No Favorites




หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๑ – หน้าที่ 68 (เล่ม 50)

เป็นต้น และขันธ์เป็นต้น คือแทงตลอดตามความเป็นจริง และยังผู้อื่นให้รู้
โดยประการนั้น.
ก็ในคาถานี้ ท่านประสงค์เอาญาณ คือ พระธรรมเทศนาของพระ-
ศาสดา ด้วยเหตุนั้นท่านจึงกล่าวว่า อิมํ ดังนี้. อธิบายว่า เทศนาญาณนั้น
ท่านกล่าวว่า อิมํ โดยถือเอาปัญญาที่ปรากฏแล้ว ดุจเห็นได้เฉพาะหน้า
โดยการถือเอาซึ่งนัย ด้วยกำลังแห่งเทศนาอันสำเร็จแล้วในตน. อีกอย่างหนึ่ง
เทศนาญาณของพระศาสดา อันสาวกทั้งหลาย ย่อมถือเอาโดยนัย ด้วยมรรค
ผลอันเลิศใด แม้ปฏิเวธญาณ ในวิสัยของตน อันพระสาวกทั้งหลายก็ถือเอา
ได้โดยนัย ด้วยมรรคผลอันเลิศนั้นเหมือนกัน. ด้วยเหตุนั้น ท่านพระธรรม
เสนาบดีจึงกล่าวว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ แม้สภาพที่คล้อยตามธรรม อัน
ข้าพระองค์รู้แจ้งแล้ว ดังนี้.
บทว่า ปสฺส ความว่า ผู้ที่หมดความสงสัยแล้วย่อมเรียกร้องกัน
โดยคำที่ไม่กำหนดแน่นอน อีกอย่างหนึ่ง ได้แก่ จิตของตนนั่นเอง. เหมือน
อย่างพระผู้มีพระภาคเจ้า เมื่อจะเปล่งอุทาน ก็ตรัสว่า ท่านจงดูโลกนี้ สัตว์
ทั้งหลายเป็นจำนวนมาก ถูกอวิชชาครอบงำ หรือยินดีแล้วในขันธบัญจกที่
เกิดแล้ว ไม่พ้นไปจากภพ ดังนี้.
บทว่า ตถาคตานํ ความว่า ชื่อว่า ตถาคต ด้วยอรรถว่าเสด็จมา
แล้วอย่างนั้นเป็นต้น. อธิบายว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงพระนามว่า ตถาคต
ด้วยเหตุ ๘ ประการเหล่านี้ คือ ชื่อว่า ตถาคต เพราะเสด็จมาแล้วอย่าง
นั้น ๑ ชื่อว่า ตถาคต เพราะเสด็จไปแล้วอย่างนั้น ๑ ชื่อว่า ตถาคต
เพราะเสด็จมาสู่ลักษณะที่แท้จริง ๑ ชื่อว่า ตถาคต เพราะตรัสรู้ธรรมที่แท้
จริงตามความเป็นจริง ๑ ชื่อว่า ตถาคต เพราะความเป็นผู้มีปกติเห็นอย่างนั้น ๑
ชื่อว่า ตถาคต เพราะความเป็นผู้มีปกติตรัสอย่างนั้น ๑ ชื่อว่า ตถาคต

68
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๑ – หน้าที่ 69 (เล่ม 50)

