หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ เล่ม ๒ – หน้าที่ 371 (เล่ม 4)

ในคำนั้น มีวินิจฉัยดังนี้ สังวร คือ ปาฎิโมกข์ชื่อว่าปาฎิโมกขสังวร.
ภิกษุผู้สำรวม คือประกอบด้วยปาฏิโมกขสังวรนั้น เหตุนั้น ภิกษุนั้น จึงชื่อว่า
ผู้สำรวมด้วยปาฏิโมกขสังวร.
บทว่า วิหรติ แปลว่า เป็นไป. สมจริงดังคำที่พระผู้มีพระภาคเจ้า
ตรัส ไว้ในวิภังค์ว่า บทว่า ปาฏิโมกข์ ได้แก่ ศีลอันเป็นที่อาศัย เป็นเบื้องต้น
เป็นจรณะ เป็นเครื่องสำรวม เป็นเครื่องระวัง เป็นหัวหน้า เป็นประธาน
เพื่อความถึงพร้อมแห่งกุศลธรรมทั้งหลาย. บทว่า สังวร ได้แก่ การไม่ล่วง
ละเมิดทางกาย การไม่ล่วงละเมิดทางวาจา การไม่ล่วงละเมิดทางกายและวาจา.
บทว่า เป็นผู้สำรวมแล้ว มีอธิบายว่า เป็นผู้เข้าไปถึงแล้ว เข้าไปถึงแล้วด้วยดี
เข้ามาถึงแล้ว เข้ามาถึงแล้วด้วยดี เช้าถึงแล้ว เข้าถึงแล้วด้วยดี ประกอบ
แล้วด้วยปาฏิโมกขสังวรนี้ ด้วยเหตุนั้น จึงเรียกว่า เป็นผู้สำรวมแล้วด้วย
ปาฏิโมกขสังวร. บทว่า อยู่ มีอธิบายว่า สืบเนื่องกันอยู่ ประพฤติเป็นไปอยู่
รักษาอยู่ เป็นไปอยู่ ให้เป็นไปอยู่ เที่ยวไปอยู่ พักอยู่ ด้วยเหตุนั้น จึง
เรียกว่า อยู่*.
บทว่า อาจารโคจรสมฺปนฺโน มีความว่า ละอโคจรมีหญิงแพศยา
เป็นต้น ด้วยอาจาระที่ป้องกันมิจฉาชีพ มีการไม่ให้ไม้ไผ่เป็นต้น แล้วถึง
พร้อมด้วยโคจร มีสกุลที่สมบูรณ์ด้วยศรัทธาเป็นต้น ชื่อว่า ผู้ถึงพร้อมด้วย
อาจาระและโคจร.
คำว่า อนุมตฺเตสุ วชฺเชส ภยทสฺสาวี ได้แก่ ผู้มีปรกติเห็นภัย
ในโทษทั้งหลายมีประมาณเล็กน้อย มีคำอธิบายว่า มีปรกติเห็นโทษเหล่านั้น
โดยความเป็นภัย.
* อภิ. วิ. ๓๕/๓๓๑.

371
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ เล่ม ๒ – หน้าที่ 372 (เล่ม 4)

