No Favorites




หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เปตวัตถุ เล่ม ๒ ภาค ๒ – หน้าที่ 535 (เล่ม 49)

จะให้พระราชานั้นดำรงอยู่ในสรณะและศีล จึงกล่าวคำมีอาทิว่า
ข้าแต่มหารา ขอพระองค์โปรดทรงสดับ. บรรดาบทเหล่านั้น
บทว่า สีเลสุโปสเถ รตา ได้แก่ ยินดีแล้วในนิจศีลและอุโบสถศีล.
บทว่า อทา แปลว่า ได้ให้แล้ว. บทว่า ตํ ธมฺมํ ได้แก่ มรรคมี
องค์ ๘ เละอมตบทนั้น.
พระราชาอันเปรตชักชวนให้สมาทานศีลและสรณะอย่างนี้
แล้ว มีพระทัยเลื่อมใส เบื้องต้นจึงระบุถึงอุปการะที่เปรตนั้น
กระทำแก่พระองค์ เมื่อจะตั้งอยู่ในสรณะเป็นต้น จึงกล่าวคาถา
๓ คาถามีอาทิว่า ผู้ปรารถนาความเจริญ ดังนี้ เมื่อจะทรงประกาศ
ถึงความที่ทรงละทิฏฐิชั่วที่พระองค์ยึดถือในกาลก่อน จึงตรัส
คาถาว่า เราโปรย(แกลบในที่ลมแรง) เป็นต้น.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า โอผุณามิ มหาวาเต ความว่า
ดูก่อนเทวดา เราจะโปรยคือขจัดทิฏฐิชั่วนั้น ณ ที่ลมคือธรรมเทศนา
ของท่าน เหมือนโปรยแกลบไปที่ลมแรงซึ่งกำลังพัดอยู่. บทว่า
นทิยา วา สีฆคามิยา อธิบายว่า หรือว่าเราจะลอยทิฏฐิชั่วเหมือน
ลอยหญ้า ไม้ ใบไม้ และสะเก็ด ลงในแม่น้ำใหญ่ที่มีกระแสอันเชี่ยว.
บทว่า วมามิ ปาปิกํ ทิฏฺฐึ ความว่า เราจะละทิ้งทิฏฐิชั่วที่อยู่ในใจ
ของเรา. พระราชากล่าวเหตุในข้อนั้นว่า ยินดีแล้วในพระศาสนา
ดังนี้. มีวาจาประกอบความว่า เพราะเหตุที่เรายินดี คือ ยินดียิ่ง
ในพระศาสนาของพระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าทั้งหลาย อันนำอมตะ
มาโดยส่วนเดียว ฉะนั้น เราจะคายพิษคือทิฏฐินั้น.

535
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เปตวัตถุ เล่ม ๒ ภาค ๒ – หน้าที่ 536 (เล่ม 49)

คาถาสุดท้ายว่า อิทํ วตฺวาน ดังนี้ พระสังคีติกาจารย์
ทั้งหลายได้ตั้งไว้แล้ว. บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ปาโมกฺโข ได้แก่
บ่ายหน้าไปทางทิศตะวันออก. บทว่า รถมารุหิ ความว่า พระราชา
เสด็จขึ้นสู่ราชรถของพระองค์อันเป็นรถพระที่นั่งเสด็จ ครั้นเสด็จ
ขึ้นแล้วได้ถึงพระนครของพระองค์ในวันนั้นนั่นเอง ด้วยอานุภาพ
ของเทวดา แล้วเสด็จเข้าพระราชวัง. สมัยต่อมาท้าวเธอตรัสบอก
เรื่องนั้นแก่ภิกษุทั้งหลาย ภิกษุทั้งหลายจึงแจ้งเรื่องนั้นแก่พระเถระ
ทั้งหลาย. พระเถระทั้งหลายจึงยกขึ้นสู่สังคายนาในตติยสังคีติ.
จบ อรรถกถานันทกเปตวัตถุที่ ๓

536
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เปตวัตถุ เล่ม ๒ ภาค ๒ – หน้าที่ 537 (เล่ม 49)

