No Favorites




หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๒ – หน้าที่ 136 (เล่ม 51)

พึงเป็นไปเพื่อประโยชน์เกื้อกูล เพื่อความสุข แก่ข้าพระองค์ตลอดกาลนาน.
พระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงสวมรองเท้า เพื่อจะทรงอนุเคราะห์เขา.
ด้วยบุญกรรมนั้น เขาท่องเที่ยวไปในเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย เกิด
ในตระกูลแห่งคฤหบดี ในจัมปานคร ในพุทธุปบาทกาลนี้ ได้มีนามว่า
ภรตะ. เขาบรรลุนิติภาวะแล้ว ฟังความที่พระโสณเถระบวชแล้ว เกิดความ
สลดใจว่า แม้ขึ้นชื่อว่า พระโสณเถระก็ยังบวช ดังนี้ แล้วออกบวช กระทำ
บุรพกิจเสร็จแล้ว กระทำกรรมในวิปัสสนา ได้เป็นผู้มีอภิญญา ๖ ต่อกาล
ไม่นานนัก. สมดังคาถาประพันธ์ที่ท่านกล่าวไว้ ในอปทานว่า
พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงพระนามว่า อโนมทัสสี
เชษฐบุรุษของโลก ประเสริฐกว่านรชน มีพระจักษุ
เสด็จออกจากที่ประทับสำราญกลางวันแล้ว เสด็จขึ้น
ถนน เราสวมรองเท้าที่ทำอย่างดีออกเดินทางไป ณ ที่
นั้น เราได้เห็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า งามน่าดูน่าชม
เสด็จดำเนินด้วยพระบาทเปล่า เรายังจิตของตนให้
เลื่อมใส ถอดรองเท้าออกวางไว้แทบพระบาท แล้ว
กราบทูลว่า ข้าแต่พระสุคตผู้เป็นมหาวีรบุรุษ เป็นใหญ่
เป็นผู้นำชั้นพิเศษ ขอเชิญพระองค์ทรงสวมรองเท้า
เถิด ข้าพระองค์จักได้ผลจากรองเท้าคู่นี้ ขอความ
ต้องการของข้าพระองค์จงสำเร็จเถิด พระผู้มีพระภาค
เจ้าทรงพระนามว่า อโนมทัสสี เชษฐบุรุษของโลก
ประเสริฐกว่านรชน ทรงสวมรองเท้าแล้ว ได้ตรัส
พระดำรัสนี้ว่า ผู้ใดเลื่อมใสถวายคู่แห่งรองเท้าแก่เรา
ด้วยมือทั้งสองของตน เราจักพยากรณ์ผู้นั้น ท่านทั้ง

136
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๒ – หน้าที่ 137 (เล่ม 51)

หลายจงฟังเรากล่าว เทวดาทุก ๆ องค์ได้ทราบพระ
พุทธดำรัสแล้ว มาประชุมกัน ต่างก็มีจิตปีติ ดีใจ
เกิดความโสมนัส ประนมกรอัญชลี พระผู้มีพระภาค
เจ้าได้ตรัสว่า เพราะการถวายรองเท้านี้แล ผู้นี้จักเป็น
ผู้ถึงความสุข จักเสวยราชสมบัติในเทวโลก ๕๕ ครั้ง
จักได้เป็นพระเจ้าจักรพรรดิราช ๑,๐๐๐ ครั้ง และจัก
ได้เป็นพระเจ้าประเทศราช อันไพบูลย์ โดยคณนา
นับมิได้ ในกัปซึ่งนับไม่ถ้วน แต่ภัทรกัปนี้ สกุล-
โอกากราช จักสมภพพระศาสดา มีพระนามว่า โคดม
จักเสด็จอุบัติขึ้นในโลก ผู้นี้จักเป็นทายาทในธรรม
ของพระศาสดาพระองค์นั้น เป็นโอรสอันธรรมเนร-
มิต จักกำหนดรู้อาสวะทั้งปวงแล้ว จักเป็นผู้ไม่มี
อาสวะ ปรินิพพาน ผู้นี้เกิดในเทวโลก หรือในมนุษย-
โลก จักเป็นผู้มีปัญญา จักได้ยานอันเปรียบด้วยยาน
ของเทวดา ปราสาท วอ ช้าง ที่ประดับประดาแล้ว
และรถที่เทียมแล้วด้วยม้าอาชาไนย ย่อมเกิดปรากฏ
แก่เราทุกเมื่อ แม้เมื่อเราออกบวช ก็ได้ออกบวชด้วย
รถ ได้บรรลุพระอรหัต เมื่อกำลังปลงผม นี้เป็นลาภ
ของเรา เราได้ดีแล้ว คือ การค้าขายเราได้ประกอบ
ถูกทางแล้ว เราถวายรองเท้าคู่หนึ่ง จึงได้บรรลุบทอัน
ไม่หวั่นไหว ในกัปอันประมาณมิได้ นับแต่ภัทรกัป
นี้ เราได้ถวายรองเท้าใด ด้วยการถวายรองเท้านั้น

