No Favorites




หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๒ – หน้าที่ 146 (เล่ม 51)

บุรุษทั้งหลายผู้ประกอบด้วยคุณมีศีลเป็นต้น ผู้สงบระงับแล้ว ชื่อว่า
สัปบุรุษ ได้แก่ พระอริยบุคคลทั้งหลายมีพระสารีบุตรเถระเป็นต้น.
ด้วยบทว่า สปฺปุริสา นี้ พระเถระแสดงถึงความถึงพร้อม ด้วยจักร
ทั้งสองข้อแรกของตน. อธิบายว่า เว้นจากจักรคือการอยู่ในปฏิรูปเทศแล้ว
(จักร คือ) การเข้าไปคบหาสัปบุรุษย่อมเกิดมีไม่ได้.
บทว่า สุตา ธมฺมา ความว่า ธรรมอันปฏิสังยุตด้วยสัจจะ และ
ปฏิจจสมุปบาท อันข้าพเจ้าเข้าไปทรงไว้แล้ว ด้วยการแล่นไปตามโสตทวาร.
พระเถระเมื่อจะแสดงความเป็นพหูสูตของตน ย่อมแสดงสมบัติคือจักร ๒ ข้อ
หลัง ด้วยบทว่า สุตา ธมฺมา นี้.
บทว่า อภิณฺหโส ความว่า โดยมาก คือไม่ใช่เป็นครั้งเป็นคราว.
ก็บทนี้ บัณฑิตพึงประกอบเข้าแม้ในบทว่า อุปาสิตา สปฺปุริสา ด้วย.
บทว่า สุตฺวาน ปฏิปชฺชิสฺสํ อญฺชสํ อมโตคธํ ความว่า เราฟัง
ธรรมเหล่านั้นแล้ว กำหนดรูปธรรม และอรูปธรรม ตามที่ตรัสไว้ในเทศนา
นั้น โดยลักษณะของตนเป็นต้น เจริญวิปัสสนาโดยลำดับ ดำเนินไปคือ
บรรลุถึงหนทาง คืออริยอัฏฐังคิกมรรค อันหยั่งลงสู่อมตะ คือเป็นที่ตั้งแห่ง
พระนิพพาน ได้แก่ยังพระนิพพานให้ถึงพร้อม.
บทว่า ภวราคหตสฺส เม สโต ความว่า เมื่อเรามีสติสมบูรณ์แล้ว
กำจัด คือ เข้าไปทำลาย ความยินดีในภพคือตัณหา ในสงสารอันมีเบื้องต้น
และที่สุด อันบุคคลตามเข้าไปกำหนดรู้ไม่ได้ อีกอย่างหนึ่ง ได้แก่ มีความ
กำหนัดในภพ อันมรรคอันเลิศกำจัดแล้ว.
บทว่า ภวราโค ปุน เม น วิชฺชติ ความว่า เพราะเหตุนั้นแล
ความกำหนัดในภพ ย่อมไม่มีแก่เราอีกในบัดนี้.

146
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๒ – หน้าที่ 147 (เล่ม 51)

บทว่า น จาหุ น เม ภวิสฺสติ น จ เม เอตรหิ วิชฺชติ
ความว่า แม้ถ้าความกำหนัดในภพได้มีแก่เรา ในเวลาที่เราเป็นปุถุชน และ
ในเวลาที่เรายังเป็นเสกขบุคคลในกาลก่อน ก็จริง แต่จำเดิมแต่เราได้บรรลุมรรค
อันเลิศแล้ว ความกำหนัดในภพจะไม่มี และไม่มีแล้ว คือจะไม่มีแก่เรา และ
จะหาไม่ได้ในปัจจุบัน คือ บัดเดี๋ยวนี้ อธิบายว่า เราละภวราคะได้แล้ว. ก็
ด้วยคำว่า ภวราคะ นั่นแล เป็นอันพระเถระกล่าวความไม่มีแม้แห่งกิเลส
มีมานะเป็นต้นไว้ด้วย เพราะความที่แห่งกิเลสมีมานะเป็นต้น ตั้งอยู่ในที่เดียว
กันกับภวราคะนั้น เพราะเหตุนั้น พระเถระจึงแสดงความที่ตนเป็นผู้มีสังโยชน์
ในภพสิ้นรอบแล้ว โดยประการทั้งปวง.
จบอรรถกถากัณหทินนเถรคาถา
จบวรรควรรณนาที่ ๓
แห่งอรรถกถาเถรคาถา ชื่อว่า ปรมัตถทีปนี
ในวรรคนี้รวมพระเถระได้ ๑๐ รูป คือ
๑. พระอุตตรเถระ ๒. พระภัททชิเถระ ๓. พระโสภิตเถระ ๔.
พระวัลลิยเถระ ๕. พระวีตโสกเถระ ๖. พระปุณณมาสเถระ ๗. พระ-
นันทกเถระ ๘. พระภรตเถระ ๙. พระภารทวาชเถระ ๑๐. พระกัณห-
ทินนเถระ และอรรถกถา.