เพราะความเป็นผู้มีปกติกระทำอย่างนั้น ๑ ชื่อว่า ตถาคต เพราะอรรถว่า
ครอบงำ ๑.
ในอธิการนี้ มีความสังเขปดังนี้ว่า พระผู้มีพระภาคเจ้า พระนามว่า
ตถาคต ด้วยเหตุ ๘ ประการ แม้อย่างนี้คือ ชื่อว่า ตถาคต เพราะเสด็จ
มาแล้ว โดยอาการอย่างนั้น ๑ ชื่อว่า ตถาคต เพราะเสด็จไปแล้ว โดย
อาการอย่างนั้น ๑ ชื่อว่า ตถาคต เพราะเสด็จไปแล้วสู่ลักษณะอย่างนั้น ๑
ชื่อว่า ตถาคต เพราะเสด็จมาแล้วสู่ความเป็นอย่างนั้น ๑ ชื่อว่า ตถาคต
เพราะเป็นอย่างนั้น ๑ ชื่อว่า ตถาคต เพราะทรงเป็นไปแล้วอย่างนั้น ๑
ชื่อว่า ตถาคต เพราะเสด็จมาแล้ว โดยอาการอย่างนั้น ๑ ชื่อว่า ตถาคต
เพราะความเป็นผู้เสด็จไปแล้ว โดยอาการอย่างนั้น ๑ ส่วนความพิสดาร พึง
ทราบ โดยนัยดังกล่าวแล้ว ในอรรถกถาอุทาน และในอรรถกถาอิติวุตตกะ
ชื่อว่า ปรมัตถทีปนี.
บัดนี้ เพื่อจะแสดงคุณพิเศษอันไม่ทั่วไป แห่งพระปัญญานั้น ท่าน
จึงกล่าวคำมีอาทิว่า อคฺคิ ยถา ดังนี้. บทว่า ยถา อคฺคิ เป็นคำอุปมา.
บทว่า ยถา เป็นคำแสดง ถึงบทว่า อคฺคิ นั้นเป็นอุมา. บทว่า ปชฺชลิโต
แสดงถึงข้อความที่เนื่องกัน โดยอุปไมย. บทว่า นิสีเถ เป็นคำแสดงถึงเวลา
ที่ทำกิจ. ก็ในบทว่า นิสีเถ นี้ มีอธิบายดังนี้. เมื่อความมืดอันประกอบ
ด้วยองค์ ๔ ในยามพลบค่ำ คือ ยามราตรีย่างมาถึง ไฟที่ลุกโพลงแล้วในที่
ดอน ย่อมกำจัดความมืดตั้งอยู่ในประเทศนั้น ฉันใด ท่านจงดู พระปัญญา
ที่กำจัดความมืด คือ ความสงสัย ของเวไนยสัตว์ทั้งหลาย โดยประการทั้งปวง
กล่าวคือ เทศนาญาณนี้ ของพระตถาคตเจ้าทั้งหลาย ฉันนั้นเหมือนกัน
ฉะนี้แล. พระปัญญา ชื่อว่า ให้แสงสว่าง เพราะเป็นเหตุให้ซึ่งแสงสว่าง
อันสำเร็จด้วยญาณแก่สัตว์ทั้งหลาย ด้วยลีลาแห่งพระธรรมเทศนา. ชื่อว่า

69
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๑ – หน้าที่ 70 (เล่ม 50)

ผู้ให้ดวงตา เพราะให้ซึ่งจักษุอันสำเร็จด้วยปัญญา นั่นเอง. พระเถระเมื่อจะ
แสดงถึงปัญญาแม้ทั้ง ๒ ทำให้เป็นปทัฏฐานของการกำจัดความสงสัยเสียได้
เหมือนกัน จึงกล่าวว่า เย อาคตานํ วินยนฺติ กงฺขํ ดังนี้.
พระตถาคตเจ้าเหล่าใด ย่อมกำจัด คือขจัด บำบัดเสียซึ่งกังขา คือ
ความสงสัย อันมีวัตถุ ๑๖ อันเป็นไปแล้วโดยนัยมีอาทิว่า ในอดีตอันยาวนาน
เราได้เคยมีมาแล้วหรือหนอ และมีวัตถุ ๘ ประการ อันเป็นไปแล้วโดยนัย
มีอาทิว่า ย่อมสงสัยในพระพุทธ ย่อมสงสัยในพระธรรม ดังนี้ แก่เหล่าเวไนย-
สัตว์ ผู้เข้าถึง คือ เข้าไปยังสำนักของพระองค์ โดยไม่มีส่วนเหลือด้วยอานุภาพ
แห่งเทศนา.
อีกนัยหนึ่ง ไฟที่รุ่งเรือง คือ มีแสงสว่างจ้า ลุกโชติช่วง ในยาม
พลบค่ำ คือ ยามราตรี ย่อมกำจัดความมืด ให้แสงสว่าง มองเห็น ที่เสมอ
และไม่เสมอได้ชัดเจน แก่ผู้ที่อยู่บนที่สูง แต่สำหรับผู้ที่อยู่ในที่ต่ำ เมื่อกระทำ
แสงสว่างนั้นให้ปรากฏดีแล้ว ชื่อว่า ย่อมให้ซึ่งดวงตา เพราะกระทำกิจ คือ
การเห็น ฉันใด พระตถาคตเจ้าทั้งหลายก็ฉันนั้นเหมือนกัน เมื่อทรงกำจัด
ความมืดคือโมหะ แก่ผู้ที่ตั้งอยู่ในที่ไกลจากธรรมกายของพระองค์ คือผู้ที่มี
อธิการยังไม่ได้กระทำไว้ ด้วยแสงสว่าง คือ ปัญญา แล้วทรงยังความเสมอ
และไม่เสมอ มีความเสมอทางกาย และความไม่เสมอทางกายเป็นต้น ให้แจ่ม
แจ้ง ชื่อว่า ย่อมให้แสงสว่าง. แต่สำหรับผู้ที่อยู่ในที่ใกล้ เมื่อมอบธรรมจักษุ
ให้แก่ผู้ที่มีอธิการอันกระทำแล้ว ชื่อว่า ย่อมให้ซึ่งดวงตา.
ประกอบความว่า พระตถาคตเจ้าทั้งหลายเหล่าใดผู้เป็นอย่างนี้ ย่อม
กำจัดความสงสัย ของผู้มากไปด้วยความสงสัย แม้เช่นเรา ผู้มาฟังพระโอวาท
ของพระองค์ คือ ขจัดเสียได้ ด้วยการยังพระอริยมรรคให้เกิดขึ้น ท่านจงดู
พระปัญญา ที่มีพระญาณอันดียิ่งของพระตถาคตเจ้าเหล่านั้น. แม้คาถานี้ก็จัด