137
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๒ – หน้าที่ 138 (เล่ม 51)

เราไม่รู้จักทุคติเลย นี้เป็นผลแห่งการถวายรองเท้า.
เราเผากิเลสทั้งหลายแล้ว ฯลฯ คำสอนของพระ-
พุทธเจ้าเรากระทำสำเร็จแล้ว ดังนี้.
ก็พระเถระผู้มีอภิญญา ๖ แล้ว เมื่อพระนันทกเถระผู้เป็นน้องชาย
ของตน กระทำการพยากรณ์พระอรหัตผล โดยนัยดังกล่าวแล้วในหนหลัง
เมื่อจะบอกถึงความปริวิตก อันเกิดขึ้นแล้ว แก่พระนันทกเถระว่า บัดนี้แม้
พระนันทกะ ก็เป็นพระอรหัตแล้ว เอาเถิด เราแม้ทั้งสองไปสู่สำนักของพระ
ศาสดาแล้ว จักกราบทูลความที่เราทั้งสองเป็นผู้มีพรหมจรรย์อันอยู่จบแล้ว
ดังนี้ ได้กล่าวคาถา ๒ คาถา ความว่า
มาเถิดนันทกะ เราจงพากันไปยังสำนักของพระ
อุปัชฌาย์เถิด เราจักบันลือสีหนาท เฉพาะพระพักตร์
ของพระพุทธเจ้าผู้ประเสริฐ พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้
เป็นมุนีมีความเอ็นดูเรา ทรงให้บรรพชาเพื่อประโยชน์
อันใด ประโยชน์อันนั้นเราก็ได้บรรลุแล้ว ความสิ้น
ไปแห่งสังโยชน์ทั้งปวง เราก็ได้บรรลุแล้ว ดังนี้.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า นนฺทก เป็นอาลปนะ (คำเรียกร้อง).
บทว่า เอหิ เป็นคำเรียกให้พระนันทกเถระมายังสำนักของตน. บทว่า คจฺฉาม
เป็นคำชวนให้พระนันทกเถระ กระทำกิจที่ควรทำร่วมกับตน.
บทว่า อุปชฺฌายสฺส หมายถึงพระสัมมาสัมพุทธเจ้า อธิบายว่า
พระสัมมาสัมพุทธเจ้า สมควรเรียกขานว่าเป็นพระอุปัชฌาย์โดยพิเศษ เพราะ
ทรงเข้าไปเพ่งโทษน้อยและโทษใหญ่ ของสัตวโลกพร้อมทั้งเทวโลก โดยทรง
ตรวจดูอัธยาศัย อนุสัย และจริตเป็นต้น ของสัตว์ทั้งหลายตามความเป็นจริง
ด้วยพระสมันตจักษุ และด้วยพุทธจักษุ เพื่อจะแสดงถึงประโยชน์ของการไป

138
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๒ – หน้าที่ 139 (เล่ม 51)