คำว่า สมาทาย สิกฺขติ สิกฺขาปเทสุ มีความว่า บรรดาสิกขาบท
ที่จัดเป็น ๓ อย่าง โดยความเป็นอธิศีลสิกขาเป็นต้น สมาทานถือเอาโดยชอบ
ได้แก่ รับเอาโดยดี ศึกษาไม่ละทิ้งสิกขาบทนั้น ๆ. นี้ความสังเขปในคำว่า
อาจารโคจรสมฺปนฺโน นี้. ส่วนผู้ต้องการความพิสดารพึงถือเอาในอรรถกถา
มัชฌิมนิกาย ชื่อปปัญจสูทนี ในอรรถกถาแห่งวิภังคปกรณ์ ชื่อสันโมหวิโนทนี
หรือว่า จากวิสุทธิมัคคปกรณ์.
สุตะของภิกษุนั้นมาก; เหตุนั้น ภิกษุนั้นจึงชื่อว่า พหุสสุตะ. ภิกษุใด
จำทรงสุตะไว้ เหตุนั้น ภิกษุนั้นจึงชื่อว่า สุตธระ. อธิบายว่า คำที่ภิกษุ
นั้นได้ฟัง ชื่อว่า พหุสสุตะ, สุตะนั้นไม่ใช่แต่สักว่าฟังอย่างเดียว โดยที่แท้
ย่อมทรงสุตะนั้นด้วย. สุตะสั่งสมในภิกษุนั้น ดุจรัตนะที่เก็บไว้ในหีบ เหตุนั้น
ภิกษุนั้น จึงชื่อว่า มีการสั่งสมสุตะ. ด้วยบทนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าทรง
แสดงความไม่เสื่อมสูญไปแม้โดยกาลนาน แห่งสุตะที่ภิกษุนั้นทรงไว้ ดุจรัตนะ
ที่เก็บรักษาไว้ในหีบ ฉะนั้น.
บัดนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้า เมื่อจะทรงแสดงสุตะนั้นโดยสรูป จึงตรัส
คำว่า เย เต ธมฺมา เป็นต้น. คำนั้น มีนัยดังกล่าวแล้ว ในเวรัญชกัณฑ์
นั่นแล แต่นี้เป็นคำตรัสย้ำในสิกขาบทนี้. ธรรมเห็นปานนั้น เป็นอันภิกษุ
นั้นสดับแล้วมาก เพราะเหตุนั้น ภิกษุนั้น จึงชื่อว่า พหุสสุตะ ธรรมเหล่านั้น
อันภิกษุนั้น ทรงจำไว้ได้ เหตุนั้น ภิกษุนั้น จึงชื่อว่า สุตธระ ธรรมเหล่านั้น
อันภิกษุนั้นสั่งสมไว้ด้วยวาจา ตามเพ่งด้วยใจ แทงตลอดดีแล้วด้วยทิฏฐิ
เหตุนั้น ภิกษุนั้นจึงชื่อว่า สุตสันนิจยะ.
บรรดาบทเหล่านั้น สองบทว่า วจสา ปริจิตา ได้แก่ อันภิกษุ
นั้นกระทำให้คล่องปาก.

372
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ เล่ม ๒ – หน้าที่ 373 (เล่ม 4)