147
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๒ – หน้าที่ 148 (เล่ม 51)

เถรคาถา ทุกนิบาต วรรคที่ ๔
๑. มิคสิรเถรคาถา
ว่าด้วยคาถาของพระมิคสิรเถระ
[๒๘๘] ได้ยินว่า พระมิคสิรเถระได้ภาษิตคาถานี้ไว้ อย่างนี้ว่า
เมื่อใด เราได้บวชในศาสนาของพระสัมมาสัม-
พุทธเจ้าแล้ว หลุดพ้นจากกิเลส ได้บรรลุธรรมอัน
ผ่องแผ่วแล้ว ล่วงเสียซึ่งถามธาตุ เมื่อนั้น จิตของเรา
ผู้เพ่งธรรมของพระผู้มีพระภาคเจ้า ผู้เป็นดังพรหม
หลุดพ้นแล้วจากกิเลสทั้งปวง และมารู้ชัดว่า วิมุตติ
ของเราไม่กำเริบ เพราะความสิ้นไปแห่งสังโยชน์
ทั้งปวง.
วรรควรรณนาที่ ๔
อรรถกถามิคสิรเถรคาถา
คาถาของท่านพระมิคสิรเถระ เริ่มต้นว่า ยโต อหํ ปพฺพชิโต.
เรื่องราวของท่านเป็นอย่างไร ?
แม้พระเถระนี้ ก็เป็นผู้มีอธิการอันกระทำไว้แล้วในพระพุทธเจ้า
องค์ก่อน ๆ สั่งสมบุญไว้ในภพนั้น ๆ เกิดในตระกูลพราหมณ์ ในกาลของ

148
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๒ – หน้าที่ 149 (เล่ม 51)

พระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงพระนามว่า กัสสปะ บรรลุนิติภาวะแล้ว วันหนึ่ง
เห็นพระศาสดาแล้วมีจิตเลื่อมใส ได้ถวายหญ้าคา ๘ กำ.
ด้วยบุญกรรมนั้น เขาท่องเที่ยวไปในเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย ถือ
ปฏิสนธิในตระกูลพราหมณ์ ในโกศลรัฐ ในพุทธุปบาทกาลนี้ ได้นามว่า
มิคสิระ เพราะเกิดในฤกษ์มิคสิรนักษัตร เจริญวัยแล้ว ถึงความสำเร็จใน
วิชาและศิลปศาสตร์ของพราหมณ์ทั้งหลาย ศึกษามนต์ชื่อว่า ฉวสีสะ (มนต์
ดูกระโหลกหัวผี) คือ ร่ายมนต์แล้ว เอาเล็บเคาะศีรษะของผู้ที่ตายไปแล้ว
แม้ที่สุดถึง ๓ ปี ก็รู้ได้ว่า สัตว์ผู้นี้ เกิดในที่ชื่อโน้น.
เขาไม่ปรารถนาการอยู่อย่างฆราวาส บวชเป็นปริพาชกอาศัยวิชานั้น
เป็นผู้อันชาวโลก สักการะ เคารพ มีลาภ เที่ยวไปเดินทางถึงกรุงสาวัตถี
แล้วไปสู่สำนักของพระศาสดา เมื่อจะประกาศอานุภาพของตน จึงกราบทูลว่า
ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ ข้าพระองค์รู้สถานที่ซึ่งผู้ทายแล้วไปเกิด เมื่อพระผู้มี-
พระภาคเจ้าตรัสถามว่า ก็เธอรู้ได้อย่างไร ? จึงกราบทูลว่า ข้าพระองค์ให้เขา
นำเอากระโหลกศีรษะหัวผีมา แล้วร่ายมนต์ เอาเล็บเคาะศีรษะ ย่อมรู้สถานที่
ซึ่งสัตว์เหล่านั้น ๆ ไปเกิด มีนรกเป็นต้น.
ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสสั่งให้เขานำเอากระโหลกศีรษะของ
ภิกษุผู้ปรินิพพานแล้ว มาให้มิคสิรปริพาชก ตรัสสั่งว่า เธอจงบอกถึงคติของ
กระโหลกศีรษะนั้นก่อน นี้เป็นกระโหลกศีรษะของผู้ใด เขาร่ายมนต์สำหรับ
ดูกะโหลกศีรษะนั้นแล้ว เคาะด้วยเล็บ ไม่เห็นที่สุด ไม่เห็นเงื่อนงำ. ลำดับนั้น
เขาเมื่อพระศาสดาตรัสถามว่า เธอไม่อาจ (จะเห็น) หรือ จึงกราบทูลว่า
จักขอตรวจสอบดูก่อน แล้วแม้ร่ายมนต์อยู่บ่อย ๆ ก็มองไม่เห็นอยู่นั่นเอง.
ก็ผู้ประกอบพิธีกรรมภายนอกพระพุทธศาสนา จักรู้คติของพระขีณาสพได้อย่าง-
ไร ? ลำดับนั้น เหงื่อไหลออกจากศีรษะและรักแร้ของมิคสิรปริพาชก เขา

