หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ เล่ม ๒ – หน้าที่ 351 (เล่ม 4)

ภูตคามวรรค สิกขาบทที่ ๑๐
เรื่องภิกษุชาวรัฐอาฬวี
[๔๐๒] โดยสมัยนั้น พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าประทับอยู่ ณ อัคคา-
ฬวเจดีย์ เขตรัฐอาฬวี ครั้งนั้นพวกภิกษุชาวรัฐอาฬวี กำลังกระทำนวกรรม
รู้อยู่ว่าน้ำมีตัวสัตว์ จึงรดเองบ้าง ให้คนอื่นรดบ้าง ซึ่งหญ้าบ้าง ดินบ้าง
บรรดาภิกษุที่มักน้อย . . .ต่างก็เพ่งโทษติเตียน โพนทะนาว่า ไฉน พวกภิกษุ
ชาวรัฐอาฬวีรู้อยู่ว่าน้ำมีตัวสัตว์ จึงได้รดเองบ้าง ให้คนอื่นรดบ้าง ซึ่งหญ้าบ้าง
ดินบ้างเล่า แล้วกราบทูลเนื้อความนั้นแด่พระผู้มีพระภาคเจ้า . . .
ทรงสอบถาม
พระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงสอบถามภิกษุชาวรัฐอาฬวีว่า ดูก่อนภิกษุ-
ทั้งหลาย ข่าวว่าพวกเธอรู้อยู่ว่าน้ำมีตัวสัตว์ รดเองบ้าง ให้คนอื่นรดบ้าง
ซึ่งหญ้าบ้าง ดินบ้าง จริงหรือ.
พวกภิกษุชาวรัฐอาฬวีทูลรับว่า จริง พระพุทธเจ้าข้า.
ทรงติเตียน
พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าทรงติเตียนว่า ดูก่อนโมฆบุรุษทั้งหลาย พวก
เธอรู้อยู่ว่าน้ำมีตัวสัตว์ ไฉนจึงได้รดเองบ้าง ให้คนอื่นรดบ้าง ซึ่งหญ้าบัาง
ดินบ้าง การกระทำของพวกเธอนั่น ไม่เป็นไปเพื่อความเลื่อมใสของชุมชนที่
ยังไม่เลื่อมใส หรือเพื่อความเลื่อมใสยิ่งของชุมชนที่เลื่อมใสแล้ว . . .
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็แลพวกเธอพึงยกสิกขาบทนี้ขึ้นแสดงอย่างนี้
ว่าดังนี้:-

351
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ เล่ม ๒ – หน้าที่ 352 (เล่ม 4)

พระบัญญัติ
๖๙. ๑๐. อนึ่ง ภิกษุใด รู้อยู่ว่าน้ำมีตัวสัตว์ รดก็ดี ให้รดก็ดี
ซึ่งหญ้าก็ดี ดินก็ดี เป็นปาจิตตีย์ .
เรื่องภิกษุชาวรัฐอาฬวี จบ
สิกขาบทวิภังค์
[๘๐๓] บทว่า อนึ่ง . . .ใด ความว่า ผู้ใด คือ ผู้เช่นใด . . .
บทว่า ภิกษุ ความว่า ที่ชื่อว่า ภิกษุ เพราะอรรถว่าเป็นผู้ขอ . . .
นี้ชื่อว่า ภิกษุ ที่ทรงประสงค์ในอรรถนี้ .
ที่ชื่อว่า รู้อยู่ ได้แก่ รู้เอง หรือ คนอื่นบอกเธอ.
[๔๐๔] บทว่า รด คือ รดเอง ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
บทว่า ให้รด คือ ใช้คนอื่นรด ต้องอาบัติปาจิตตีย์
ใช้ครั้งเดียว แต่เขารดหลายครั้ง ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
บทภาชนีย์
น้ำมีตัวสัตว์ ภิกษุสำคัญว่าน้ำมีตัวสัตว์ รดเองก็ดี ให้คนอื่นรดก็ดี
ซึ่งหญ้าก็ดี ซึ่งดินก็ดี ต้องอาบัติปาจิตตีย์
น้ำมีตัวสัตว์ ภิกษุสงสัย รดเองก็ดี ให้คนอื่นรดก็ดี ซึ่งหญ้าก็ดี
ซึ่งดินก็ดี ต้องอาบัติทุกกฏ
น้ำมีตัวสัตว์ ภิกษุสำคัญว่าไม่มีตัวสัตว์ รดเองก็ดี ให้คนอื่นรดก็ดี
ซึ่งหญ้าก็ดี ซึ่งดินก็ดี ไม่ต้องอาบัติ
น้ำไม่มีตัวสัตว์ ภิกษุสำคัญว่ามีตัวสัตว์ .. .ต้องอาบัติทุกกฏ
น้ำไม่มีตัวสัตว์ ภิกษุสงสัย. . .ต้องอาบัติทุกกฏ
น้ำไม่มีตัวสัตว์ ภิกษุสำคัญว่าไม่มีตัวสัตว์ . . .ไม่ต้องอาบัติ.