๔. เรวดีเปติวัตถุ
[๑๒๔] บุรุษคนใช้ของพระยายมราช จะจับ
นางเรวดีโยนลงไปในอุสสทนรก จึงได้กล่าวว่า
แน่ะแม่เรวดีผู้มีธรรมอันแสนจะชั่วช้า จงลุก
ขึ้น ฯลฯ
(พึงดูในเรื่องที่ ๒ แห่งมหารถวรรคที่ ๕ ในวิมานวัตถุ)
จบ เรวดีเปติวัตถุที่ ๔
อรรถกถาเรวดีเปติวัตถุที่ ๔
เรื่องนางเรวดีเปรตนี้ มีคำเริ่มต้นว่า อุฏฺเฐหิ เรวเต สุปาปธมฺเม
ดังนี้. เพราะเหตุที่เรื่องนั้นไม่มีพิเศษไปกว่า เรวตีวิมานวัตถุ เพราะ
ฉะนั้น คำใดที่ควรกล่าวในอัตถุปปัตติเหตุ และในคาถานั้น คำนั้น
พึงทราบโดยนัยดังกล่าวในอรรถกถาวิมานวัตถุ ชื่อปรมัตถทีปนี
นั่นแหละ. ก็เรื่องนี้แม้พระสังคีติกาจารย์จะยกขึ้นสู่สังคายนา
ในบาลีวิมานวัตถุ ด้วยอำนาจนันทิยเทพบุตร ก็พึงทราบว่ายกขึ้น
สู่สังคายนา แม้ในบาลีเปตวัตถุว่า เรวดีเปติวัตถุ ด้วยอำนาจ
คาถาที่เนื่องด้วยนางเรวดี.
จบ อรรถกถาเรวตีเปติวัตถุที่ ๔

537
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เปตวัตถุ เล่ม ๒ ภาค ๒ – หน้าที่ 538 (เล่ม 49)

๕. อุจฉุเปตวัตถุ
ว่าด้วยเปรตมีไร่อ้อยแต่กินอ้อยไม่ได้
เปรตตนหนึ่งถามพระมหาโมคคัลลานเถระว่า :-
[๑๒๕] ไร่อ้อยใหญ่นี้เกิดขึ้นแก่ข้าพเจ้า เป็นผล
บุญไม่น้อย แต่เดี๋ยวนี้ข้าพเจ้ากินอ้อยนั้นไม่ได้ ข้าแต่
ท่านผู้เจริญ ขอท่านโปรดบอก นี้เป็นผลแห่ง
กรรมอะไร ข้าพเจ้าย่อมเดือดร้อน จะกัดกิน
พยายามตะเกียกตะกายเพื่อจะบริโภคสักหน่อย
ก็ไม่สมหวัง กำลังก็สิ้นลง บ่นเพ้อนัก นี้เป็น
ผลแห่งกรรมอะไร อนึ่ง ข้าพเจ้าถูกความหิวและ
ความกระหายเบียดเบียน แล้วหมุนล้มไปที่
แผ่นดิน กลิ้งเกลือกไปมา ดุจปลาดิ้นรนอยู่ใน
ที่ร้อน เมื่อข้าพเจ้าร้องไห้อยู่สัตว์ทั้งหลายย่อม
พากันมากินน้ำตาของข้าพเจ้า ข้าแต่ท่านผู้เจริญ
ขอท่านโปรดบอก นี้เป็นผลแห่งกรรมอะไร
ข้าพเจ้าเป็นผู้หิวกระหายลำบาก ดิ้นรนไป
ย่อมไม่ประสบความสุขที่น่ายินดี ข้าแต่ท่าน
ผู้เจริญ ข้าพเจ้าขอถามเนื้อความนั้นกะท่าน
ข้าพเจ้าจะพึงบริโภคอ้อยได้อย่างไร.