บทว่า มนสานุเปกฺขิตา มีความว่า อันภิกษุเพ่งด้วยใจแล้ว ย่อม
เป็นดุจสว่างไสวด้วยแสงประทีปพันดวงแก่เธอผู้ใคร่ครวญ.
สองบทว่า ทิฏฺฐิยา สุปฺปฏิวิทฺธา มีความว่า ธรรมทั้งหลายย่อม
เป็นอันภิกษุนั้นแทงตลอดแล้วด้วยดี คือ กระทำให้ประจักษ์ชัดแล้วด้วยปัญญา
โดยอรรถและโดยการณ์.
[ว่าด้วยภิกษุพหูสูต ๓ จำพวก]
ก็ภิกษุผู้ชื่อว่า พหุสสุตะนี้ มี ๓ จำพวก คือ นิสัยมุจจนกะ ผู้พอ
พ้นนิสัย ๑ ปริสูปัฎฐาปกะ ผู้ให้บริษัทอุปัฏฐาก ๑ ภิกขุโนวาทกะ ผู้สั่งสอน
ภิกษุณี ๑. บรรดาพหุสสุตะทั้ง ๓ นั้น ภิกษุผู้นิสัยมุจจนกะมีพรรษา ๕ โดย
อุปสมบท พึงท่องมาติกา* ๒ ให้ช่ำชอง คล่องปาก โดยกำหนดอย่างต่ำกว่า
เขาทั้งหมด, พึงเรียนภาณวาร ๔ จากสุตตันตปิฏก เพื่อประโยชน์แก่ธรรม-
สวนะในวันปักษ์ทั้งหลาย, พึงเรียนกถามรรคอันหนึ่ง เช่นกับอันธกวินทสูตร
มหาราหุโลวาทสูตร อัมพัฎฐสูตร เพื่อประโยชน์แก่การกล่าวธรรมเบ็ดเตล็ด
แก่เหล่าชนผู้มาหา, พึงเรียนคาถาอนุโมทนา ๓ อย่าง เพื่อประโยชน์อนุโนทนา
ในสังฆภัตงานมงคลและอวมงคล, พึงเรียนวินิจฉัยกรรมและมิใช่กรรม เพื่อ
อุโบสถและปวารณาเป็นต้น พึงเรียนกรรมฐานอย่างหนึ่ง มีพระอรหัตเป็น
ที่สุด ด้วยสามารถแห่งสมาธิก็ดี ด้วยสามารถแห่งวิปัสสนาก็ดี เพื่อกระทำ
สมณธรรม, พึงเรียน (พุทธพจน์มีพระสูตร ๔ ภาณวารเป็นต้น ) เพียงเท่านี้
แท้จริง ด้วยการเรียนเพียงเท่านี้ ภิกษุนี้ย่อมชื่อว่า เป็นพหุสสุตะ เป็นผู้
ปรากฏในทิศ ๔ ย่อมได้เพื่อยู่โดยความเป็นอิสระของตนในที่แห่งใดแห่งหนึ่ง.
* สารัตถทีปนี ๓/๒๙๒ แก้ว่า มาติกา ๒ ได้แก่ภิกขุมาติกา และ ภิกขุนีมาติกา. -ผู้ชำระ.

373
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ เล่ม ๒ – หน้าที่ 374 (เล่ม 4)

ภิกษุผู้ปริสูปัฏฐาปกะ มีพรรษา ๑๐ โดยอุปสมบท พึงกระทำวิภังค์
ทั้ง ๒ ให้ช่ำชอง คล่องปาก เพื่อแนะนำบริษัทในอภิวินัย โดยกำหนดอย่างต่ำ
ที่สุด. เมื่อไม่อาจ พึงกระทำ (วิภังค์ทั้ง ๒ คัมภีร์ ) ให้ควรแก่การผลัดเปลี่ยน
กันกับภิกษุ ๓ รูป. พึงเรียนกรรมและมิใช่กรรม และขันธกวัตร. แต่เพื่อจะ
แนะนำบริษัทในอภิธรรม ถ้าเป็นผู้กล่าวมัชฌิมนิกาย พึงเรียนมูลปัณณาสก์.
ผู้กล่าวทีฆนิกาย พึงเรียนแม้มหาวรรค. ผู้กล่าวสังยุตตนิกาย พึงเรียน ๓
วรรค ข้างต้น หรือมหาวรรค. ผู้กล่าวอังคฺตตรนิกาย พึงเรียนครึ่งนิกาย
ข้างต้น หรือข้างปลาย. ผู้ไม่สามารถ แม้จะเรียนข้างต้น ตั้งแต่ติกนิบาตไปก็ได้
แต่ในมหาปัจจรีกล่าวว่า ผู้จะเรียนเอานิบาตเดียวแม้จะเรียนเอาจตุกกนิบาต
หรือปัญจกนิบาต ก็ได้. ผู้กล่าวชาดก พึงเรียนเอาชาดกพร้อมทั้งอรรถกถา.
จะเรียนต่ำกว่าชาดกพร้อมทั้งอรรถกถา ไม่ควร. ท่านกล่าวไว้ในมหาปัจจรีว่า
จะเรียนเอาแม่ธรรมบท พร้อมทั้งวัตถุนิทาน ก็ควร.
ถามว่า จะเลือกเรียนเอาจากนิกายนั้น ๆ มีทีฆนิกายเป็นต้น แม้เพียง
มูลปัณณาสก์ ควรหรือไม่ควร.
ตอบว่า ท่านปฏิเสธไว้ในอรรถกถากุรุนทีว่า ไม่ควร. ในอรรถกถา
นอกนี้ ไม่มีการวิจารณ์ไว้เลย. ในอภิธรรมท่านไม่ได้กล่าวว่า ควรเรียนเอา
อะไร. ก็ภิกษุใดช่ำชองวินัยปิฏกและอภิธรรมปิฎกพร้อมทั่งอรรถกถา, แต่ไม่มี
คัณฐะมีประการดังที่กล่าวในสุตตันปิฏก ภิกษุนั้น ย่อมไม่ได้เพื่อจะให้
บริษัทอุปัฏฐาก. แต่ภิกษุใดเรียนคัณฐะมีประมาณดังกล่าวแล้ว จากสุตตันต-
ปิฎกบ้าง จากวินัยปิฏกบ้าง, ภิกษุนี้เป็นปริสูปัฏฐาปกะ เป็นพหุสสุตะ เป็น
ทิศาปาโมกข์ ไปได้ตามความปรารถนา ย่อมได้เพื่อจะให้บริษัทอุปัฏฐาก.

