No Favorites




หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เปตวัตถุ เล่ม ๒ ภาค ๒ – หน้าที่ 515 (เล่ม 49)

พระพุทธเจ้าพระองค์นั้นเป็นสรณะเถิด ชนทั้ง
หลายย่อมบรรลุอมตบทด้วยมรรคอันประกอบ
ด้วยองค์ ๘ ขอพระองค์พร้อมด้วยพระโอรส
และพระอัครมเหสี จงถึงมรรคมีองค์ ๘ และ
อมตบทเป็นสรณะเถิด พระอริยบุคคลผู้ปฏิบัติ
อยู่ในมรรค ๔ จำพวก และผู้ต้องอยู่ในผล ๔
จำพวก นี้เป็นพระสงฆ์ผู้ปฏิบัติซื่อตรง ประกอบ
ด้วยปัญญาและศีล ขอพระองค์พร้อมทั้งพระ-
โอรสและพระอัครมเหสี จงถึงพระสงฆ์นั้นเป็น
สรณะเถิด ขอพระองค์จงรีบงดเว้นจากการฆ่า
สัตว์ ลักทรัพย์ ทรงยินดีด้วยพระมเหสีของ
พระองค์ ไม่ตรัสเท็จ ไม่ทรงดื่มน้ำจัณฑ์เถิด.
พระราชาตรัสว่า :-
ดูก่อนเทวดา ท่านเป็นผู้ปรารถนาความ
เจริญแก่เรา ปรารถนาประโยชน์เกื้อกูลแก่เรา
เราจักทำตามคำของท่าน ท่านเป็นอาจารย์ของ
เรา เราจักเข้าถึงพระพุทธเจ้า พระธรรมและ
พระสงฆ์อันยอดเยี่ยมกว่าเทวดาและมนุษย์ว่า
เป็นสรณะ เราจะรีบงดเว้นจากการฆ่าสัตว์ ลัก
ทรัพย์ จะยินดีด้วยภรรยาของตน จะไม่พูดเท็จ
ไม่ดื่มน้ำเมา เราจะคลายความเห็นอันชั่วช้า

515
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เปตวัตถุ เล่ม ๒ ภาค ๒ – หน้าที่ 516 (เล่ม 49)

เหมือนโปรยแกลบลอยไปในลมอันแรง เหมือน
ทิ้งหญ้าและใบไม้ลอยไปในแม่น้ำมีกระแสอัน
เชี่ยว จักเป็นผู้ยินดีในพระพุทธศาสนา พระเจ้า
สุรัฐครั้นตรัสดังนี้แล้ว ทรงงดเว้นจากความเห็นอัน
ชั่วช้า ทรงนอบน้อมต่อพระผู้มีพระศาสดาแล้ว
เสด็จขึ้นทรงรถพระที่นั่ง บ่ายพระพักตร์ไปทาง
ทิศตะวันออก กลับคืนสู่พระนคร.
จบ นันทกเปตวัตถุที่ ๓
อรรถกถานันทกเปตวัตถุที่ ๓
เรื่องนันทกเปรตนี้ มีตำเริ่มต้นว่า ราชา ปิงฺคลโก นาม
ดังนี้. การอุบัติขึ้นของเรื่องนั้น เป็นอย่างไร ?
นับแต่พระศาสดาปรินิพพาน ล่วงไปได้ ๒๐๐ ปี ในสุรัฐวิสัย
ได้มีพระราชาพระองค์หนึ่ง ทรงพระนามว่า ปิงคละ. เสนาบดี
ของพระราชานั้น ชื่อว่า นันทกะ เป็นมิจฉาทิฏฐิ มีความผิดแปลก
เที่ยวยกย่องการถือผิด ๆ โดยนัยมีอาทิว่า ทานที่ทายกถวายแล้ว
ไม่มีผล ดังนี้. ธิดาของนายนันทกะนั้น เป็นอุบาสิกา ชื่อว่า อุตตรา
เขาได้ยกให้แต่งงานในตระกูลที่เสมอกัน. ฝ่ายนันทกเสนาบดี
ทำกาละแล้ว บังเกิดเป็นเวมานิกเปรต ที่ต้นไทรใหญ่ ในดงไฟไหม้.
เมื่อนันทกเสนาบดีนั้น ทำกาละแล้ว นางอุตตรา ได้ถวายหม้อน้ำดื่ม
เต็มด้วยน้ำหอมสะอาดและเยือกเย็น และขันอันเต็มด้วยขนม เพียบ

516
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เปตวัตถุ เล่ม ๒ ภาค ๒ – หน้าที่ 517 (เล่ม 49)