พระเถระจึงกล่าวว่า สีหนาทํ นทิสฺสาม พุทฺธเสฏฺฐสฺส สมฺมุขา เรา
จะบันลือสีหนาท เฉพาะพระพักตร์ของพระพุทธเจ้า ผู้ประเสริฐ ดังนี้.
อธิบายว่า เราจักบันลืออรรถพจน์อันชื่อว่า สีหนาท เพราะเป็นการบันลือ
อย่างไม่เกรงขาม โดยการประมวลมาซึ่งคุณพิเศษตามความเป็นจริงต่อหน้า
คือเฉพาะพระพักตร์ของพระพุทธเจ้า คือพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้ชื่อว่า
ประเสริฐที่สุด เพราะความเป็นผู้สูงสุดกว่าสัตว์ทั้งปวง นั้นแล หรือประเสริฐ
สุดกว่าท่านผู้รู้ทั้งหลาย มีสาวกของพระพุทธเจ้าเป็นต้น.
ก็พระเถระเมื่อจะแสดงความเป็นผู้ประสงค์จะบันลือสีหนาท จึง
กล่าวคาถามีอาทิว่า ยาย ดังนี้.
พึงทราบวินิจฉัยในคาถาที่สองดังต่อไปนี้ บทว่า ยาย ความว่า
เพื่อประโยชน์อันใด อธิบายว่า เพื่อข้อปฏิบัติอันสมควรแก่ประโยชน์อันใด.
บทว่า โน เท่ากับ อมฺหากํ แปลว่า แก่เราทั้งหลาย. บทว่า อนุกมฺปาย
ความว่า พระผู้มีพระภาคเจ้า. ยังเราแม้ทั้งสองให้บรรพชา คือให้บวช ด้วย
ทรงอนุเคราะห์. บทว่า มุนี ได้แก่ พระผู้มีพระภาคเจ้า. บทว่า โส โน
อตฺโถ อนุปฺปตฺโต มีอธิบายว่า ประโยชน์นั้น ได้แก่พระอรหัตผล อัน
เป็นที่สิ้นไปแห่งสังโยชน์ทั้งปวง อันเราทั้งหลาย คือเราทั้งสอง ถึงแล้วโดย
ลำดับ คือบรรลุแล้ว.
จบอรรถกถาภรตเถรคาถา

139
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๒ – หน้าที่ 140 (เล่ม 51)

๙. ภารทวาชเถรคาถา
ว่าด้วยคาถาของพระภารทวาชเถระ
[๒๘๖] ได้ยินว่า พระภารทวาชเถระได้ภาษิตคาถานี้ไว้ อย่างนี้ว่า
ธีรชนผู้มีปัญญา ชนะมารพร้อมทั้งพาหนะแล้ว
ชื่อว่าผู้ชนะสงครามย่อมบันลือสีหนาท ดังราชสีห์ใน
ถ้ำภูเขา ฉะนั้น เราได้ทำความคุ้นเคยกับพระศาสดา
แล้ว พระธรรมกับพระสงฆ์ เราได้บูชาแล้ว และ
เราปลาบปลื้มใจ เพราะเห็นบุตรหมดอาสวะกิเลส
แล้ว.
อรรถกถาภารทวาชเถรคาถา
คาถาของท่านพระภารทวาชเถระ เริ่มต้นว่า นทนฺติ เอวํ สปฺปญฺญา.
เรื่องราวของท่านเป็นอย่างไ ร ?
แม้พระเถระนี้ ก็เป็นผู้มีอธิการอันกระทำไว้แล้วในพระพุทธเจ้าองค์
ก่อน ๆ สั่งสมบุญไว้ในภพนั้น ๆ เกิดในเรือนแห่งตระกูล ในกัปที่ ๓๑ แต่
ภัทรกัปนี้ บรรลุนิติภาวะแล้ว วันหนึ่งเห็นพระปัจเจกพุทธเจ้า นามว่า
สุมนะ เที่ยวบิณฑบาต มีใจเลื่อมใส ได้ถวายผลวัลลิการะ อันสุกงอม.
ด้วยบุญกรรมนั้น เขาท่องเที่ยวไปในเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย เกิด
ในตระกูลพราหมณ์ กรุงราชคฤห์ ในพุทธุปบาทกาลนี้ มีชื่อตามโคตรปรากฏ

