No Favorites




หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๑ – หน้าที่ 88 (เล่ม 50)

บาปกรรมที่ท่านการทำไว้ ด้วยสามารถแห่งการกำจัดพระเถระผู้เป็น
พระขีณาสพรูปหนึ่งในกาลก่อน ซึ่งเป็นเหตุให้หมกไหม้อยู่ในนรกหลายแสนปี
อันมีมาแล้วเหมือนภิกษุชื่อว่า เมตติยะ และภุมมชกะ ที่ถูกเตือนด้วย กมฺม-
ปิโลติกาย นั้นแหละ เข้าใจผิดว่า พวกเราถูกพระเถระนี้ ทำให้แตกกับคฤหบดี
ชื่อว่า กัลยาณภัตติยะ จึงกำจัดเสียด้วยปาราชิกธรรมอันหามูลมิได้. และเมื่อ
อธิกรณ์นั้น อันสงฆ์ระงับแล้วด้วยสติวินัย พระเถระนี้ เมื่อจะประกาศคุณ
ของตน เพื่ออนุเคราะห์สัตวโลก จึงได้กล่าวคาถานี้ว่า
เมื่อก่อนพระทัพพมัลลบุตรองค์ใด เป็นผู้อัน
บุคคลอื่นฝึกฝนได้โดยยาก แต่เดี๋ยวนี้ พระทัพพมัลล-
บุตรองค์นั้นเป็นผู้อันพระศาสดาได้ทรงฝึกฝนด้วยการ
ฝึกฝนด้วยมรรคอันประเสริฐ เป็นผู้สันโดษข้ามความ
สงสัยได้แล้ว เป็นผู้ชนะกิเลส ปราศจากความขลาด
มีจิตตั้งมั่น ดับความเร่าร้อนได้แล้ว ดังนี้.
ศัพท์ว่า โย ในคาถานั้น แสดงถึงบุคคลผู้ไม่ได้กำหนดแน่นอน.
ด้วยบทว่า โส นี้ พึงทราบว่า ท่านกำหนดความแน่นอนของบุคคลนั้นไว้
แล้ว. แม้ด้วยบททั้งสอง พระเถระ กล่าวหมายถึงตนเอง โดยทำให้เป็นดุจ
คนอื่น. บทว่า ทุทฺทมโย ความว่าฝึกได้โดยยาก คือ ไม่อาจเพื่อจะฝึกได้.
และพระเถระกล่าวบทนี้ไว้ เพราะคิดถึงความดิ้นรนแห่งจิตที่เคลื่อนไปด้วย
ความเมา ของเหล่ากิเลสที่เป็นข้าศึก คือ ทิฏฐิ และความไม่สงบแห่งอินทรีย์
ทั้งหลาย. บทว่า ทเมน ได้แก่ ฝึกฝนด้วยมรรคอันเลิศ สูงสุด อธิบายว่า
ผู้ที่ฝึกแล้ว ด้วยการฝึกด้วยมรรคอันเลิศนั้น สมควรกล่าวได้ว่า มีตนอันฝึก

88
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๑ – หน้าที่ 89 (เล่ม 50)