149
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๒ – หน้าที่ 150 (เล่ม 51)

ละอายยืนนิ่งอยู่ พระศาสดาตรัสว่า เธอลำบากหรือปริพาชก. เขาทูลตอบว่า
พระเจ้าข้า ข้าพระองค์ลำบาก ข้าพระองค์ไม่รู้คติของกระโหลกศีรษะนี้ ก็
พระองค์เล่า ทรงรู้หรือพระเจ้าข้า. พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า เราตถาคต
รู้คติของกระโหลกศีรษะนี้ แม้ยิ่งกว่านี้ เราตถาคตก็รู้ ดังนี้แล้ว ตรัสต่อไปว่า
ผู้เป็นเจ้าของกระโหลกศีรษะนั้น ไปสู่พระนิพพาน. ปริพาชก กราบทูลว่า
ขอพระองค์จงให้วิชานี้ แก่ข้าพระองค์. พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า ถ้าเช่นนั้น
เธอจงบวช ดังนี้แล้วให้ปริพาชกนั้นบวช ให้ประกอบความเพียรในสมถกรรม-
ฐานก่อน แล้วทรงแนะนำวิปัสสนากรรมฐาน แก่เธอผู้ตั้งอยู่ในฌานและอภิญญา
แล้ว เธอบำเพ็ญวิปัสสนากรรมฐาน แล้วบรรลุพระอรหัตต่อกาลไม่นานนัก.
สมดังคาถาประพันธ์ที่ท่านกล่าวไว้ในอปทานว่า*
เรามีจิตเลื่อมใสโสมนัส ได้ถวายหญ้าคา ๘ กำ
แด่พระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงพระนามว่า กัสสปะ ผู้มี
บาปอันลอยเสียแล้ว มีพรหมจรรย์อันอยู่จบแล้ว ใน
กัปนี้นั่นเอง เราได้ถวายหญ้าคา ๘ กำ ด้วยการถวาย
หญ้าคานั้น เราไม่รู้จักทุคติเลย. เราเผากิเลสทั้งหลาย
แล้ว ฯลฯ คำสอนของพระพุทธเจ้า เรากระทำสำเร็จ
แล้ว ดังนี้.
ก็พระเถระบรรลุพระอรหัตแล้ว เมื่อจะพยากรณ์พระอรหัตผลได้กล่าว
คาถา ๒ คาถา ความว่า
เมื่อใด เราได้บวชในศาสนาของพระสัมมาสัม-
พุทธเจ้าแล้ว หลุดพ้นจากกิเลส ได้บรรลุธรรมอัน
ผ่องแผ้วแล้ว ล่วงเสียซึ่งกามธาตุ เมื่อนั้น จิตของเรา
* ใน ขุ.อ. ๓๓/๖๖ เรียกชื่อว่า กุสัฏฐกทายกเถระ