140
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๒ – หน้าที่ 141 (เล่ม 51)

ว่า ภารทวาชะ. เขาเจริญวัยแล้ว อยู่ครองเรือนได้บุตรคนหนึ่ง เขาได้ตั้ง
ชื่อบุตรว่า กัณหทินนะ ในเวลาที่กัณหทินนกุมาร บรรลุนิติภาวะแล้ว
เขาส่งเธอไปยังกรุงตักกศิลา ด้วยสั่งว่า ลูกเอ๋ย เจ้าจงไปศึกษาศิลปวิทยาใน
สำนักของอาจารย์ชื่อโน้น แล้วจงกลับมา. กัณหทินนพราหมณ์ เดินทางไป
ในระหว่างทาง ได้พระมหาเถระรูปหนึ่ง ซึ่งเป็นสาวกของพระศาสดา เป็น
กัลยาณมิตร ฟังธรรมในสำนักของพระมหาเถระแล้ว ได้เป็นผู้มีศรัทธาจิต
บวชแล้ว กระทำบุรพกิจเสร็จแล้ว กระทำกรรมในวิปัสสนา บรรลุพระอรหัต
ต่อกาลไม่นานนัก. สมดังคาถาประพันธ์ที่ท่านกล่าวไว้ในอปทานว่า
ครั้งนั้น พระสัมพุทธะนามว่า " สุมนะ " อยู่ใน
พระนครตักกรา เราได้ถือเอาผลวัลลิการะ น้อมถวาย
แด่พระสยัมภู ในกัปที่ ๓๑ แต่ภัทรกัปนี้ เราได้ถวาย
ผลไม้ใด ในกาลนั้น ด้วยการถวายผลไม้นั้น เราไม่
รู้จักทุคติเลย นี้เป็นผลแห่งการถวายผลไม้. เราเผา
กิเลสทั้งหลายแล้ว ฯลฯ คำสอนของพระพุทธเจ้า เรา
กระทำสำเร็จแล้ว ดังนี้.
ครั้งนั้น ภารทวาชพราหมณ์ ผู้เป็นบิดาของพระกัณหทินนเถระ
เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้า ผู้ประทับอยู่ในพระเวฬุวันมหาวิหาร ฟังธรรม
แล้วบวช การทำให้แจ้งซึ่งพระอรหัต ต่อกาลไม่นานนัก. ลำดับนั้น พระ-
กัณหทินนเถระผู้เป็นบุตรมาสู่พระนครราชคฤห์ เพื่อถวายบังคมพระศาสดา เห็น
พระภารทวาชะผู้เป็นบิดา นั่งอยู่แล้วในสำนักของพระศาสดา เป็นผู้มีจิตยินดี
แล้ว เมื่อจะทดลองว่า แม้บิดาของเราก็บวชแล้ว กิจแห่งบรรพชาอันพระเถระ
ผู้เป็นบิดา ให้ถึงที่สุดแล้วหรือยังหนอ ดังนี้ ก็รู้ความที่พระเถระเป็นพระ
ขีณาสพแล้ว ประสงค์จะให้พระเถระผู้บิดาบันลือสีหนาท จึงถามว่า เป็นการ

141
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๒ – หน้าที่ 142 (เล่ม 51)