แล้ว ด้วยการฝึกด้วยมรรคอันเลิศนั้น สมควรกล่าวได้ว่า มีตนอันฝึกแล้ว
เพราะไม่มีสิ่งที่จะต้องอีก ไม่ใช่ฝึกด้วยอย่างอื่น. อีกอย่างหนึ่ง บทว่า
ทเมน ความว่า อันพระผู้มีพระภาคเจ้า ผู้เป็นสารถีฝึกบุรุษที่ควรฝึก ฝึกแล้ว.
บทว่า ทพฺโพ เท่ากับ ทฺรพฺโย ความว่า สมควร. ด้วยเหตุนั้น พระผู้มี
พระภาคเจ้า ทรงมีถึงพระเถระนี้แหละ จึงตรัสไว้ว่า ดูก่อนทัพพะ ผู้ที่
สมควร จะไม่กล่าวแก้อย่างนี้ เลย. บทว่า สนฺตุสฺสิโต ความว่า สันโดษ
แล้ว ด้วยสันโดษในปัจจัยตามมีตามได้ ด้วยสันโดษในฌานสมาบัติ และด้วย
สันโดษในมรรคผล. บทว่า วิติณฺณกงฺโข ความว่า ชื่อว่า มีความสงสัย
ปราศไปแล้ว ด้วยความสงสัยในวัตถุ ๑๖ และในวัตถุ ๘ เพราะเพิกถอน
ความสงสัยได้แล้ว ด้วยปฐมมรรคนั่นแหละ. บทว่า วิชิตาวี ความว่า ชื่อว่า
ชนะแล้ว เพราะชนะแล้ว คือกำจัดได้แล้ว ซึ่งธรรมอันเป็นฝ่ายสังกิเลส แม้
ทั้งหมด อันบุรุษชาติอาชาไนย พึงชนะ
บทว่า อเปตเภรโว ความว่า ชื่อว่า ปราศจากความขลาด คือ
ชื่อว่า ปราศจากภัย เพราะภัย ๒๕ อย่าง ปราศไปแล้ว โดยประการทั้งปวง.
บทว่า ทพฺโพ เป็นคำระบุถึงชื่อ ซ้ำอีก. ในบทว่า ปรินิพฺพุโต นี้
ปรินิพพาน มี ๒ คือ กิเลสปรินิพพาน ซึ่งได้แก่ สอุปาทิเสสนิพพานธาตุ ๑
ขันธปรินิพพาน ซึ่งได้แก่ อนุปาทิเสสนิพพานธาตุ ๑. ใน ๒ อย่างนั้น
ในคาถานี้ท่านหมายเอากิเลสปรินิพพาน เพราะฉะนั้น จึงได้ความว่า ชื่อว่า
ปรินิพพานแล้ว ด้วยกิเลสปรินิพพาน เพราะปหาตัพพธรรม (ธรรมที่ควรละ.)
อันมรรคละได้แล้วโดยประการทั้งปวง. บทว่า  ิตตฺโต ความว่า เป็นผู้มี
จิตมั่นคง คือไม่หวั่นไหว ได้แก่ ไม่สั่นสะเทือน ด้วยโลกธรรมทั้งหลาย
เพราะถึงความเป็นผู้คงที่ ในอิฏฐารมณ์เป็นต้น. ศัพท์ว่า หิ เป็นนิบาต ลง
ในอรรถแห่งเหตุ. ด้วย หิ นิบาตนั้น ส่องความว่า เพราะเหตุที่ เมื่อก่อน

89
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๑ – หน้าที่ 90 (เล่ม 50)

พระทัพพมัลลบุตร เป็นผู้อันบุคคลอื่นสอนได้ยาก แต่ท่านอันพระศาสดาทรง
ฝึก ด้วยการฝึกฝนด้วยมรรคอันสูงสุด เป็นผู้สันโดษ ข้ามความสงสัยได้แล้ว
เป็นผู้ชนะกิเลส ปราศจากความขลาด ฉะนั้น พระทัพพมัลลบุตรนั้น จึงดับ
กิเลสได้แล้ว และต่อแต่นั้น ก็เป็นผู้มีจิตตั้งมั่น ทำจิตให้เลื่อมใส ในปรินิพ-
พานนั้น ที่มีแล้วอย่างนี้ ไม่ใช่ทำจิตให้เลื่อมใสอย่างอื่น เพราะฉะนั้น พระ
เถระเมื่อจะอนุเคราะห์เหล่าสัตว์ ผู้ที่จะตรัสรู้ได้ เพราะการแนะนำของผู้อื่น
จึงพยากรณ์อรหัตผล.
จบอรรถกถาทัพพมัลลปุตตเถรคาถา
๖. สัมภูตเถรคาถา
ว่าด้วยคาถาของพระสัมภูตเถระ
[๑๔๓] ได้ยินว่า พระสัมภูตเถระ ได้ภาษิตคาถานี้ไว้ อย่างนี้ว่า
ภิกษุใดมาสู่ป่าสีตวันแล้ว ภิกษุนั้นเป็น
ผู้อยู่แต่ผู้เดียว สันโดษ มีจิตตั้งมั่น ชนะกิเลส
ปราศจากขนลุกพอง มีปัญญา รักษากายคตา-
สติ อยู่.
อรรถกถาสัมภูตเถรคาถา
คาถาของท่านพระสัมภูตเถระเริ่มต้นว่า โย สีตวนํ ดังนี้. เรื่อง
ราวของท่านเป็นอย่างไร ?
ได้ยินว่า นับถอยหลังจากนี้ไป ๑๑๘ กัป พระสัมมาสัมพุทธเจ้า
พระนามว่า อัตถทัสสี เสด็จอุบัติขึ้นแล้วในโลก ยังหมู่สัตวโลก พร้อม