70
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๑ – หน้าที่ 71 (เล่ม 50)

เป็นคาถาพยากรณ์อรหัตผล ของพระเถระ โดยประกาศถึงการก้าวล่วงความ
สงสัยของตน.
ก็พระเถระนี้ ในเวลาที่เป็นปุถุชน เป็นผู้มีความรังเกียจแม้ในของที่
เป็นกัปปิยะ จึงปรากฏนามว่า " กังขาเรวตะ" เพราะความเป็นผู้มากไปด้วย
ความสงสัย. ภายหลังแม้ในเวลาที่เป็นพระขีณาสพ คนทั้งหลายก็เรียกท่านอย่าง
นั้นเหมือนกัน.
ด้วยเหตุนั้น ท่านพระธรรมสังคาหกาจารย์ จึงกล่าวว่า ได้ยินว่า
ท่านพระกังขาเรวตเถระ ได้ภาษิตคาถานี้ไว้อย่างนี้. คำนั้น มีเนื้อความดัง
ข้าพเจ้ากล่าวแล้วแล.
จบอรรถกถากังขาเรวตเถรคาถา
๔. ปุณณมันตานีปุตตเถรคาถา
ว่าด้วยคาถาของพระปุณณมันตานีบุตรเถระ
[๑๔๑] ได้ยินว่า พระปุณณมันตานีบุตรเถระ ได้ภาษิตคาถานี้ไว้
อย่างนี้ว่า
บุคคลควรสมาคมกับสัตบุรุษ ผู้เป็นบัณฑิต
ชี้แจงประโยชน์เท่านั้น เพราะธีรชนทั้งหลายเป็นผู้ไม่-
ประมาท เห็นประจักษ์ด้วยปัญญา ย่อมได้บรรลุถึง
ประโยชน์อย่างใหญ่ ประโยชน์อย่างลึกซึ้ง เห็นได้ยาก
ละเอียด สุขุม.

71
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๑ – หน้าที่ 72 (เล่ม 50)