538
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เปตวัตถุ เล่ม ๒ ภาค ๒ – หน้าที่ 539 (เล่ม 49)

พระมหาโมคคัลลานเถระกล่าวว่า
เมื่อชาติก่อน ท่านเกิดเป็นมนุษย์ ได้ทำ
กรรมไว้ด้วยตนเอง เราจะบอกเนื้อความนั้นกะ
ท่าน ขอท่านจงฟังแล้วจำเนื้อความข้อนั้นไว้
ท่านเดินกัดกินอ้อยไป และมีบุรุษคนหนึ่งเดิน
ตามหลังท่านไป เขาหวังจะกินอ้อย จึงบอกแก่
ท่าน ท่านก็มิได้พูดอะไร ๆ แก่เขา ท่านไม่พูด
เขาจึงได้วิงวอนว่า ขอท่านพึงให้อ้อยเถิด ท่าน
ได้ให้อ้อยแก่บุรุษนั้นโดยข้างหลัง นี้เป็นผลแห่ง
กรรมนั้น เชิญท่านพึงไปถือเอาอ้อยข้างหลังซิ
ครั้นถือเอาได้แล้ว จงกินให้อิ่มหนำเถิด เพราะ
เหตุนั้นแหละ ท่านจักเป็นผู้เบิกบานร่าเริงบันเทิง
ใจ เปรตนั้นได้ไปถือเอาโดยข้างหลัง ครั้นแล้ว
จึงได้กินอ้อยนั้นจนอิ่มหนำ เพราะเหตุนั้นแล
เปรตนั้นได้เป็นผู้เบิกบานร่าเริงบันเทิงใจ.
จบ อุจฉุเปตวัตถุที่ ๕
อรรถกถาอุจฉุเปตวัตถุที่ ๕
เรื่องอุจฉุเปรตนี้ มีคำเริ่มต้นว่า อิทํ มม อุจฺฉุวนํ มหนฺตํ
ดังนี้. เหตุเกิดของเรื่องนั้น เป็นอย่างไร ?

539
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เปตวัตถุ เล่ม ๒ ภาค ๒ – หน้าที่ 540 (เล่ม 49)

เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ในพระเวฬุวันมหาวิหาร
บุรุษคนหนึ่งมัดลำอ้อย เดินกัดอ้อยลำหนึ่งไป. ลำดับนั้น อุบาสก
คนหนึ่งเป็นผู้มีศีลมีกัลยาณธรรม พร้อมด้วยเด็กอ่อนเดินไปข้าง
หลัง ๆ. เด็กเห็นอ้อยแล้วร้องไห้ว่า จงให้, อุบาสกเห็นเด็กร้องไห้
เมื่อจะสงเคราะห์บุรุษนั้น จึงได้เจรจากับบุรุษนั้น ส่วนบุรุษนั้น
ไม่เจรจาอะไร ๆ กับอุบาสกนั้น ไม่ให้แม้ท่อนอ้อยแก่เด็ก อุบาสก
จึงแสดงเด็กนั้นแล้วกล่าวว่า เด็กนี้ร้องไห้นัก ท่านจงให้ท่อนอ้อย
แก่เด็กนี้ท่อนหนึ่ง บุรุษนั้นได้ฟังดังนั้น อดทนไม่ได้ เกิดขัดเคือง
จิต จึงขว้างลำอ้อยลำหนึ่งไปข้างหลังโดยไม่เอื้อเฟื้อ
สมัยต่อมา เขาทำกาละแล้วบังเกิดในหมู่เปรต ด้วยอำนาจ
ความโลภที่ครอบงำอยู่นาน. ชื่อว่าผลแห่งกรรมนั้น ย่อมเห็น สมกับ
กรรมของตน เพราะเหตุนั้น จึงเกิดเป็นไร่อ้อยใหญ่แน่นทึบไปด้วย
อ้อย ประมาณเท่าท่อนสากมีสีเหมือนดอกอัญชัน เต็มสถานที่
ประมาณ ๘ กรีส. พอเขาเข้าไปจะถือเอาอ้อย เพราะอยากจะกิน
อ้อยก็ตีเขา เพราะเหตุนั้นเขาจึงสลบล้มลง.
ภายหลังวันหนึ่ง ท่านพระมหาโมคคัลลานะ เข้าไปบิณฑบาต
ยังกรุงราชคฤห์ ได้เห็นเปรตนั้นในระหว่างทาง เปรตนั้นเห็น
พระเถระแล้วจึงถามถึงกรรมที่ตนทำ. คาถาคำถามและคำตอบ
ที่เปรตและพระเถระกล่าว ความว่า :-
ไร่อ้อยใหญ่นี้บังเกิดแก่ข้าพเจ้า เป็นผล
บุญไม่น้อย แต่บัดนี้ ข้าพเจ้าจะกินอ้อยนั้นไม่ได้