352
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ เล่ม ๒ – หน้าที่ 353 (เล่ม 4)

อนาปัตติวาร
[๔๐๕] ภิกษุไม่แกล้ง ๑ ภิกษุไม่มีสติ ๑ ภิกษุไม่รู้ ๑ ภิกษุวิกลจริต ๑
ภิกษุอาทิกัมมิกะ ๑ ไม่ต้องอาบัติแล
ภูตคามวรรค สิกขาบทที่ ๑๐ จบ
ปาจิตตีย์ วรรคที่ ๒ จบ
เสนาสนวรรค สัปปาณกสิกขาบทที่ ๑๐
พึงทราบวินิจฉัย ในสิกขาบทที่ ๑. ดังต่อไปนี้
[ว่าด้วยเทน้ำมีตัวสัตว์รดหญ้าหรือดิน]
สองบทว่า ชานํ สปฺปาณกํ ได้แก่ รู้อยู่โดยประการใดประการหนึ่ง
ว่า น้ำนี้ มีตัวสัตว์เล็ก ๆ.
สองบทว่า สิญฺเจยฺย วา สิญฺจาเปยฺย วา มีความว่า ภิกษุพึง
เอาน้ำนั้นรดเองก็ดี สั่งคนอื่นให้รดก็ดี.
ก็คำเช่นนี้ว่า สิญเจยฺญาติ สยํ สิญฺจติ ดังนี้ ในพระบาลี ผู้ศึกษา
พึงทราบเนื้อความโดยนัยดังกล่าวแล้วในสิกขาบทก่อนนั่นแล. เมื่อภิกษุรดไม่
ทำให้สาย (น้ำ) ในน้ำนั้นขาด เป็นอาบัติเพียงตัวเดียวในหม้อน้ำหม้อเดียวกัน
ในภาชนะทุกอย่างก็นัยนี้ . แต่เป็นอาบัติทุก ๆ ประโยค แก่ภิกษุผู้รดทำให้

353
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ เล่ม ๒ – หน้าที่ 354 (เล่ม 4)