90
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๑ – หน้าที่ 91 (เล่ม 50)

ทั้งเทวโลก ให้ข้ามโอฆะใหญ่ คือ สงสาร วันหนึ่ง เสด็จไปถึงฝั่งแม่น้ำ
คงคา พร้อมด้วยภิกษุสงฆ์. ในครั้งนั้น พระเถระนี้เกิดในตระกูลคฤหบดี พบ
พระผู้มีพระภาคเจ้า ที่ริมฝั่งแม่น้ำคงคานั้น มีใจเลื่อมใส เข้าไปเฝ้าแล้วถวาย
บังคม กราบทูลถามว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ พระองค์มีพระพุทธประสงค์
จะข้ามไปสู่ฝั่งโน้นหรือ พระเจ้าข้า. พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสว่า เราจัก
ไป. เขาจึงจัดผูกเรือขนาน น้อมถวายในทันใดนั้นเอง. พระบรมศาสดา
เมื่อจะทรงอนุเคราะห์เขา จึงพร้อมด้วยภิกษุสงฆ์ เสด็จลงสู่เรือแล้ว เขานำ
เรือข้ามไปด้วยตนเอง ยังพระผู้มีพระภาคเจ้า และภิกษุสงฆ์ให้ถึงฝั่งโน้นโดย
สะดวกสบาย แล้วถวายมหาทานในวันที่สอง ตามส่งเสด็จ มีจิตเลื่อมใส
ถวายบังคมพระบรมศาสดา แล้วกลับไป.
ด้วยบุญกรรมนั้น เขาจึงท่องเที่ยวไปในเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย
นับแต่ภัทรกัปนี้ถอยหลังไป ๑๑๓ กัป. เกิดในตระกูลกษัตริย์ ได้เป็นพระเจ้า
จักรพรรดิ ผู้ธรรมิกราช ท้าวเธอยังพสกนิกร ให้ตั้งอยู่ในแนวทางแห่งสุคติ
จุติจากมนุษยโลกนี้แล้ว บวชในศาสนาของพระผู้มีพระภาคเจ้า พระนามว่า
วิปัสสี ในกัปที่ ๙๑ สมาทายธุตธรรม (ธรรมคือธุดงค์) อยู่ในป่าช้าบำเพ็ญ
สมณธรรมแล้ว. แม้ในกาลของพระผู้มีพระภาคเจ้า พระนามว่า กัสสป
เขาก็ออกบวชพร้อมด้วยสหายทั้ง ๓ ในศาสนาของพระองค์อีก แล้ว
บำเพ็ญสมณะอยู่ถึงสองแสนปี ท่องเที่ยวไปในเทวดาและมนุษย์ทั้งหลายอยู่
ตลอดพุทธันดรหนึ่ง แล้วเกิดเป็นบุตรของพราหมณ์มหาศาล ในพระนคร
ราชคฤห์ ในพุทธุปบาทกาลนี้. คนทั้งหลายตั้งชื่อท่านว่า สัมภูตะ ท่านเจริญ
วัยแล้ว ประสบความสำเร็จ ในศิลปศาสตร์ของพราหมณ์. ท่านได้ไปยังสำนัก
ของพระผู้มีพระภาคเจ้า พร้อมด้วยสหายทั้ง ๓ คือ ภูมิชะ เชยยเสนะ

91
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๑ – หน้าที่ 92 (เล่ม 50)