540
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เปตวัตถุ เล่ม ๒ ภาค ๒ – หน้าที่ 541 (เล่ม 49)

ข้าแต่ท่านผู้เจริญ ขอท่านโปรดบอก นี้เป็นผล
แห่งกรรมอะไร. ข้าพเจ้าย่อมเดือดร้อนถูกใบอ้อย
บาด พยายามตะเกียกตะกาย เพื่อจะบริโภคสัก
หน่อยก็ไม่ได้สมหวัง. กำลังก็สิ้นลง บ่นเพ้อนัก
นี้เป็นผลแต่งกรรมอะไร. อนึ่ง ข้าพเจ้าถูกความ
หิวเละความกระหายเบียดเบียน แล้วหมุนล้มไป
ที่แผ่นดิน กลิ้งเกลือกไปมา ดุจปลาดิ้นรนอยู่
ในที่ร้อน เมื่อข้าพเจ้าร้องไห้อยู่ สัตว์ทั้งหลาย
ย่อมพากันมากินน้ำตาของข้าพเจ้า ข้าแต่ท่าน
ผู้เจริญ ขอท่านโปรดบอก นี้เป็นผลแห่งกรรม
อะไร. ข้าพเจ้าเป็นผู้หิวกระหายลำบาก ดิ้นรน
ไปมา ย่อมไม่ประสบความสุขที่น่ายินดี ข้าแต่
ท่านผู้เจริญ ข้าพเจ้าขอถามเนื้อความนั้นกะท่าน
ข้าพเจ้าจะบริโภคอ้อยนั้นได้อย่างไร.
พระมหาโมคคัลลานเถระกล่าวว่า :-
เมื่อชาติก่อนท่านเกิดเป็นมนุษย์ได้ทำ
กรรมไว้ด้วยตนเอง เราจะบอกเนื้อความนั้นกะ
ท่าน ขอท่านจงฟังแล้วจำเนื้อความข้อนั้นไว้
(คือ) ท่านเดินกัดกินอ้อยไป และมีบุรุษคนหนึ่ง
เดินตามหลังท่านไป เขาหวังจะกินอ้อย จึงบอก
แก่ท่าน ท่านก็ไม่พูดอะไร ๆ แก่เขา เขาจึงได้

541
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เปตวัตถุ เล่ม ๒ ภาค ๒ – หน้าที่ 542 (เล่ม 49)

พูดวิงวอนว่า ขอท่านจงให้อ้อยเถิด ท่านได้ให้
อ้อยแก่บุรุษนั้นโดยข้างหลัง นี้เป็นผลแห่งกรรม
นั้น. เชิญท่านพึงไปถือเอาอ้อยข้างหลังซิ ครั้นถือ
เอาได้แล้ว จงกินให้อิ่มหนำเถิด เพราะเหตุนั้น
แหละ ท่านจักเป็นผู้เบิกบาน ร่าเริง บันเทิงใจ.
เปรตนั้นได้ไปถือเอาโดยข้างหลัง ครั้นแล้วจึง
ได้กินอ้อยนั้นจนอิ่มหนำ เพราะเหตุนั้นแล เปรต
นั้นจึงได้เป็นผู้เบิกบาน ร่าเริงบันเทิงใจ.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า กิสฺส อธิบายว่า แห่งกรรมเช่นไร.
บทว่า หญฺญามิ ได้แก่ ข้าพเจ้าย่อมเดือดร้อน คือ ถึงความคับแค้น.
อีกอย่างหนึ่ง บทว่า หญฺญามิ แปลว่า ย่อมเบียดเบียน อธิบายว่า
ย่อมบีบคั้นโดยพิเศษ. บทว่า ขชฺชามิ แปลว่า ถูกใบอ้อยบาด
อธิบายว่า ถูกใบอ้อยเฉือน เหมือนถูกศัสตราที่คมเช่นใบดาบเฉือน.
บทว่า วายมามิ ได้แก่ เราทำความพยายามจะกินอ้อย. บทว่า
ปริสกฺกามิ แปลว่า ตะเกียกตะกาย. บทว่า ปริภุญฺชิตุํ ความว่า
เพื่อจะบริโภคน้ำอ้อย อธิบายว่า เพื่อจะเคี้ยวอ้อย. บทว่า ฉินฺนถาโม
แปลว่า สิ้นกำลัง คือกำลังขาดไป อธิบายว่า กำลังสิ้นไป. บทว่า
กปโณ ได้แก่ เป็นคนกำพร้า. บทว่า ลาลปามิ ความว่า เราถูก
ทุกข์ครอบงำจึงบ่นเพ้อไปมากมาย.
บทว่า วิฆาโต แปลว่า มีความคับแค้น หรือถูกขจัดกำลัง.
บทว่า ปริปตามิ ฉมายํ ความว่า เมื่อไม่อาจทรงตัวอยู่ได้ จึงล้มลง