150
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๒ – หน้าที่ 151 (เล่ม 51)

ผู้เพ่งธรรม ของพระผู้มีพระภาคเจ้า ผู้เป็นดังพรหม
หลุดพ้นจากกิเลสทั้งปวง และมารู้ชัดว่า วิมุตติของเรา
ไม่กำเริบ เพราะความสิ้นไปแห่งสังโยชน์ทั้งปวง ดังนี้.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ยโต อหํ ปพฺพชิโต สมฺมาสมฺ-
พุทฺธสาสเน ความว่า เราบวชในพระศาสนา จำเดิมแต่กาลใด คือ จำเดิม
แต่เวลาที่เราบวชแล้ว.
บทว่า วิมุจฺจมาโน อุคฺคญฺฉึ ความว่า เราเมื่อหลุดพ้นจากธรรม
อันเป็นฝ่ายสังกิเลส ด้วยสมถะและวิปัสสนาเป็นปฐมก่อน ชื่อว่า ตั้งตนได้ด้วย
สามารถแห่งธรรมอันผ่องแผ้ว เมื่อตั้งตนได้อย่างนี้แล้ว ชื่อว่าล่วงเสียซึ่ง
กามธาตุ คือก้าวล่วงกามธาตุได้ด้วยอนาคามิมรรค โดยส่วนเดียวทีเดียว.
บทว่า พฺรหฺมุโน เปกฺขมานสฺส ตโต จิตฺตํ วิมุจฺจิ เม ความว่า
จิตของเราผู้เพ่งธรรม ของพระผู้มีพระภาคพุทธเจ้า ผู้ชื่อว่าเป็น
พรหม โดยอรรถว่าเป็นผู้ประเสริฐที่สุด เพราะความเป็นผู้เลิศกว่าโลกพร้อมทั้ง
เทวโลก โดยประกอบไปด้วยพระมหากรุณาว่า กุลบุตรนี้ บวชในศาสนา
ของเรา จะปฏิบัติอย่างไรหนอแล ดังนี้ หลุดพ้นแล้วจากกิเลสทั้งปวงโดย
ส่วนเดียวนั่นเทียว เพราะเหตุที่ได้บรรลุพระอนาคามิมรรคนั้น (และ) เพราะ
บรรลุมรรคอันเลิศในภายหลัง.
บทว่า อกุปฺปา เม วิมุตฺติ ความว่า พระเถระพยากรณ์พระ-
อรหัตผลว่า เพราะเหตุที่จิตของเราหลุดพ้นแล้ว อย่างนั้นนั่นแล คือเพราะ
สิ้นไป ได้แก่ สิ้นไปรอบ แห่งสังโยชน์ทั้งหลายทั้งปวง วิมุตติของเราจึงไม่
กำเริบอย่างนี้ ด้วยประการฉะนี้.
จบอรรถกถามิคสิรเถรคาถา

151
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๒ – หน้าที่ 152 (เล่ม 51)

๒. สิวกเถรคาถา
ว่าด้วยคาถาของพระสิวกเถระ
[๒๘๙] ได้ยินว่า พระสิวกเถระได้ภาษิตคาถานี้ไว้ อย่างนี้ว่า
เรือนคืออัตภาพที่เกิดในภพนั้นบ่อย ๆ เป็นของ
ไม่เที่ยง เราแสวงหานายซ่าง คือ ตัณหาผู้สร้างเรือน
เมื่อไม่พบ ได้ท่องเที่ยวไปสู่สงสาร สิ้นชาติมิใช่น้อย
การเกิดบ่อย ๆ เป็นทุกข์ร่ำไป ดูก่อนนายช่างผู้สร้าง
เรือน บัดนี้ เราพบท่านแล้ว ท่านจักไม่ต้องสร้างเรือน
ให้เราอีก ซี่โครงคือกิเลสของท่านเราหักเสียหมดแล้ว
และช่อฟ้าคืออวิชชาแห่งเรือนของท่าน เราทำลายแล้ว
จิตของเราไม่เกิดต่อไปเป็นธรรมดาแล้ว จักดับอยู่ใน
ภพนี้เอง.
อรรถกถาสิวกเถรคาถา
คาถาของท่านพระสิวกเถระ เริ่มต้นว่า อนิจฺจานิ คหกานิ.
เรื่องราวของท่านเป็นอย่างไร ?
แม้พระเถระนี้ ก็เป็นผู้มีอธิการอันกระทำแล้วในพระพุทธเจ้าองค์-
ก่อนๆ สั่งสมบุญไว้ในภพนั้น ๆ เกิดในเรือนแห่งตระกูล ในกาลของพระผู้มี-
พระภาคเจ้า ทรงพระนามว่า วิปัสสี บรรลุนิติภาวะแล้ว วันหนึ่ง เห็นพระ-