อรรถกถาปุณณมันตานีปุตตเถรคาถา
คาถาของพระปุณณเถระเริ่มต้นว่า สพฺภิเรว สมาเสถ. เรื่องราว
ของท่านเป็นอย่างไร ?
ได้ยินว่า พระเถระนี้ เกิดในตระกูลพราหมณมหาศาล กรุงหงสาวดี
ก่อนกว่าการเสด็จอุบัติของพระทศพล พระนามว่า ปทุมุตตระ ทีเดียว ถึง
ความเป็นผู้รู้โดยลำดับ เมื่อพระบรมศาสดาเสด็จอุบัติขึ้นในโลก ไปสู่วิหาร
พร้อมกับมหาชนโดยนัยดังกล่าวแล้วในหนหลัง ในเวลาแสดงธรรมของพระ-
พุทธเจ้าทั้งหลาย นั่งท้ายบริษัท ฟังธรรมอยู่ เห็นพระศาสดาทรงตั้งภิกษุรูปหนึ่ง
ไว้ในตำแหน่งแห่งภิกษุผู้เลิศกว่าภิกษุผู้เป็นพระธรรมกถึกทั้งหลาย คิดว่า
ในอนาคตกาล แม้เราก็ควรเป็นอย่างภิกษุรูปนี้ ในเวลาจบเทศนา เมื่อบริษัท
เลิกประชุมกันแล้ว เข้าไปเฝ้าพระศาสดา ทูลอาราธนาแล้วกระทำมหาสักการะ
โดยนัยดังกล่าวแล้วในหนหลังนั่นแล แล้วกราบทูลพระผู้มีพระภาคเจ้าอย่างนี้ว่า
ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ด้วยก่อสร้างอธิการนี้ ข้าพระองค์ไม่ปรารถนาสมบัติ
อย่างอื่น แต่ในอนาคตกาล ขอให้ข้าพระองค์ พึงเป็นผู้เลิศกว่าภิกษุทั้งหลาย
ผู้เป็นธรรมกถึก ในศาสนาของพระพุทธเจ้าพระองค์หนึ่ง เหมือนอย่างภิกษุ
รูปนั้น ที่พระองค์ทรงตั้งไว้ในตำแหน่งแห่งภิกษุผู้เลิศกว่าภิกษุทั้งหลายผู้เป็น
พระธรรมกถึก ในสุดท้ายของวันที่ ๘ ดังนี้แล้ว ตั้งความปรารถนาไว้.
พระบรมศาสดาทรงตรวจดุอนาคตกาล ทรงเห็นความสำเร็จแห่งความ
ปรารถนาของเขา จึงทรงพยากรณ์ว่า ในที่สุดแห่งแสนกัป ในอนาคตกาล
พระพุทธเจ้า พระนามว่า โคตมะ จักเสด็จอุบัติ เธอบวชในศาสนาของ
พระองค์แล้ว จักเป็นผู้เลิศกว่าภิกษุทั้งหลาย ฝ่ายธรรมกถึก ดังนี้.

72
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๑ – หน้าที่ 73 (เล่ม 50)

เขาทำคุณงามความดีอยู่ในมนุษยโลกจนตลอดชีวิตจุติจากมนุษยโลกแล้ว
สั่งสมบุญและญาณสมภารอีกแสนกัป ท่องเที่ยวไปในเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย
ครั้นถึงศาสนาแห่งพระผู้มีพระภาคเจ้าของเราทั้งหลาย บังเกิดเป็นหลานชาย
ของพระอัญญาโกณฑัญญเถระ ในตระกูลพราหมณมหาศาล ในหมู่บ้าน
พราหมณ์ นามว่า โทณวัตถุ ไม่ไกลจากพระนครกบิลพัสดุ์ ในวันตั้งชื่อ
ของเขา. คนทั้งหลายได้ขนานนามเขาว่า ปุณณะ.
เมื่อพระบรมศาสดา ตรัสรู้อภิสัมโพธิญาณ ทรงประกาศธรรมจักร
อันประเสริฐ เสด็จไปสู่กรุงราชคฤห์โดยลำดับ ทรงเข้าไปอาศัยกรุงราชคฤห์
นั้นประทับอยู่ ปุณณมาณพ บวชในสำนักของพระอัญญาโกณฑัญญเถระ
ได้อุปสมบทแล้ว กระทำบุพกิจหมดทุกอย่างแล้ว ขวนขวายความเพียร ยังกิจ-
แห่งบรรพชิตให้ถึงที่สุดแล้วเทียว คิดว่า เราจักไปสู่สำนักของพระทศพล
แล้วได้ไปยังสำนักของพระศาสดา พร้อมกับพระเถระผู้เป็นลุง หยุดพักในที่
ใกล้กรุงกบิลพัสดุ์แล้ว กระทำกรรมในโยนิโสมนสิการ ขวนขวายวิปัสสนา
แล้วบรรลุพระอรหัต ต่อกาลไม่นานเลย. สมดังคาถาประพันธ์ ที่ท่านกล่าว
ไว้ใน อปทานว่า
เราเป็นพราหมณ์ผู้เล่าเรียน ทรงจำมนต์ รู้จบ
ไตรเพท อันศิษย์ห้อมล้อมแล้ว ได้เข้าไปเฝ้าพระผู้มี-
พระภาคเจ้า ผู้อุดมบุรุษ. พระมหามุนี พระนามว่า
ปทุมุตตระ ทรงรู้แจ้งโลก ทรงรับเครื่องบูชาแล้ว
ทรงประกาศกรรมของเราโดยย่อ เราได้ฟังธรรมนั้น
แล้ว ได้ถวายบังคมพระศาสดา ประคองอัญชลี มุ่ง
หน้าเฉพาะทิศทักษิณกลับไป ครั้นได้ฟังธรรมโดยย่อ
แล้ว แสดงได้โดยพิสดาร ศิษย์ทั้งปวงพอใจ ฟังคำ