สายน้ำขาด. ภิกษุทำเหมืองให้เป็นทางตรง (น้ำ) จะไหลทั้งวันก็ตาม เป็น
อาบัติตัวเดียว. ถ้าภิกษุกั้นในที่นั้น ๆ แล้วไขน้ำไปทางอื่น ๆ เป็นอาบัติทุก ๆ
ประโยค. ถ้าแม้นหญ้าขนาดบรรทุกเต็มเล่มเกวียน ภิกษุใส่ลงในน้ำด้วยประโยค
เดียว ก็เป็นอาบัติตัวเดียว. ภิกษุทั้งหญ้าหรือใบไม้ลงทีละเส้น ทีละใบ เป็น
อาบัติทุก ๆ ประโยค. ในดินเหนียวก็ดี ในวัตถุอื่นมีไม้ โคลน และโคมัย
เป็นต้นก็ดี ก็นัยนี้นั้นและ ก็วิธีทิ้งหญ้าและดินลงในน้ำนี้ มิได้ตรัสหมายถึง
น้ำมาก. น้ำใด เมื่อทิ้งหญ้าและดินลงไป จะถึงความแห้งไป หรือจะเป็น
น้ำขุ่น, ในน้ำใด จำพวกสัตว์เล็ก ๆ จะตายเสีย, บัณฑิตพึงทราบว่า พระผู้มี
พระภาคเจ้าตรัสหมายถึงน้ำเช่นนั้น . บทที่เหลือในสิกขาบทนี้ ตื้นทั้งนั้นแล.
สิกขาบทนี้ มีสมุฏฐาน ๓ เกิดขึ้น ทางกายกับจิต ๑ ทางวาจากับจิต ๑
ทางกายวาจากับจิต ๑ เป็นกิริยา สัญญาวิโมกข์ สจิตตกะ ปัณณัตติวัชชะ
กายกรรม วจีกรรม มีจิต ๓ มีเวทนา ๓ ดังนี้แล.
สัปปาณกสิกขาบทที่ ๑๐ จบ
เสนาสนวรรคที่ ๒ จบบริบูรณ์
ตามวรรณนานุกรม

354
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ เล่ม ๒ – หน้าที่ 355 (เล่ม 4)

หัวข้อประจำเรื่อง
๑. ภูตคามสิกขาบท ว่าด้วยพรากของเขียว
๒. อญัญูวาทสิกขาบท ว่าด้วยแกล้งกล่าวคำอื่น
๓. อุชฌาปนสิกขาบท ว่าด้วยโพนทะนา
๔. ปฐมเสนาสนสิกขาบท ว่าด้วยหลีกไปไม่เก็บเสนาสนะ
๕. ทุติยเสนาสนสิกขาบท ว่าด้วยใช้เสนาสนะแล้วไม่เก็บ
๖. อนูปขัชชสิกขาบท ว่าด้วยนอนแทรกแซง
๗. นิกกัฑฒนสิกขาบท ว่าด้วยการฉุดคร่าภิกษุ
๘. เวทาสกุฎีสิกขาบท ว่าด้วยนั่งนอนบนร่างร้าน
๙. มหัลลกสิกขาบท ว่าด้วยการสร้างวิหารใหญ่
๑๐. สัปปาณกสิกขาบท ว่าด้วยใช้น้ำมีตัวสัตว์.

355
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ เล่ม ๒ – หน้าที่ 356 (เล่ม 4)

ปาจิตตีย์ วรรคที่ ๓
โอวาทวรรค สิกขาบทที่ ๑
เรื่องพระฉัพพัคคีย์
[๘๐๖] โดยสมัยนั้น พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าประทับอยู่ ณ พระ
เชตวัน อารามของอนาถบิณฑิกคหบดี เขตพระนครสาวัตถี ครั้งนั้น ภิกษุ
ชั้นเถระทั้งหลาย กล่าวสอนพวกภิกษุณี ย่อมได้จีวรบิณฑบาต เสนาสนะ
และคิลานปัจจัยเภสัชบริขาร จึงพระฉัพพัคคีย์ ปรึกษากันว่า อาวุโสทั้งหลาย
บัดนี้พระเถระกล่าวสอนพวกภิกษุณี ย่อมได้จีวร บิณฑบาต เสนาสนะ และ
คิลานปัจจัยเภสัชบริขาร เอาเถิด พวกเราจะกล่าวสอนพวกภิกษุณีบ้าง ครั้นแล้ว
ได้เข้าไปหาพวกภิกษุณีกล่าวคำนี้ว่า มาเถิด น้องหญิงทั้งหลายจงไปหาพวก
เราบ้าง แม้พวกเราก็จักกล่าวสอน หลังจากนั้น ภิกษุณีเหล่านั้นได้เข้าไปหา
พระฉัพพัคคีย์ อภิวาทแล้วนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง จึงพระฉัพพัคคีย์ได้
ทำธรรมีกถาแก่พวกภิกษุณีเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ให้วันเวลาล่วงไปด้วยติรัจ-
ฉานกถา แล้วสั่งให้กลับไปด้วยคำว่า กลับไปเถิด น้องหญิงทั้งหลาย ลำดับนั้น
ภิกษุณีเหล่านั้นได้เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้าถวายบังคมแล้ว ยืนเฝ้าอยู่ ณ
ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง
พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสถานภิกษุณีเหล่านั้นผู้ยืนเผาอยู่ ณ ที่ควร
ส่วนข้างหนึ่งนั้นแลว่า ดูก่อนภิกษุณีทั้งหลาย การกล่าวสอนภิกษุณีได้สัมฤทธิ์
ผลดีหรือ.