152
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๒ – หน้าที่ 153 (เล่ม 51)

ผู้มีพระภาคเจ้า เสด็จเที่ยวไปบิณฑบาต มีใจเลื่อมใส รับบาตรแล้วได้ถวาย
ขนมกุมมาสจนเต็มบาตร.
ด้วยบุญกรรมนั้น เขาท่องเที่ยวไปในเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย บังเกิด
ในตระกูลพราหมณ์ ได้มีนามว่า สีวกะ. เขาเจริญวัยแล้วสำเร็จการศึกษาใน
วิชาการและศิลปศาสตร์ทั้งหลาย ละกามทั้งหลายแล้วบวชเป็นปริพาชก เพราะ
ความเป็นผู้มีอัธยาศัยน้อมไปในเนกขัมมะ เที่ยวไป เข้าเฝ้าพระศาสดาฟังธรรม
เป็นผู้ได้ศรัทธาจิต บวชแล้วกระทำกรรมในวิปัสสนา แล้วบรรลุพระอรหัต
ต่อกาลไม่นานนัก. สมดังคาถาประพันธ์ที่ท่านกล่าวไว้ในอปทานว่า
เราเห็นบาตรอันว่างเปล่า ของพระผู้มีพระภาค-
เจ้า ผู้แสวงหาคุณอันยิ่งใหญ่ พระนามว่า วิปัสสี
เสด็จเที่ยวแสวงหาบิณฑบาตอยู่ จึงใส่ขนมกุมมาส
จนเต็มบาตร ในกัปที่ ๙๑ แต่ภัทรกัปนี้ เราได้ถวาย
ภิกษาใด ด้วยการถวายภิกษานั้น เราไม่รู้จักทุคติเลย
นี้เป็นผลแห่งขนมกุมมาส. เราเผากิเลสทั้งหลายแล้ว
ฯลฯ คำสอนของพระพุทธเจ้าทั้งหลายเรากระทำสำเร็จ
แล้ว ดังนี้.
ก็พระเถระบรรลุพระอรหัตแล้ว เมื่อจะพยากรณ์พระอรหัตผลได้กล่าว
คาถา ๒ คาถา ความว่า
เรือน คือ อัตภาพที่เกิดในภพนั้น ๆ บ่อย ๆ
เป็นของไม่เที่ยง เราแสวงหานายช่างคือตัณหาผู้สร้าง-
เรือน เมื่อไม่พบ ได้ท่องเที่ยวไปสู่สงสารสิ้นชาติมิใช่
น้อย การเกิดบ่อย ๆ เป็นทุกข์ร่ำไป ดูก่อนนายช่างผู้ 

153
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๒ – หน้าที่ 154 (เล่ม 51)