374
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ เล่ม ๒ – หน้าที่ 375 (เล่ม 4)

ส่วนภิกษุผู้สั่งสอนภิกษุณี พึงเรียนปิฎก ๓ พร้อมทั้งอรรถกถา. เมื่อ
ไม่อาจ พึงทำอรรถกถาแห่งนิกายหนึ่ง บรรดา ๔ นิกายให้ชำนาญ. เพราะว่า
ด้วยนิกายเดียว ก็จักสามารถเพื่อกล่าวแก้ปัญหาแม้ในนิกายที่เหลือได้. บรรดา
ปกรณ์ ๗ พึงทำอรรถกถาแห่ง ๔ ปกรณ์ให้ชำนาญ . เพราะว่า ด้วยนัยที่ได้
ในอรรถกถาแห่ง ๔ ปกรณ์นั้น ก็จักสามารถเพื่อกล่าวแก้ปัญหาในปกรณ์ที่
เหลือได้. ส่วนวินัยปิฏกมีอรรถต่าง ๆ กัน มีเหตุต่าง ๆ กัน เพราะเหตุนั้น
ภิกษุผู้สั่งสอนนางภิกษุณีพึงกระทำวินัยปิฎกนั้นพร้อมทั้งอรรถกถาให้ชำนาญ
ทีเดียว. ก็ด้วยการเรียนสุตะมีประมาณเท่านี้ ภิกษุผู้สั่งสอนภิกษุณี ชื่อว่า
เป็นผู้มีสุตะมากแล.
[ปาฏิโมกข์ทั้งสองของเธอมาดีแล้วโดยพิสดาร]
ส่วนคำว่า อุภยานิ โข ปนสฺส เป็นต้น พระผู้มีพระภาคเจ้า
ตรัสไว้ต่างหาก ก็เพราะเมื่อพาหุสัจจะ แม้มีองค์ ๙ อย่างอื่นมีอยู่ครบทั้งหมด
จะเว้นวินัยปิฎกพร้อมทั้งอรรถกถาเสีย ย่อมไม่ควรทีเดียว.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า วิตฺถาเรน ได้แก่ พร้อมด้วยอุภโตวิภังค์.
บทว่า สฺวาคตานิ คือ มาแล้วด้วยดี. ก็ปาฎิโมกข์ทั้ง ๒ มาแล้ว
โดยประการใด จึงจัดว่ามาแล้วด้วยดี เพื่อแสดงประการนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้า
จึงตรัสคำว่า สุวิภตฺตานิ เป็นต้น.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า สุวิภตฺตานิ ได้แก่ จำแนกได้ดี คือเว้น
จากโทษ คือบทที่ตกหล่นภายหลังและสับสนกัน.
บทว่า สุปฺปวตฺตินี ได้แก่ ช่ำชอง คล่องปาก.
สองบทว่า สุวินิจฺฉิตา สุตฺตโส ได้แก่ มีวินิจฉัยดีแล้ว ด้วยอำนาจ
แห่งสูตรที่จะพึงนำมาจากขันธกะและบริวาร.