542
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เปตวัตถุ เล่ม ๒ ภาค ๒ – หน้าที่ 543 (เล่ม 49)

ที่พื้นดิน. บทว่า ปริวตฺตามิ แปลว่า ย่อมหมุนไป. บทว่า วาริจโรว
แปลว่า เหมือนปลา. บทว่า ฆมฺเม ได้แก่ บนบกอันร้อนเร่าด้วย
ความร้อน.
บทว่า สนฺตสฺสิโต ได้แก่ กระหายนัก เพราะริมฝีปาก คอ
และเพดาลถึงความเหือดแห้งไป. บทว่า สาตสุขํ ได้แก่ ความสุข
อันเป็นความสำราญ. บทว่า น วินฺเท แปลว่า ย่อมไม่ได้. บทว่า
ตํ แปลว่า ซึ่งท่าน. บทว่า วิชาน แปลว่า จงรู้. บทว่า ปยาโต
แปลว่า เริ่มจะไป. บทว่า อนฺวคจฺฉิ แปลว่า ติดตาม. บทว่า
ปจฺจาสนฺโต แปลว่า หวังเฉพาะ. บทว่า เอตํ ในบทว่า ตสฺเสตํ
กมฺมสฺส นี้ เป็นเพียงนิบาต อธิบายว่า แห่งกรรมนั้น. บทว่า
ปิฏฺฐิโต คณฺเหยฺยาสิ ความว่า พึงถือเอาอ้อยทางเบื้องหลังของตน
นั่นแหละ. บทว่า ปโมทิโต ได้แก่ บันเทิงใจ.
บทว่า คเหตฺวาน ตํ ขาทิ ยาวทตฺถํ ความว่า นันทเปรต
ถือเอาอ้อยโดยทำนองที่พระเถระสั่ง แล้วเคี้ยวกินตามชอบใจ
ถือเอามัดอ้อยมัดใหญ่ น้อมเข้าไปถวายพระเถระ พระเถระเมื่อจะ
อนุเคราะห์เขา จึงให้เขานั่นแหละ ถือเอามัดอ้อยนั้นไปยังพระ-
เวฬุวันมหาวิหาร ได้ถวายแด่พระผู้มีพระภาคเจ้า พระผู้มีพระภาคเจ้า
พร้อมด้วยภิกษุสงฆ์ฉันอ้อยนั้น แล้วกระทำอนุโมทนา เปรตมี
จิตเลื่อมใส ถวายบังคมแล้วก็ไป ตั้งแต่นั้นมา เขาก็บริโภคอ้อย
ตามความสบาย.

543
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เปตวัตถุ เล่ม ๒ ภาค ๒ – หน้าที่ 544 (เล่ม 49)

สมัยต่อมา เขาทำกาละแล้วเกิดในหมู่เทพชั้นดาวดึงส์.
ก็ประวัติของเปรตนี้นั้นได้ปรากฏในมนุษยโลก. ลำดับนั้น พวก
มนุษย์เข้าไปเฝ้าพระศาสดาทูลถามเรื่องนั้น พระศาสดาตรัส
เรื่องนั้นแก่มนุษย์เหล่านั้นโดยพิสดาร แล้วทรงแสดงธรรม. พวก
มนุษย์ได้สดับธรรมนั้นแล้วได้เป็นผู้เว้นขาดจากความตระหนี่ ฉะนี้แล.
จบ อรรถกถาอุจฉุเปตวัตถุที่ ๕

544