73
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๑ – หน้าที่ 74 (เล่ม 50)

ของเราผู้กล่าวอยู่ บรรเทาทิฏฐิของตนแล้ว ยังจิตให้
เลื่อมใสในพระพุทธเจ้า เปรียบเหมือนเรา แม้ฟัง
โดยย่อก็แสดงได้โดยพิสดารฉะนั้น เราเป็นผู้ฉลาด
ในนับแห่งพระอภิธรรม เป็นผู้ฉลาดในความหมดจด
แห่งกถาวัตถุ ยังปวงชนให้รู้แจ้งแล้ว เป็นผู้ไม่มีอาสวะ
อยู่ ในกัปที่ ๕๐๐ แต่ภัทรกัปนี้ มีพระเจ้าจักรพรรดิ
๔ พระองค์ ผู้ปรากฏด้วยดี ทรงสมบูรณ์ด้วยรัตนะ
๗ ประการ เป็นใหญ่ในทวีปทั้ง ๔. คุณพิเศษเหล่านี้
คือ ปฏิสัมภิทา ๔ วิโมกข์ ๘ และอภิญญา ๖
เราทำให้แจ้งแล้ว คำสอนของพระพุทธเจ้าเราทำเสร็จ
แล้ว ดังนี้.
ก็กุลบุตรผู้บวชในสำนักของพระปุณณเถระนั้น ได้มีประมาณ ๕๐๐
รูป. พระเถระ สั่งสอนภิกษุแม้ทั้ง ๕๐๐ รูปเหล่านั้น ด้วยกถาวัตถุ ๑๐
เพราะตัวท่านเองเป็นผู้ได้กถาวัตถุ ๑๐. ภิกษุทั้ง ๕๐๐ รูปเหล่านั้น ตั้งอยู่ใน
โอวาทของท่านแล้ว บรรลุพระอรหัต. ภิกษุเหล่านั้น รู้ว่ากิจแห่งบรรพชิต
ของตน ถึงที่สุดแล้ว จึงพากันไปหาพระอุปัชฌาย์ กล่าวว่า ข้าแต่ท่านผู้เจริญ
กิจของกระผมทั้งหลาย ถึงที่สุดแล้ว ทั้งยังได้กถาวัตถุ ๑๐ อีกด้วย บัดนี้
เป็นโอกาสที่พวกกระผมจะเข้าเฝ้า พระทศพล.
พระเถระฟังคำของภิกษุเหล่านั้นและคิดว่า พระศาสดา ทรงทราบ
ข้อที่เราเป็นผู้ได้กถาวัตถุ ๑๐ เราเมื่อแสดงธรรม ก็แสดงไม่ละทิ้งกถาวัตถุ ๑๐
เลย เมื่อเราไป ภิกษุเหล่านี้แม้ทั้งหมด จักห้อมล้อมเราไป การเข้าไปเฝ้า
พระทศพล โดยระคนด้วยหมู่คณะอย่างนี้ ไม่สมควรแก่เราเลย ภิกษุเหล่านี้
จงไปเฝ้าก่อนเถิด ดังนี้ กล่าวกะภิกษุเหล่านั้นว่า ดูก่อนอาวุโสทั้งหลาย

74
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๑ – หน้าที่ 75 (เล่ม 50)