และ อภิราธนะ สดับพระธรรมเทศนาแล้ว ได้สัทธาปสาทะบรรพชาแล้ว
ซึ่งพระธรรมสังคาหกาจารย์ทั้งหลายหมายเอา กล่าวไว้ว่า
มาณพทั้ง ๔ เหล่านี้ คือ ภูมิชะ ๑ เชยยเสนะ ๑
สัมภูตะ ๑ อภิราธนะ ๑. ได้ตรัสรู้ธรรมในศาสนา
ของพระผู้มีพระภาคเจ้าผู้ประเสริฐและผู้คงที่.
ครั้งนั้น พระสัมภูตเถระ เรียนกายคตาสติกัมมัฏฐาน ในสำนักของ
พระผู้มีพระภาคเจ้า อยู่ในป่าสีตวันเป็นประจำ. ด้วยเหตุนั้นแล ท่านจึงมีนาม
ปรากฏว่า " สีตวนียะ ". ก็โดยสมัยนั้น ท้าวเวสวัณมหาราช เสด็จไปทาง
อากาศ มุ่งหน้าสู่ทิศทักษิณในชมพูทวีป ทอดพระเนตรเห็นพระเถระนั่งใน
อัพโภกาส มนสิการกัมมัฏฐานอยู่ จึงเสด็จลงจากวิมาน นมัสการพระเถระ
แล้วสั่งยักษ์ ๒ ตนว่า ถ้าพระเถระออกจากสมาธิในเวลาใด เจ้าจงบอกการมา
ของเราในเวลานั้น และจงถวายอารักขาพระเถระด้วย ดังนี้ แล้วเสด็จหลีกไป.
ยักษ์ทั้งสองเหล่านั้นยืนอยู่ใกล้พระเถระ แล้วบอกความนั้น ในเวลาที่พระเถระ
เลิกมนสิการนั่งอยู่แล้ว. พระเถระฟังคำนั้นแล้ว กล่าวว่า ท่านจงกราบทูล
ท้าวเวสวัณมหาราชตามคำของเรา ธรรมดาอารักขา คือ สติ ที่พระผู้มีพระ-
ภาคเจ้าทรงวางไว้ สำหรับผู้ที่ดำรงอยู่ในศาสนาของพระองค์นั้นนั่นแหละ จะ
รักษาบุคคลเช่นเรา ท่านจงเลิกสนใจในอารักขานั้น กิจที่จะพึงกระทำด้วย
อารักขาเช่นนี้ ย่อมไม่มีแก่ผู้ที่ตั้งอยู่ในโอวาทของพระผู้มีพระภาคเจ้าดังนี้แล้ว
ส่งยักษ์ทั้งสองกลับไป เจริญวิปัสสนาแล้วกระทำให้แจ้ง ซึ่งหมวด ๓ แห่งวิชชา
ในทันใดนั้นเอง. ลำดับนั้น ท้าวเวสวัณเสด็จกลับมา เข้าไปใกล้พระเถระ
รู้ว่า ท่านสำเร็จพระอรหัตแล้ว ด้วยการสังเกตอาการเฉพาะหน้า จึงเสด็จไป
กรุงสาวัตถี กราบทูลพระผู้มีพระภาคเจ้า เมื่อจะยกย่องพระเถระ ต่อพระพักตร์
ของพระบรมศาสดา จึงพรรณนาคุณทั้งหลายของพระเถระ ด้วยคาถานี้ว่า

92
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๑ – หน้าที่ 93 (เล่ม 50)

