร) กระทำกรรมในวิปัสสนา กล่าวคาถาที่ ๒ ว่า หตฺถิกฺขนฺ-
ธาวปติตํ ดังนี้ เป็นอาทิ.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อวปติตํ ได้แก่ ตกคว่ำหน้า คือ มีเท้า
ขึ้นเบื้องบน มีหน้าลงเบื้องล่าง ตกไปแล้ว.
บทว่า กุญฺชโร เจ อนุกฺกเม ความว่า ถ้าช้างพึงเหยียบเรา.
ท่านกล่าวอธิบายไว้ดังนี้ว่า ถ้าในเวลาที่เราขึ้นคอช้างเข้าสู่สงคราม ตกจาก
คอช้าง ได้ถูกช้างนั้นเหยียบตายในสงคราม ความตายนั้นของเราประเสริฐกว่า
พ่ายจากกิเลสทั้งหลายในบัดนี้แล้วเป็นอยู่ จะประเสริฐอะไร คือ ความเป็น
อยู่นั้นไม่ประเสริฐเลย เมื่อพระเถระกล่าวคาถานี้อยู่นั่นแล ขวนขวายวิปัสสนา
บรรลุพระอรหัตแล้ว. สมดังคาถาประพันธ์ที่ท่านกล่าวไว้ในอปทานว่า
เมื่อก่อนเราเป็นพรานเนื้อ ครั้งนั้น เราเที่ยวอยู่
ในป่าใหญ่ ได้เห็นพระพุทธเจ้า ผู้ปราศจากกิเลสธุลี
ทรงรู้จบธรรมทั้งปวง เราเลื่อมใส ได้เอาผลมะหาด