375
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ เล่ม ๒ – หน้าที่ 376 (เล่ม 4)

บทว่า อนุพฺยญชนโส ได้แก่ วินิจฉัยได้เรียบร้อย โดยความ
บริบูรณ์แห่งอักขรบท และ โดยอำนาจแห่งสูตร คือไม่ขาดตก ไม่มีอักษรที่
ผิดพลาด. อรรถกถา ท่านแสดงไว้ด้วยบทว่า โดยอนุพยัญชนะนี้ จริงอยู่
วินิจฉัยนี้ ย่อมมีมาจากอรรถกถา.
บทว่า กลฺยาณวาโจ มีความว่า ผู้ถึงพร้อมด้วยวาจาของชาวเมือง
ซึ่งมีบทและพยัญชนะกลมกล่อม ตามคำที่สมควรแก่การจัดเป็นสถิลและธนิต
เป็นต้น คือ ประกอบด้วยวาจาให้รู้แจ้งซึ่งอรรถอันสละสลวย ไม่มีโทษ.
บทว่า กลฺยาณวากฺกรโณ แปลว่า มีเสียงอ่อนหวาน จริงอยู่
มาตุคาม ย่อมเป็นผู้ยินดีในความสมบูรณ์แห่งเสียง เพราะเหตุนั้น หล่อน
จึงดูแคลนคำพูดที่เว้นจากความสมบูรณ์แห่งเสียง แม้ที่มีบทและพยัญชนะ
กลมกล่อม.
คำว่า เยภุยฺเยน ภิกขุนีนํ ปิโย โหติ มนาโป มีความว่า ชื่อว่า
ภิกษุผู้เป็นที่รักแห่งภิกษุณีทั้งหมด หาได้ยาก. แต่ต้องเป็นที่รักเป็นที่จำเริญใจ
ของพวกภิกษุณีผู้เป็นพหูสูต เป็นบัณฑิต เพราะความถึงพร้อมแห่งศีลและ
อาจาระ.
คำว่า ปฏิพโล โหติ ภิกฺขุนิโย โอวทิตุํ มีความว่า เมื่อแสดง
สูตรและเหตุ ชื่อว่าเป็นผู้สามารถ เพื่อจะขู่ด้วยภัยในวัฏฏะ แล้วกล่าวสอน
ภิกษุณีทั้งหลาย คือ เมื่อแสดงธรรมแก่ภิกษุณีเหล่านั้น .
บทว่า ถาสายวตฺถวสนาย แปลว่า ผู้นุ่งผ้าย้อมฝาด.
บทว่า ครุธมฺมํ มีความว่า ในเวลาเป็นคฤหัสถ์ ไม่เคยต้องกาย
สังสัคคะกับภิกษุณี หรือว่าไม่เคยต้องเมถุนธรรมในนางสิกขมานาและสามเณรี
จริงอยู่ มาตุคาม ระลึกถึงกรรมที่ภิกษุกระทำไว้ในก่อน ย่อมไม่ทำความ

376
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ เล่ม ๒ – หน้าที่ 377 (เล่ม 4)