พระสัมภูตเถระ สมบูรณ์ด้วยสติ เป็นเครื่อง
รักษา มีปัญญา ประกอบด้วยความเพียร เป็นพุทธ-
ชิโนรส มีวิชชา ๓ ถึงฝั่งแห่งมัจจุแล้ว ดังนี้.
ด้วยเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวเป็นคาถาประพันธ์ไว้ในอปทานว่า
ก็พระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงพระนามว่า อัตถทัสสี
ผู้เป็นจอมแห่งสัตว์ ๒ เท่า ประเสริฐกว่านระ แวด-
ล้อมไปด้วยพระสาวกทั้งหลาย เสด็จไปสู่ฝั่งแม่น้ำคงคา
แม่น้ำคงมีน้ำเอ่อเต็มฝั่ง กาพอที่จะดื่มได้ ข้ามได้ยาก
เราส่งพระพุทธเจ้าผู้สูงกว่าสัตว์ และภิกษุสงฆ์ ในกัป
ที่ ๑๑๘ แต่กัปนี้ เราได้ทำกรรมใดไว้ในกาลนั้น
ด้วยกรรมนั้น เราไม่รู้จักทุคติเลย นี้เป็นผลแห่งการ
ข้ามส่งเสด็จพระพุทธเจ้า ในกัปที่ ๑๑๓ แต่กัปนี้
เราได้เป็นพระเจ้าจักรพรรดิ ๕ พระองค์ พระนามว่า
สัพโพภวะ ทรงสมบูรณ์ด้วยแก้ว ๗ ประการ มีพลมาก
และในภพสุดท้ายนั้น เราเกิดในตระกูลพราหมณ์
บวชในศาสนาของพระศาสดา พร้อมด้วยสหายทั้ง ๓
คุณพิเศษเหล่านี้คือ ปฏิสัมภิทา ๔ วิโมกข์ ๘ และ
อภิญญา ๖ เราทำให้แจ้งชัดแล้ว คำสอนของพระ
พุทธเจ้า เราทำสำเร็จแล้ว ดังนี้.
ครั้งนั้น ท่านพระสัมภูตะ เห็นภิกษุทั้งหลายเดินทางไปเฝ้าพระผู้มี
พระภาคเจ้า จึงกล่าวว่า ดูก่อนอาวุโส ท่านทั้งหลายจงถวายบังคมพระบาท
ของพระผู้มีพระภาคเจ้าตามคำของเราด้วย และจงกราบทูลอย่างนี้ ดังนี้แล้ว
เมื่อจะประกาศความที่ตนไม่เบียดเบียนพระศาสดา อันจัดเป็นธรรมาธิกรณ์

93
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๑ – หน้าที่ 94 (เล่ม 50)

จึงกล่าวคาถาว่า โย สีตวนํ ดังนี้. ภิกษุเหล่านั้น เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้า
แล้วถวายบังคม เมื่อจะกราบทูลให้ทรงทราบถึงสาสน์ ของพระสัมภูตเถระ
จึงกราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ท่านพระสัมภูตะขอถวายบังคมพระบาท
ของพระผู้มีพระภาคเจ้า และกราบทูลอย่างนี้ ดังนี้แล้ว กราบทูลข้อความนั้น.
พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงสดับถ้อยคำนั้นแล้ว ตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย
พระสัมภูตะเป็นบัณฑิต ปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม และไม่เบียดเบียนเรา
ผู้เป็นธรรมาธิกรณ์ เรื่องราวของพระสัมภูตะนั้น ท้าวเวสวัณบอกเราแล้ว
ดังนี้. ก็ภิกษุเหล่านั้น กราบทูลคาถาที่พระสัมภูตเถระกล่าวแล้ว แด่พระ-
บรมศาสดา ดังนี้ว่า
ภิกษุใดมาสู่ป่าสีตวันแล้ว ภิกษุนั้นเป็นผู้อยู่แต่ผู้
เดียว สันโดษ มีจิตตั้งมั่น ชนะกิเลสได้แล้ว ปราศ-
จากขนพองสยองเกล้า มีปัญญารักษากายคตาสติอยู่.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า สีตวนํ ได้แก่ ป่าช้า น่ากลัวกว้างใหญ่
ใกล้พระนครราชคฤห์ ที่ได้นามอย่างนี้.
บทว่า อุปคา ได้แก่ เข้าถึงแล้ว โดยถือเป็นที่อยู่. ด้วยบทว่า
อุปคา นี้ ท่านแสดงถึงที่เป็นที่อยู่อาศัย อันสมควรแก่บรรพชิต อันพระผู้มี
พระภาคเจ้าทรงอนุญาตแล้ว.
บทว่า ภิกฺขู ความว่า ชื่อว่าภิกษุ เพราะเห็นภัยในสงสาร และ
เพราะทำลายกิเลสได้แล้ว. บทว่า เอโก ความว่า ไม่มีเพื่อนสอง. ด้วยบทว่า
เอโก นี้ ท่านแสดงถึงกายวิเวก.
บทว่า สนฺตุสิโต ได้แก่ ผู้สันโดษ. ด้วยบทว่า สนฺตุสิโต นี้
ท่านแสดงถึงอริยวงศ์ อันมีความสันโดษในปัจจัย ๔ เป็นลักษณะ.