ดีแล้วแล ที่ท่านบวชได้ แต่กิจแห่งบรรพชา อันท่านให้ถึงที่สุดแล้วหรือ
พระภารทวาชเถระเมื่อจะแสดงการบรรลุพระอรหัต แก่พระเถระผู้เป็นบุตร
จึงกล่าวคาถา ๒ คาถา ความว่า
ธีรชนผู้มีปัญญา ชนะมารพร้อมทั้งพาหนะแล้ว
ชื่อว่าผู้ชนะสงความ ย่อมบันลือสีหนาท ดังราชสีห์
ในถ้ำภูเขา ฉะนั้น เราได้ทำความคุ้นเคยกับพระศาสดา
แล้ว พระธรรมกับพระสงฆ์ เราได้บูชาแล้ว และเรา
ปลาบปลื้มใจ เพราะเห็นบุตรหมดอาสวกิเลสแล้ว
ดังนี้.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า นทนฺติ ความว่า บันลือ คือแผดเสียง
บันลืออย่างไม่เกรงขาม ด้วยสามารถแห่งการประมวลมาซึ่งคุณพิเศษตามความ
เป็นจริง.
บทว่า เอวํ เป็นบทแสดงอาการของข้อความที่จะพึงกล่าวในบัดนี้.
บทว่า สปฺปญฺญา ความว่า ถึงความไพบูลย์ด้วยปัญญาทั้งปวง
เพราะได้บรรลุปัญญาคือมรรคอันเลิศ จึงชื่อว่าบรรลุถึงซึ่งปัญญาทุกประการ.
บทว่า วีรา ความว่า ชื่อว่า มีความเพียร เพราะสมบูรณ์ด้วยความเพียร
คือ สัมมัปปธาน ๔ อย่าง. เชื่อมความว่า เพราะเหตุนั้นแล ผู้มีปัญญาชนะ
กิเลสมาร อภิสังขารมาร และเทวบุตรมาร พร้อมทั้งพาหนะ ด้วยการทำลาย
ธรรมอันเป็นฝ่ายสังกิเลสได้โดยไม่เหลือ ชื่อว่าเป็นผู้ชนะสงครามแล้ว โดย
ประการทั้งปวง ย่อมบันลือสีหนาท.

142
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๒ – หน้าที่ 143 (เล่ม 51)

พระเถระครั้นแสดงสีหนาท ด้วยการชนะกิเลสที่จะพึงชนะอย่างนี้แล้ว
บัดนี้ เพื่อจะแสดงสีหนาทนั้น โดยการแสดงความยินดีต่อสิ่งที่ควรยินดี และ
โดยความสำเร็จเป็นพระอรหันต์ตามที่ตนปรารถนา จึงได้กล่าวคาถาที่ ๒ ว่า
สตฺถา จ ปริจิณฺโณ เม และเราได้ทำความคุ้นเคยกับพระศาสดาแล้ว ดังนี้.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า สตฺถา จ ปริจิณฺโณ เม ความว่า
พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้เป็นศาสดาของเรา อันเราคุ้นเคยแล้ว คือ เข้าไป
ใกล้ชิดแล้ว โดยการกระทำตามพระโอวาทานุสาสนี ตามที่พระองค์ทรงสั่งสอน
แล้ว. อธิบายว่า ไม่ใช่บรรลุคุณพิเศษ เพราะเหตุแห่งธรรม.
บทว่า ธมฺโม สงฺโฆ จ ปูชิโต ความว่า โลกุตรธรรมแม้ทั้ง ๙
อันเราบูชาแล้ว นอบนบแล้ว ด้วยการบรรลุซึ่งมรรค อันมาแล้วตามข้อปฏิบัติ
และพระอริยสงฆ์ อันเราบูชาแล้ว นับถือแล้ว ด้วยการถึงความเป็นผู้เสมอ
โดยศีลและทิฏฐิ.
บทว่า อหญฺจ วิตฺโต สุมโน ปุตฺตํ ทิสฺวา อนาสวํ ความว่า
แม้เราก็ปลาบปลื้ม คือยินดีแล้ว ด้วยปีติที่ปราศจากอามิส เพราะเห็น คือ
เพราะเหตุที่ประสบว่า บุตรของเราหาอาสวะมิได้ คือมีอาสวะสิ้นแล้ว โดย
ประการทั้งปวง. อธิบายว่า เพราะเหตุนั้นแล. เราจึงดีใจด้วยความโสมนัส
อันปราศจากอามิส.
จบอรรถกถาภารทวาชเถรคาถา

143
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๒ – หน้าที่ 144 (เล่ม 51)