เคารพในธรรมเทศนา ของภิกษุแม้ผู้ตั้งอยู่ในสังวร. อีกอย่างหนึ่ง หล่อนจะ
ยังความคิดให้เกิดขึ้นในอสัทธรรมนั่นเอง.
บทว่า วีสติวสฺโส วา มีความว่า ผู้มีพรรษา ๒๐ โดยอุปสมบท
หรือว่า มีพรรษาเกินกว่า ๒๐ แต่อุปสมบทนั้น. ภิกษุนั้น แม้จะคลุกคลีอยู่
กับวัตถุที่เป็นข้าศึกกัน มีรูปเห็นปานนั้นบ่อย ๆ ก็จะไม่พลันถึงความเสียศีล
เหมือนภิกษุหนุ่ม. ภิกษุนั้นพิจารณาดูวัยของตนแล้ว ย่อมเป็นผู้มีกำลังพอที่
จะขจัดฉันทราคะ ในฐานะอันไม่สมควรเสีย. เพราะเหตุนั้น พระผู้มีพระ-
ภาคเจ้าจึงตรัสว่า วีสติวสฺโส วาโหติ อติเรกวสติวสฺโส วา.
ก็บรรดาองค์ ๘ เหล่านี้ บัณฑิตพึงทราบว่า คำว่า เป็นผู้มีศีลเป็นต้น
เป็นองค์ที่ ๑, คำว่า เป็นพหูสูตเป็นต้น เป็นองค์ที่ ๒, คำว่า ก็ (ปาฏิโมกข์)
ทั้ง ๒ แลของเธอ เป็นต้น เป็นองค์ที่ ๓, คำว่าเป็นผู้มีวาจาไพเราะ มีเสียง
อ่อนหวาน เป็นองค์ที่ ๔, คำว่า เป็นที่รักเป็นที่ชอบใจของพวกนางภิกษุณี
โดยมาก เป็นองค์ที่ ๕, คำว่า เป็นผู้สามารถสั่งสอนพวกนางภิกษุณี เป็น
องค์ที่ ๖, คำว่า ก็ข้อนั้นหามิได้แลเป็นต้น เป็นองค์ที่ ๗, คำว่า มีพรรษา
๒๐ เป็นต้น เป็นองค์ที่ ๘.
บทว่า ญตฺติจตุตฺเถน ได้แก่ (ด้วยญัตติจตุตถกรรม) มีนัยดังกล่าว
แล้วในเรื่องก่อน ๆ นั่น แหละ.
[ว่าด้วยคุณธรรม ๘ ของนางภิกษุณี]
บทว่า ครุธมฺเมหิ คือด้วยธรรมอันหนัก จริงอยู่ ธรรมเหล่านั้น
พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสเรียกว่า ครุธรรม เพราะเป็นธรรมอันภิกษุณีทั้งหลาย
พึงกระทำความเคารพรับรอง.

377
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ เล่ม ๒ – หน้าที่ 378 (เล่ม 4)