สร้างเรือน บัดนี้ เราพบท่านแล้ว ท่านจักไม่ต้อง
สร้างเรือนให้เราอีก ซี่โครงคือกิเลสของท่าน เราหัก
เสียหมดแล้ว และช่อฟ้าคืออวิชชาแห่งเรือนท่าน เรา
ทำลายเสียแล้ว จิตของเราไม่เกิดต่อไปเป็นธรรมดา
แล้ว จักดับอยู่ในภพนี้เอง ดังนี้.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อนิจฺจานิ คหกานิ ตตฺถํ ตตฺถ
ปุนปฺปุนํ ความว่า เรือนทั้งหลายได้แก่เรือนคืออัตภาพ อันบังเกิดในภพนั้น ๆ
บ่อย ๆ เป็นของไม่เที่ยง คือไม่มั่นคง ไม่คงทน ได้แก่ มีอยู่ชั่วเวลาเล็กน้อย.
บทว่า คหการํ คเวสนฺโต มีอธิบายว่า เมื่อเราแสวงหานายช่าง
ผู้กระทำเรือนคืออัตภาพนี้ ได้แก่ นายช่างผู้สร้างเรือน คือ ตัณหา ได้ท่อง-
เที่ยวไปตลอดเวลามีประมาณเท่านี้.
บทว่า ทุกฺขา ชาติ ปุนปฺปุนํ นี้เป็นคำแสดงเหตุแห่งการแสวงหา
นายช่างผู้สร้างเรือน เพราะเหตุที่ ขึ้นชื่อว่าชาตินี้ ชื่อว่าเป็นทุกข์ เพื่อการ
เข้าถึงบ่อย ๆ เพราะเจือไปด้วย ชรา พยาธิ และมรณะ ก็เมื่อเรายังหาช่าง
ผู้สร้างเรือนนั้นไม่พบ ชาตินั้นย่อมไม่สูญหาย ฉะนั้น เมื่อเราแสวงหาช่าง
ผู้สร้างเรือนนั้น เราจึงเที่ยวไปแล้ว.
บทว่า คหการก ทิฏฺโฐสิ ความว่า ดูก่อนช่างผู้สร้างเรือน ก็บัดนี้
ท่านเป็นผู้อันเราสามารถเห็นได้ ด้วยดวงตา คือ พระอริยมรรคนั้นแล้ว.
บทว่า ปุน เคหํ ความว่า เจ้าจะไม่กระทำ คือจักไม่สร้างเรือน
ของเรา กล่าวคืออัตภาพในสังสารวัฎนี้ต่อไปได้อีก.
บทว่า สพฺพา เต ผาสุกา ภคฺคา ความว่า ซี่โครง คือ กิเลส
ทั้งปวงของเจ้า อันเราหักแล้วโดยไม่มีส่วนเหลือ.

154
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๒ – หน้าที่ 155 (เล่ม 51)

บทว่า ถูณิกา จ วิทาลิตา ความว่า และบัดนี้เราทำลายช่อฟ้า
กล่าวคือ อวิชชา แห่งเรือนคืออัตภาพ อันท่านพึงกระทำเสียแล้ว.
บทว่า วิมริยาทิกตํ จิตฺตํ ความว่า จิตของเราอันเรากระทำให้มี
ที่สุดไปปราศแล้ว คือให้ถึงความไม่ต้องเกิดต่อไปเป็นธรรมดา อธิบายว่า
เพราะเหตุนั้นแล จิตของเราจักดับอยู่ในภพนี้เอง คือจักถูกกำจัดเสียในภพ
นี้แหละ ได้แก่จักดับไปด้วยการดับแห่งจิตดวงสุดท้าย.
จบอรรถกถาสีวกเถรคาถา
๓. อุปวาณเถรคาถา
ว่าด้วยคาถาของพระอุปวาณเถระ
[๒๙๐] ได้ยินว่า พระอุปวาณเถระได้ภาษิตคาถานี้ไว้ อย่างนี้ว่า
ดูก่อนพราหมณ์ พระผู้มีพระภาคเจ้า ผู้เป็น
พระอรหันต์ ผู้เสด็จไปดีแล้วในโลก เป็นมุนี ถูกลม
เบียดเบียนแล้ว ถ้าท่านมีน้ำร้อนขอจงถวายแด่พระ-
ผู้มีพระภาคเจ้า ผู้เป็นมุนีเถิด พระผู้มีพระภาคเจ้า
พระองค์นั้น เป็นผู้อันบุคคลบูชาแล้ว กว่าเทวดาและ
พรหมทั้งหลาย แม้บุคคลควรบูชา อันบุคคลสักการะ
แล้ว กว่าพระเจ้าพิมพิสาร และพระเจ้าโกศล ผู้อัน
บุคคลพึงสักการะ อันบุคคลนอบน้อมแล้ว กว่าเหล่า
พระขีณาสพที่บุคคลควรนอบน้อม เราปรารถนาจะนำ
น้ำร้อนไปถวายพระองค์.

155