94
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๑ – หน้าที่ 95 (เล่ม 50)

บทว่า สมาทิตตฺโต ความว่า มีจิตตั้งมั่นแล้ว ด้วยสมาธิอันต่าง
ด้วยอุปจารสมาธิ และอัปปนาสมาธิ. ด้วยบทว่า สมาหิตตฺโต นี้ ท่านแสดง
ถึงอริยวงศ์ อันมีภาวนาเป็นที่มายินดี โดยมีวิเวกภาวนาเป็นประธาน.
บทว่า วิชิตาวี ความว่า ชนะหมู่กิเลส อันพระโยคาวจรพึงชนะ
ด้วยการปฏิบัติชอบในพระศาสนา. ด้วยบทว่า วิชิตาวี นี้ ท่านแสดงถึง
อุปธิวิเวก. ภิกษุชื่อว่า อเปตโลมหํโส (ปราศจากขนลุกพองสยองเกล้า)
เพราะมีกิเลสอันเป็นเหตุแห่งภัยปราศไปแล้ว. ด้วยบทว่า อเปตโลมหํโส นี้
ท่านแสดงถึงผลแห่งสัมมาปฏิบัติ. บทว่า รกฺขํ แปลว่า รักษาอยู่.
บทว่า กายคตาสตึ ได้แก่ สติมีกายเป็นอารมณ์ คือไม่ละกายคตาสติ
กัมมัฏฐาน ด้วยสามารถแห่งการเพิ่มพูนไว้. บทว่า ธีติมา ได้แก่ ผู้มีปัญญา.
บทว่า ธีติมา นี้ แสดงถึงข้อปฏิบัติ อาศัยความที่ตนมีจิตตั้งมั่น หรือมี
ชัยชนะแจ้งชัดแล้ว ในคาถานี้ มีความสังเขปดังนี้
ภิกษุนั้น เป็นผู้ผู้เดียวมาสู่ป่าสีตวัน โดยมุ่งความสุขเกิดแต่วิเวก
และเข้าไปแล้วก็เป็นผู้สันโดษ เพราะไม่มีความโลเล มีปัญญา มีกายคตาสติ
เจริญกัมมัฏฐาน กระทำฌานที่ตนบรรลุแล้วอย่างนั้นให้เป็นบาท ขวนขวาย
วิปัสสนาที่ตนปรารภแล้ว มีจิตตั้งมั่น ด้วยมรรคอันเลิศที่ตนได้บรรลุแล้ว และ
ชนะกิเลสได้แล้ว ชื่อว่าเป็นผู้ปราศจากขนพองสยองเกล้า เพราะมีเหตุแห่งภัย
ไปปราศแล้ว โดยประการทั้งปวง โดยที่กระทำกิจสำเร็จแล้ว ดังนี้.
จบอรรถกถาสัมภูตเถรคาถา

95
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๑ – หน้าที่ 96 (เล่ม 50)

๗. ภัลลิยเถร คาถา
ว่าด้วยคาถาของพระภัลลิยเถระ
[ ๑๔๔] ได้ยินว่า พระภัลลิยเถระ ได้ภาษิตคาถานี้ไว้ อย่างนี้ว่า
ผู้ได้ขจัดเสนาแห่งมัจจุราช เหมือนห้วงน้ำใหญ่
กำจัดสะพานไม้อ้อ อันแสนจะทรุดโทรมฉะนั้น ก็
ผู้นั้น จัดว่าเป็นผู้ชนะมาร ปราศจากความหวาดกลัว
มีตนอันฝึกแล้ว มีจิตตั้งมั่น ดับกิเลสและความเร่าร้อน
ได้แล้ว.
อรรถกถาภัลลิยเถรคาถา
คาถาของท่านพระภัลลิยเถระเริ่มต้นว่า โย ปานุทิ. เรื่องราวของท่าน
เป็นอย่างไร ?
ได้ยินว่า พระเถระนี้ ในกัปที่ ๓๑ แต่ภัทรกัปนี้ เมื่อพระพุทธเจ้า
ยังไม่เสด็จอุบัติขึ้น เป็นผู้มีจิตเลื่อมใสถวายผลาผล แก่พระปัจเจกสัมพุทธเจ้า
นามว่า สุมนะ ท่องเที่ยวอยู่แต่ในสุคติภพทั้งหลายเท่านั้น เกิดในตระกูล
สัตถวาหะ พระนครอรุณวตี ในกาลของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรง
พระนามว่า สิขี ได้สดับว่า บุตรพ่อค้า ๒ คน คือ ชื่อว่าอุปชิตะ และอุชิตะ
ได้ถวายอาหารครั้งแรก แด่พระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงพระนามว่า สุขี ผู้ได้
ตรัสธรรมาภิสมัยก่อนคนอื่น จึงเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้าพร้อมด้วยสหาย
ของตน ถวายบังคมแล้ว ทูลอาราธนาเพื่อเสวยพระกระยาหารในวันรุ่งขึ้น