ในคำว่า เอกโต อุปสมฺปนฺนา นี้ พึงทราบวินิจฉัยดังนี้ . ภิกษุ
ใด ย่อมกล่าวสอนด้วยครุธรรมแก่ภิกษุณีผู้อุปสมบท ในสำนักแห่งภิกษุณี
ทั้งหลายฝ่ายเดียว เป็นทุกกฏแก่ภิกษุนั้น. แต่เป็นอาบัติตานวัตถุทีเดียว (แก่
ภิกษุผู้สั่งสอนนางภิกษุณี) ผู้อุปสมบทในสำนักของพวกภิกษุ.
สองบทว่า ปริเวณํ สมฺมชฺชิตฺวา มีความว่า ถ้าบริเวณไม่เตียน
หรือแม้เตียนแล้วในเวลาเช้า กลับรกเพราะหญ้า และใบไม้เป็นต้น และเกิด
มีทรายกระจุยกระจาย เพราะถูกเท้าเหยียบย่ำ, ภิกษุผู้ได้รับสมมติพึงกวาด.
จริงอยู่ ภิกษุณีทั้งหลายเหล่านั้น เห็นบริเวณนั้นไม่เตียน พึงเป็นเหมือนผู้ไม่
อยากฟัง ด้วยสำคัญว่า พระผู้เป็นเจ้าไม่ชักนำแม้พวกภิกษุหนุ่ม ผู้เป็นนิสิตก์
ของตน ในวัตรปฏิบัติ, ดีแต่แสดงธรรมอย่างเดียว. เพราะเหตุนั้น พระผู้มี
พระภาคเจ้า จึงตรัสคำว่า ปริเวณํ สมฺมชฺชิตฺวา.
ก็ภิกษุณีทั้งหลาย เดินมาจากภายในบ้าน ย่อมกระหายน้ำและเหน็ด
เหนื่อย. ภิกษุณีเหล่านั้น จึงหวังเฉพาะอยู่ซึ่งน้ำดื่ม และการกระทำให้มือ
เท้า และหน้าเย็น. และเมื่อน้ำนั้นไม่มี ภิกษุณีเหล่านั้น เกิดความไม่เคารพ
โดยนัยก่อนนั่นแล แล้วเป็นผู้ไม่ประสงค์จะพึงธรรม ก็ได้ เพราะเหตุนั้น
พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสคำว่า ปานียํ ปริโภชนียํ อุปฏฺฐเปตฺวา.
บทว่า อาสนํ มีความว่า ก็ภิกษุผู้ได้รับสมมตินั้น พึงจัดทั้งที่นั่ง
มีชนิดตั่งเล็ก ตั้งแผ่นกระดาน เสื่ออ่อน และเสื่อลำแพนเป็นต้น โดยที่สุด
แม้กิ่งไม่พอจะหักได้ ด้วยติดอย่างนี้ว่า นี้ จักเป็นที่นั่งของภิกษุณีเหล่านั้น
แล้วพึงปรารถนาบุรุษผู้รู้เดียงสาเป็นเพื่อน เพื่อเปลื้องอาบัติในเพราะการแสดง
ธรรม เพราะเหตุนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า ทุติยํ คเหตฺวา ดังนี้.

378
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ เล่ม ๒ – หน้าที่ 379 (เล่ม 4)

บทว่า นิสีทิตพฺพํ มีความว่า ไม่พึงนั่งในที่สุดแดนวิหาร โดย
ที่แท้ พึงนั่งในสถานชุมนุมแห่งคนทั่วไป ใกล้ประตูแห่งโรงอุโบสถหรือโรง
ฉันในท่ามกลางวิหาร.
บทว่า สมคฺคตฺถ มีความว่า ท่านทั้งหลายมาพร้อมเพรียงกันหมด
แล้วหรือ ?
บทว่า วตฺตนฺติ แปลว่า (ครุธรรม ๘) ยังจำกันได้อยู่หรือ ?
อธิบายว่า ชำนาญ คล่องปากหรือ ?
บทว่า นิยฺยาเทตพฺโพ แปลว่า พึงมอบให้.
บทว่า โอสาเรตพฺพา ได้แก่ พึงบอกบาลี.
คำว่า วสฺสสตูปสมฺปนฺนาย เป็นต้น เป็นคำแสดงบาลีที่ภิกษุผู้ได้
รับสมมติจะพึงบอก.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า สามีจิกมฺมํ ได้แก่ วัตรอันสมควร
มีการหลีกทางให้ พัดวี และถามโดยเอื้อเฟื้อด้วยน้ำดื่มเป็นต้น . ก็บรรดาวัตร
มีการอภิวาทเป็นต้นนี้ ชื่อว่าการกราบไหว้ภิกษุ อันภิกษุณีพึงกระทำแท้
ภายในบ้านก็ดี นอกบ้านก็ดี ภายในวิหารก็ดี ภายนอกวิหารก็ดี ในละแวก
บ้านก็ดี ในตรอกก็ดี โดยที่สุดแม้เมื่อการขับไล่ เพราะเหตุพระราชาเสด็จมา
เป็นไปอยู่ก็ดี เมื่อฝนกำลังตกก็ดี ในพื้นดินมีโคลนตมเป็นต้น ก็ดี มีร่มและ
บาตรอยู่ในมือก็ดี ถูกช้างและม้าเป็นต้น ไล่ติดตามก็ดี. ภิกษุณีเห็นพวกภิกษุ
เข้าสู่ที่ภิกขาจาร เดินเป็นแถวเนื่องกันเป็นแถวเดียว จะไหว้ในที่แห่งเดียว
ด้วยกล่าวว่า ดิฉันไหว้ พระคุณเจ้า ดังนี้ ก็ควร. ถ้าภิกษุทั้งหลายเดินเว้น
ระยะในระหว่าง ห่างกัน ๑๒ ศอก พึงแยกไหว้, จะไหว้ภิกษุทั้งหลายผู้นั่งอยู่
* โยขนาปาฐะ ๒/๔๑ เป็น ฉตฺตปตฺตหตฺถายปิ... ผู้ชำระ.