356
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ เล่ม ๒ – หน้าที่ 357 (เล่ม 4)

ภิกษุณีทั้งหลายกราบทูลว่า จะสัมฤทธิ์ผลมาแต่ไหน พระพุทธเจ้าข้า
เพราะพระคุณเจ้าเหล่าฉัพพัคคีย์ได้ทำธรรมีกถาเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ให้วันเวลา
ล่วงไปด้วยติรัจฉานกถา แล้วก็สั่งให้กลับไป พระพุทธเจ้าข้า.
ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงชี้แจงให้ภิกษุณีเหล่านั้นเห็นแจ้ง
สมาทาน อาจหาญ ร่าเริง ด้วยธรรมีกถา ครั้นภิกษุณีเหล่านั้น อันพระผู้มี.
พระภาคเจ้าทรงชี้แจงให้เห็นแจ้ง สมาทาน อาจหาญ ร่าเริง ด้วยธรรมีกถาแล้ว
ลุกจากอาสน์ถวายอภิวาท ทำประทักษิณหลีกไปแล้ว
ประชุมสงฆ์ทรงสอบถาม
ลำดับนั้นแล พระผู้มีพระภาคเจ้ารับสั่งให้ประชุมภิกษุสงฆ์ ในเพราะ
เหตุเป็นเค้ามูลนั้น ในเพราะเหตุแรกเกิดนั้น แล้วทรงสอบถามพระฉัพพัคคีย์
ว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ข่าวว่า พวกเธอทำธรรมีกถาแก่พวกภิกษุณีเพียง
เล็กน้อยเท่านั้น ให้วันเวลาล่วงไปด้วยติรัจฉานกถา แล้วก็สั่งให้กลับไป จริง
หรือ.
พระฉัพพัคคีย์ทูลรับว่า จริง พระพุทธเจ้าข้า
ทรงติเตียน
พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าทรงติเตียนว่า ดูก่อนโมฆบุรุษทั้งหลายไฉน
พวกเธอจึงได้ทำธรรมีกถาแก่พวกภิกษุณี เพียงเล็กน้อยเท่านั้น ให้วันเวลา
ล่วงไปด้วยติรัจฉานกถาแล้วสั่งให้กลับไปเล่า การกระทำของพวกเธอนั่น ไม่
เป็นไปเพื่อความเลื่อมใสของชุมชนที่ยังไม่เลื่อมใส หรือเพื่อความเลื่อมใสยิ่ง
ของชุมชนที่เลื่อมใสแล้ว ... ครั้นแล้วทรงทำธรรมีกถารับสั่งกะภิกษุทั้งหลาย
ว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตให้สมมติภิกษุเป็นผู้กล่าวสอนภิกษุณี.
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็แลสงฆ์พึงสมมติอย่างนี้

357
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ เล่ม ๒ – หน้าที่ 358 (เล่ม 4)