ท่านทั้งหลายจงล่วงหน้าไปเฝ้าพระตถาคตเจ้า และจงถวายบังคมพระบาทของ
พระองค์ ตามคำของเราด้วย แม้เราก็จักติดตามไป ตามทางที่ท่านทั้งหลาย
ไปแล้ว.
พระเถระเหล่านั้น แม้ทุก ๆ รูป ล้วนเคยอยู่ในแคว้นอันเป็นชาติภูมิ
ของพระทศพล ทุก ๆ รูปล้วนมีปกติได้กถาวัตถุ ๑. รับโอวาทของพระ-
อุปัชฌาย์ของตน ๆ แล้ว ไหว้พระเถระ เที่ยวจาริกไปโดยลำดับ ล่วงทาง
ประมาณ ๖๐ โยชน์ ตรงไปยังเชวตวันมหาวิหาร ในกรุงราชคฤห์ ถวายบังคม
พระบาทของพระทศพลแล้ว นั่งลง ณ ส่วนข้างหนึ่ง.
ก็การต้อนรับปราศรัย กับภิกษุผู้อาคันตุกะทั้งหลาย เป็นธรรมเนียม
ที่พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้เป็นพระพุทธเจ้าทั้งหลาย สั่งสมแล้ว เพราะฉะนั้น
พระผู้มีพระภาคเจ้า จึงทรงทำปฏิสันถารกับภิกษุเหล่านั้น โดยนัยมีอาทิว่า
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ท่านทั้งหลายพออดทนได้หรือ ดังนี้แล้ว ตรัสถามว่า
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็เธอทั้งหลาย มาจากไหน ? ครั้นเมื่อภิกษุเหล่านั้น
กราบทูลให้ทรงทราบถึงชาติภูมิแล้ว จึงรับสั่งถามภิกษุผู้ได้กถาวัตถุ ๑๐ ว่า
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย บรรดาภิกษุผู้เป็นเพื่อนพรหมจารี ผู้มีชาติภูมิอยู่ใน
ถิ่นกำเนิดทั้งหลาย ใครหนอแล ที่ถูกยกย่องว่า มีความปรารถนาน้อยด้วยตน
และบอกสอนความปรารถนาน้อยแก่ภิกษุทั้งหลาย.
แม้ภิกษุ ก็พากันกราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ท่านพระปุณณ-
มันตานีบุตร นามว่าปุณณะ พระเจ้าข้า ท่านพระสารีบุตร ฟังคำนั้นแล้ว
ได้มีความประสงค์จะพบพระเถระ (ปุณณะ).
ลำดับนั้น พระศาสดา เสด็จจากกรุงราชคฤห์ ไปยังพระนครสาวัตถี
แล้ว. แม้พระปุณณเถระ ทราบว่า พระศาสดาเสด็จมาในที่นั้น แล้วไป ด้วย
คิดว่า เราจักเฝ้าพระศาสดา เข้าเฝ้าพระตถาคตเจ้า ภายในพระคันกุฏีทีเดียว.

75
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๑ – หน้าที่ 76 (เล่ม 50)

พระศาสดาทรงแสดงธรรม แก่พระเถระ. พระเถระฟังธรรมแล้ว
ถวายบังคมพระทศพล ไปสู่ป่าอันธวัน เพื่อหลีกเร้น แล้วนั่งพักกลางวันอยู่ที่
โคนต้นไม้ ต้นใดต้นหนึ่ง.
แม้พระสารีบุตรเถระ ทราบการมาของพระปุณณเถระ ไปจากสถานที่
ซึ่งเคยมองดูอยู่เป็นประจำ สบโอกาสแล้วจึงเข้าไปหาพระปุณณเถระ ผู้นั่งอยู่
ณ โคนต้นไม้ สังสนทนากับพระเถระแล้ว จึงสอบถามถึงวิสุทธิกถา ๗ กะท่าน.
แม้พระเถระ ก็พยากรณ์ปัญหาที่พระสารีบุตรนั้นถามแล้ว ๆ ยังจิต
ของพระสารีบุตรให้ยินดีด้วยข้ออุปมาด้วยสถานที่ซึ่งจะนำไปถึงได้ด้วยรถ. ท่าน
ทั้งสองนั้น ต่างฝ่ายต่างชื่นชมภาษิตของกันและกัน.
ครั้นในเวลาต่อมา พระศาสดาประทับ ณ ท่ามกลางภิกษุสงฆ์ทรงตั้ง
พระเถระไว้ในตำแหน่งแห่งภิกษุผู้เลิศ กว่าบรรดาภิกษุผู้เป็นพระธรรมกถึก
ทั้งหลาย ด้วยพระพุทธดำรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย พระปุณณะเลิศกว่า
พวกภิกษุสาวกของเรา ผู้กล่าวธรรม ดังนี้.
ในวันหนึ่ง ท่านพิจารณาถึงวิมุตติสมบัติ ของตนเกิดปีติและโสมนัส
ว่า เราและสัตว์เหล่าอื่นเป็นอันมาก อาศัยพระบรมศาสดา หลุดพ้นจาก
สังสารทุกข์แล้ว การคบหาท่านผู้เป็นสัตบุรุษ มีอุปการะมากหนอ ดังนี้
กล่าวคาถาที่ระบายกำลังของปีติออกไป ด้วยสามารถแห่งอุทานว่า
บุคคลควรสมาคมกับสัตบุรุษ ผู้เป็นบัณฑิต
แจงประโยชน์เท่านั้น เพราะธีรชนทั้งหลาย เป็นผู้
ไม่ประมาท เห็นประจักษ์ด้วยปัญญา ย่อมได้บรรลุ
ถึงประโยชน์อย่างใหญ่ ประโยชน์อย่างลึกซึ้ง เห็น-
ได้ยาก ละเอียด สุขุม ดังนี้.