379
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ เล่ม ๒ – หน้าที่ 380 (เล่ม 4)

ในที่ประชุมใหญ่ ในทำแห่งเดียวเท่านั้นก็ได้. แม้ในอัญชลีกรรมก็นัยนี้. ก็
ภิกษุณีนั่งแล้วในที่ใดที่หนึ่งพึงกระทำการลุกรับ พึงกระทำกรรมนั้น ๆ ในที่
และเวลาอันสมควรแก่สามีจิกรรมนั้น ๆ.
บทว่า สกฺกตฺวา คือ กระทำโดยประการที่ธรรมซึ่งคนทำแล้ว จะ
เป็นอันทำแล้ว ด้วยดี.
บทว่า ครุกตฺวา คือ ให้เกดความเคารพในกรรมนั้น.
บทว่า มาเนตฺวา คือ กระทำความรักด้วยใจ (จริง).
บทว่า ปูเชตฺวา คือ บูชาด้วยการทำกิจ ๓ อย่างเหล่านี้แหละ.
บทว่า นาติกฺกมนีโย คือ อันภิกษุณีไม่พึงล่วงละเมิด.
[ภิกษุณีไม่พึงจำพรรษาในอาวาสไม่มีภิกษุ]
ในคำว่า อภิกฺขุเก อาวาเส นี้ พึงทราบวินิจฉัยดังนี้ ถ้าภิกษุ
ทั้งหลายผู้ให้โอวาทไม่ได้อยู่ในโอกาสภายในระยะกึ่งโยชน์จากสำนักแห่งภิกษุณะ
อาวาสนี้ ชื่อว่า อาวาสไมีมีภิกษุ. ภิกษุณีทั้งหลาย ไม่พึงอยู่จำพรรษาใน
อาวาสไม่มีภิกษุนี้ . สมจริงดังคำที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า อาวาสที่ภิกษุณี
ทั้งหลาย ไม่อาจจะไปเพื่อโอวาท หรือเพื่ออยู่ร่วมกัน ชื่อว่า ไม่มีภิกษุ และ
ไม่อาจเพื่อจะไปที่อื่นจากสำนักภิกษุณีนั้นในภายหลังภัต ฟังธรรมแล้วกลับมา.
ถ้าหมู่ญาติหรือพวกอุปัฏฐาก กล่าวกะภิกษุณีทั้งหลายผู้ไม่ประสงค์จะอยู่
จำพรรษาในอาวาสนั้นอย่างนี้ว่า ขอจงอยู่เถิด แม่เจ้า พวกผมจักนำภิกษุ
ทั้งหลายมา. ดังนี้ ควรอยู่.
แต่ถ้า ภิกษุทั้งหลายมีความประสงค์จะอยู่ จำพรรษาในประเทศ มี
ประมาณดังเรากล่าวแล้ว มาพักค้างแม้ที่ปะรำกิ่งไม้คืนหนึ่ง ถูกพวกชาวบ้าน

380