วิธีสมมติภิกษุผู้สั่งสอนภิกษุณี
พึงขอร้องภิกษุก่อน ครั้นแล้วภิกษุผู้ฉลาด ผู้สามารถ พึงประกาศ
ให้สงฆ์ทราบ ด้วยญัตติจตุตถกรรมวาจา ว่าดังนี้
กล่าววาจาสมมติ
ท่านเจ้าข้า ขอสงฆ์จงฟังข้าพเจ้า ถ้าความพร้อมพรั่งของ
สงฆ์ถึงที่แล้ว สงฆ์พึงสมมติภิกษุมีชื่อนี้ให้เป็นผู้กล่าวสอนภิกษุณี
นี่เป็นญัตติ
ท่านเจ้าข้า ขอสงฆ์จงฟังข้าพเจ้า สงฆ์สมมติภิกษุมีชื่อนี้ให้
เป็นผู้กล่าวสอนภิกษุณี การสมมติภิกษุมีชื่อนี้ให้เป็นผู้กล่าวสอน
ภิกษุณีชอบแก่ท่านผู้ใด ท่านผู้นั้นพึงเป็นผู้นิ่ง ไม่ชอบแก่ท่านผู้ใด
ท่านผู้นั้นพึงพูด.
ข้าพเจ้ากล่าวความนี้เป็นครั้งที่สอง...
ข้าพเจ้ากล่าวความนี้เป็นครั้งที่สาม ท่านเจ้าข้า ขอสงฆ์จงพึง
ข้าพเจ้า สงฆ์สมมติภิกษุมีชื่อนี้ให้เป็นผู้กล่าวสอนภิกษุณี การสมมติ
ภิกษุมีชื่อนี้ ให้เป็นผู้กล่าวสอนภิกษุณีชอบแก่ท่านผู้ใด ท่านผู้นั้น
พึงเป็นผู้นิ่ง ไม่ชอบแก่ท่านผู้ใด ท่านผู้นั้นพึงพูด.
ภิกษุมีชื่อนี้ สงฆ์สมมติให้เป็นผู้กล่าวสอนภิกษุณีแล้ว ชอบ
แก่สงฆ์ เหตุนั้นจึงนิ่ง ข้าพเจ้าทรงความนี้ไว้ ด้วยอย่างนี้.
ครั้งนั้นแล พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงติเตียนพระฉัพพัคคีย์โดยอเนก
ปริยายแล้ว ตรัสโทษแห่งความเป็นคนเลี้ยงยาก . . . รับสั่งว่า . . .
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็แลพวกเธอพึงยกสิกขาบทนี้ขึ้นแสดงอย่างนี้
ว่าดังนี้:-

358
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ เล่ม ๒ – หน้าที่ 359 (เล่ม 4)

พระบัญญัติ
๗๐. ๑. อนึ่ง ภิกษุใดไม่ได้รับสมมติ กล่าวสอนพวกภิกษุณี
เป็นปาจิตตีย์.
ก็สิกขาบทนี้ ย่อมเป็นอันพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงบัญญัติ. แล้วแก่ภิกษุ
ทั้งหลาย ด้วยประการฉะนี้ .
เรื่องพระฉัพพัคคีย์ จบ
เรื่องพระฉัพพัคคีย์ (ต่อ)
[๔๐๗] ก็แลสมัยนั้น พวกพระเถระทั้งหลายผู้ได้รับสมมติ กล่าว
สอนพวกภิกษุณี ก็ยังได้จีวร บิณฑบาต เสนาสนะ และคิลานปัจจัยเภสัช
บริขารเหมือนอย่างเดิม จึงพระฉัพพัคคีย์ได้ปรึกษากันว่า อาวุโสทั้งหลาย
บัดนี้ พระเถระทั้งหลายได้รับสมมติ แล้วกล่าวสอนพวกภิกษุณี ก็ยังได้จีวร
บิณฑบาต เสนาสนะ และคิลานปัจจัยเภสัชบริขารอยู่เหมือนอย่างเติม เอาเถิด
แม้พวกเราจะไปนอกสีมาสมมติกันและกัน ให้เป็นผู้กล่าวสอนภิกษุณี แล้ว
สั่งสอนพวกภิกษุณีกันเถิด ครั้นแล้วพากันไปนอกสีมา สมมติกันและกันให้
เป็นผู้กล่าวสอนภิกษุณี แล้วได้เข้าไปบอกภิกษุณีทั้งหลายว่า ดูก่อนน้องหญิง
ทั้งหลาย แม้พวกเราก็ได้รับสมมติ ท่านทั้งหลายจงเข้าไปหาพวกเรา แม้
พวกเราก็จักกล่าวสอน ต่อมาภิกษุณีเหล่านั้น พากันเข้าไปหาพระฉัพพัคคีย์
กราบไหว้แล้วนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง จึงพระฉัพพัคคีย์ได้ทำธรรมีกถาแก่
พวกภิกษุณีเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ให้วันเวลาล่วงไปด้วยติรัจฉานกถาแล้วสั่งให้
กลับไปด้วยคำว่า กลับไปเถิด น้องหญิงทั้งหลาย ลำดับนั้นพวกนางได้พากัน
เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้า ถวายบังคมแล้วยืนเฝ้าอยู่ ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง

359
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ เล่ม ๒ – หน้าที่ 360 (เล่ม 4)

พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสถานภิกษุณีผู้ยืนเฝ้าอยู่ ณ ที่ควรส่วนข้าง
หนึ่งเหล่านั้นแลว่า ดูก่อนภิกษุณีทั้งหลาย โอวาทได้สัมฤทธิ์ผลดีหรือ.
พวกภิกษุณีกราบทูลว่า จะสัมฤทธิ์ผลมาแต่ไหน พระพุทธเจ้าข้า
เพราะพระคุณเจ้าเหล่าฉัพพัคคีย์ได้ทำธรรมีกถาเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ให้วัน
เวลาล่วงไปด้วยดิรัจฉานกถาแล้วสั่งให้กลับไป พระพุทธเจ้าข้า.
ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงยังภิกษุณีเหล่านั่น ให้เห็นแจ้ง
สมาทาน อาจหาญ ร่าเริง ด้วยธรรมีกถา ครั้นภิกษุณีเหล่านั้น อันพระผู้มี
พระภาคเจ้าทรงให้เห็นแจ้ง สมาทาน อาจหาญ ร่าเริง ด้วยธรรมีกถาแล้ว
ลุกจากอาสน์ถวายบังคมพระผู้มีพระภาคเจ้า ทำประทักษิณหลีกไปแล้ว.
ประชุมสงฆ์ทรงสอบถาม
ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้ารับสั่งให้ประชุมภิกษุสงฆ์ในเพราะเหตุ
เป็นเค้ามูลนั้น ในเพราะเหตุแรกเกิดนั้น แล้วทรงสอบถามพระฉัพพัคคีย์ว่า
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ข่าวว่าพวกเธอทำธรรมีกถาแก่พวกภิกษุณีเพียงเล็กน้อย
เท่านั้น ให้วันเวลาล่วงไปด้วยดิรัจฉานกถา แล้วส่งให้กลับไป จริงหรือ.
พระฉัพพัคคีย์ทูลรับว่า จริง พระพุทธเจ้าข้า.
ทรงติเตียน
พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าทรงติเตียนว่า ดูก่อนโมฆบุรุษทั้งหลาย ไฉน
พวกเธอจึงได้ทำธรรมีกถาแก่พวกภิกษุณีเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ให้วันเวลาล่วง
ไปด้วยติรัจฉานกถาแล้วสั่งให้กลับไปเล่า การกระทำของพวกเธอนั่น ไม่เป็น
ไปเพื่อความเลื่อมใสของชุมชนที่ยังไม่เลื่อมใส หรือเพื่อความเลื่อมใสยิ่งของ
ชุมชนที่เลื่อมใสแล้ว. . .

360