76
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๑ – หน้าที่ 77 (เล่ม 50)

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า สพฺภิเรว แปลว่า ด้วยสัตบุรุษทั้งหลาย
เท่านั้น. ก็ในคาถานี้ พระอริยเจ้าทั้งหลายมีพระพุทธเจ้าเป็นต้น ท่าน
ประสงค์เอาว่า สัตบุรุษ. ก็พระพุทธเจ้าเป็นต้นเหล่านั้น ละธรรมของอสัตบุรุษ
ทั้งหลายได้แล้วโดยไม่เหลือ และสรรเสริญคุณธรรมอันดียิ่ง เพราะบรรลุ
ถึงพระสัทธรรมอย่างอุกฤษฏ์ ท่านจึงเรียกว่า เป็นสัตบุรุษ ผู้สงบระงับแล้ว.
บทว่า สมาเสถ ความว่า พึงอยู่สม่ำเสมอ คืออยู่ร่วม. อธิบายว่า
เมื่อเข้าใกล้ท่านเหล่านั้น สดับรับฟัง และถึงทิฏฐานุคติของท่านเหล่านั้น
ชื่อว่า พึงเป็นผู้อยู่ร่วม.
บาทคาถาว่า ปณฺฑิเตหตฺถทสฺสิภิ เป็นคำกล่าว ยกย่องชมเชย
พระอริยเจ้าเหล่านั้น. ปัญญาท่านเรียกว่า ปณฺฑา ชื่อว่า เป็นบัณฑิต
เพราะมีปัญญา ชื่อว่า บัณฑา นั้น. ต่อจากนั้นไป ก็ชื่อว่า อตฺถทสฺสิโน
เพราะชี้ประโยชน์ต่างโดยประโยชน์ตนเป็นต้น โดยไม่วิปริต. พึงคบกับบัณฑิต
ผู้ชี้ประโยชน์เหล่านั้น.
ถ้ามีคำถามว่า เพราะเหตุไร ? ก็ตอบว่า เพราะสัตบุรุษเหล่านั้น
เป็นบัณฑิต อีกอย่างหนึ่ง เพราะ ท่านผู้เป็นบัณฑิต ย่อมบรรลุ จตุราริยสัจ
นี้ อย่างนี้คือ ชื่อว่า บรรลุประโยชน์ เพราะเมื่อคบท่านเหล่านั้นโดยชอบ
ก็มีแต่ประโยชน์ถ่ายเดียว และเพราะไม่ไกลจากมรรคญาณเป็นต้นทีเดียว ชื่อว่า
บรรลุความยิ่งใหญ่ เพราะมีคุณใหญ่ และเพราะความเป็นผู้สงบระงับ ชื่อว่า
ถึงความลึกซึ้ง เพราะหยั่งไม่ถึง และเพราะมีอารมณ์ คือ ญาณอันลึกซึ้ง
ชื่อว่า เห็นได้ยาก เพราะผู้ที่มีฉันทะเป็นต้นหยาบ ไม่สามารถจะเห็นได้ และ
เพราะคนนอกนี้ เห็นได้โดยยาก ชื่อว่า ละเอียด เพราะเห็นได้ยาก และเพราะ
เป็นสถานที่ละเอียดอ่อน โดยเป็นอารมณ์ของญาณที่ละเอียดอ่อน ชื่อว่า
บรรลุถึงพระนิพพาน ชื่อว่า สุขุม เพราะเป็นสภาวธรรมที่ละเอียดอ่อนและ

77