๑๐. กัณหทินนเถรคาถา
ว่าด้วยคาถาของพระกัณหทินนเถระ
[๒๘๗] ได้ยินว่า พระกัณหทินนเถระได้ภาษิตคาถานี้ไว้ อย่างนี้ว่า
สัปบุรุษเราเข้าไปหาแล้ว ธรรมทั้งหลายเราฟัง
อยู่เป็นประจำ ครั้นฟังธรรมแล้ว จักดำเนินไปสู่ทาง
อันหยั่งลงสู่อมตธรรม เมื่อเรามีสติ กำจัดความกำหนัด
ยินดีในภพได้แล้ว ความกำหนัดยินดีในภพ ย่อมไม่มี
แก่เราอีก ไม่ได้มีแล้วในอดีต จักไม่มีในอนาคต ถึง
แม้เดี๋ยวนี้ก็ไม่มีแก่เราเลย.
จบวรรคที่ ๓
อรรถกถากัณหทินนเถรคาถา
คาถาของท่านพระกัณหทินนเถระ เริ่มต้นว่า อุปาสิตา สปฺปุริสา.
เรื่องราวของท่านเป็นอย่างไร ?
แม้พระเถระนี้ ก็เป็นผู้มีอธิการอันกระทำแล้วในพระพุทธเจ้าองค์
ก่อน ๆ สั่งสมบุญไว้ในภพนั้น ๆ เกิดในเรือนแห่งตระกูล ในกัปที่ ๙๔ แต่
ภัทรกัปนี้ บรรลุนิติภาวะแล้ว วันหนึ่ง เห็นพระปัจเจกพุทธเจ้า นามว่า โสภิตะ
มีจิตเลื่อมใส ได้ทำการบูชาด้วยดอกบุนนาค.

144
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๒ – หน้าที่ 145 (เล่ม 51)

ด้วยบุญกรรมนั้น เขาท่องเที่ยวไปในเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย เกิด
ในตระกูลพราหมณ์ กรุงราชคฤห์ ในพุทธุปบาทกาลนี้ ได้นามว่า กัณห-
ทินนะ เจริญวัยแล้ว อันอุปนิสสยสมบัติตักเตือนอยู่ เข้าไปหาพระธรรม
เสนาบดี ฟังธรรมแล้วได้มีจิตศรัทธาบวชแล้ว เจริญวิปัสสนา บรรลุพระอรหัต
แล้ว. สมดังคาถาประพันธ์ที่ท่านกล่าวไว้ในอปทานว่า
ครั้งนั้น พระสัมพุทธเจ้านามว่าโสภิตะ อยู่ที่ภูเขา
จิตกูฏ เราได้ถือเอาดอกบุนนาคเข้ามาบูชาพระสยัมภู
ในกัปที่ ๙๔ แต่ภัทรกัปนี้ เราได้บูชาพระสัมพุทธเจ้า
ด้วยการบูชานั้น เราไม่รู้จักทุคติเลย นี้เป็นผลแห่ง
พุทธบูชา. เราเผากิเลสทั้งหลายแล้ว ฯ ล ฯ คำสอนของ
พระพุทธเจ้า เรากระทำสำเร็จแล้ว ดังนี้.
ก็พระเถระครั้นบรรลุพระอรหัตแล้ว เมื่อจะพยากรณ์พระอรหัตผล
จึงได้กล่าวคาถา ๒ คาถา ความว่า
สัปบุรุษเราเข้าไปหาแล้ว ธรรมทั้งหลายเราฟัง
แล้วเป็นประจำ ครั้นฟังธรรมแล้ว จักดำเนินไปสู่ทาง
อันหยั่งลงสู่อมตธรรม เมื่อเรามีสติกำจัดความกำหนัด
ยินดีในภพได้แล้ว ความกำหนัดยินดีในภพ ย่อมไม่มี
แก่เราอีก ไม่ได้มีแล้วในอดีต จักไม่มีในอนาคต ถึง
แม้เดี๋ยวนี้ก็ไม่มีแก่เราเลย ดังนี้.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อุปาสิตา ความว่า สัปบุรุษอันเราบำเรอ
แล้ว คือเข้าไปนั่งใกล้โดยการปรนนิบัติ.

145