96
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๑ – หน้าที่ 97 (เล่ม 50)

ถวายมหาทานแล้ว ตั้งความปรารถนาว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์
แม้ทั้งสอง พึงเป็นผู้ได้ถวายอาหารครั้งแรกแด่พระพุทธเจ้า ผู้เช่นกับพระองค์
ในอนาคตกาล ดังนี้. คนทั้งสอง กระทำบุญกรรมในภพนั้น ๆ แล้ว ท่องเที่ยว
ไปในเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย ในกาลของพระกัสสปสัมมาสัมพุทธเจ้า
เกิดเป็นบุตรเศรษฐีผู้เลี้ยงวัว เป็นพี่น้องกัน ในสองพี่น้องนั้น ผู้เป็นพี่ชื่อ
ตปุสสะ ผู้เป็นน้องชื่อ ภัลลิยะ. เขาทั้งสองบรรทุกของเต็มเกวียน ๕๐๐ เล่ม
เดินทางไปค้าขาย เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้า แรกตรัสรู้พระสัมมาสัมโพธิญาณ
ทรงยับยั้งอยู่ตลอด ๗ สัปดาห์ ด้วยการพิจารณาธรรมคือสุขอันเกิดแต่วิมุตติ
ในสัปดาห์ที่ ๘ ทรงประทับนั่งอยู่ที่โคนต้นเกด ก็เดินทางล่วงทางใหญ่ ไป
ใกล้ต้นเกด ในสมัยนั้น เกวียนของเขาทั้งสองไม่ยอมเคลื่อนที่ แม้ในภูมิภาค
ที่ราบเรียบ ไม่มีหล่มไม่มีโคลน เมื่อพ่อค้าสองพี่น้องพากันคิดอยู่ว่า เหตุอะไร
หนอแล ดังนี้ เทวดาผู้เคยเป็นญาติสายโลหิต ก็แสดงตัวในระหว่างค่าคบไม้
บอกว่า ดูก่อนท่านผู้นิรทุกข์ พระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นี้ ตรัสรู้พระสัม-
โพธิญาณได้ไม่นาน ไม่ได้เสวยพระกระยาหารมาตลอด ๗ สัปดาห์ เสวย
วิมุตติสุขแล้ว บัดนี้ ประทับนั่งอยู่ที่โคนต้นเกด ข้อที่ท่านทั้งสองน้อมนำ
อาหารเข้าไปถวายพระองค์นั้น จะพึงเป็นไป เพื่อประโยชน์เกื้อกูลและความสุข
แก่ท่านทั้งหลายสิ้นกาลนาน.
พ่อค้าสองพี่น้อง ฟังคำนั้นแล้ว เสวยปีติโสมนัสอย่างยิ่ง สำคัญว่า
การจัดอาหารจักเป็นความเนิ่นช้า จึงถวายสัตตูผงและสัตตูก้อน แด่พระผู้มี-
พระภาคเจ้า ถึงเทววาจิกสรณคมน์ (ถึงพระพุทธและพระธรรมว่าเป็นสรณะ)
ได้พระเกศธาตุไปบูชา หลีกไปแล้ว. ก็พ่อค้าทั้งสองนั้น ได้เป็นอุบาสก
ก่อนผู้อื่น. ครั้นเมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้า เสด็จไปยังกรุงพาราณสี ประกาศ
พระธรรมจักร แล้วประทับอยู่ในพระนครราชคฤห์โดยลำดับ ตปุสสะและ

97