พร้อมด้วยสีกลิ่นและรส ที่ปรุงด้วยขนมกุมมาส แด่พระขีณาสพ-
เถระรูปหนึ่ง แล้วอุทิศว่า ขอทักษิณานี้จงสำเร็จแก่บิดาของเรา
เถิด. น้ำดื่มอันเป็นทิพย์ และขนมอันหาประมาณมิได้ ปรากฏแก่
เปรตนั้น เพราะทานนั้น. เขาเห็นดังนั้น จึงคิดอย่างนี้ว่า เราทำ
กรรมอันลามกหนอ ที่ให้มหาชนถือเอาผิด ๆ โดยนัยมีอาทิว่า
ทานที่ทายกถวายแล้ว ย่อมไม่มีผล ดังนี้ ก็บัดนี้ พระเจ้าปิงคละ
เสด็จไปโอวาทแด่พระเจ้าธรรมาโศก, พระองค์ประทานโอวาท
แล้ว จักเสด็จกลับมา เอาเถอะ เราจักบันเทานัตถิกทิฏฐิ. ไม่นานนัก
พระเจ้าปิงคละ ได้ให้โอวาทแด่พระเจ้าธรรมาโศก เมื่อจะเสด็จ
กลับ จึงทรงดำเนินไปทางนั้น.
ลำดับนั้น เปรตนั้น นิรมิตรหนทางนั้น ให้บ่ายหน้าไปยัง
ที่อยู่ของตน. ในเวลาเที่ยงตรง พระราชา เสด็จไปตามทางนั้น.
เมื่อพระองค์เสด็จไป หนทางข้างหน้าปรากฏอยู่ แต่หนทางข้างหลัง
ไม่ปรากฏแก่พระองค์. บุรุษผู้ไปหลังเขาทั้งหมด เห็นทางหายไป
จึงกลัว ร้องลั่น วิ่งไปกราบทูลแด่พระราชา, พระราชาทรงสดับ
ดังนั้น จึงตกพระหทัย มีพระหทัยสลด ประทับอยู่บทคอช้าง ตรวจดู
ทิศทั้ง ๔ เห็นต้นไทรอันเป็นที่อยู่ของเปรต จึงได้เสด็จบ่ายพระพักตร์
ไปยังต้นไทรนั้น พร้อมด้วยจตุรงคินีเสนา. ครั้นพระราชาเสด็จ
ถึงที่นั้น โดยดำดับ เปรตประดับด้วยอาภรณ์ทั้งปวง เข้าไปเฝ้า
พระราชา กระทำปฏิสันถาร ได้ถวายขนมและน้ำดื่ม. พระราชา
พร้อมด้วยข้าราชบริพาร ทรงสงสนาน เสวยขนมแล้วดื่มน้ำ ระงับ

517
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เปตวัตถุ เล่ม ๒ ภาค ๒ – หน้าที่ 518 (เล่ม 49)

ความเหน็ดเหนื่อยในหนทาง จึงตรัสถามเปรตโดยนัยมีอาทิว่า
ท่านเป็นเทวดา หรือเป็นคนธรรพ์. เปรตได้กราบทูลเรื่องของตน
ตั้งแต่ต้น จึงปลดเปลื้องพระราชา จากความเป็นมิจฉาทิฏฐิ ให้
ดำรงอยู่ในสรณะและศีล. เพื่อจะแสดงเรื่องนั้น พระสังคีติกาจารย์
ทั้งหลาย จึงกล่าวคาถาทั้งหลายว่า :-
ยังมีพระราชาพระองค์หนึ่ง ทรงพระนาม
ว่า ปิงคล ได้เป็นใหญ่ในสุรัฐประเทศ เสด็จ
ไปเฝ้าพระโมริยะแล้ว กลับมายังสุรัฐประเทศ
เสด็จมาถึงที่มีเปือกตม ในเวลาเที่ยง ซึ่งเป็น
เวลาร้อน ได้ทอดพระเนตรเห็นทางอันน่ารื่นรมย์
เป็นทางที่เปรตนิรมิตรไว้ จึงตรัสบอกนายสารถี
ว่า ทางนี้น่ารื่นรมย์ เป็นทางปลอดภัย มีความ
สวัสดี ไม่มีอุปัทวันตราย ดูก่อน นายสารถี ท่าน
จงตรงไปทางนี้แหละ เมื่อเราไปโดยทางนี้ จัก
ถึงเขตเมืองสุรัฐเร็วทีเดียว พระเจ้าสุรัฐ
ได้เสด็จไปโดยทางนั้น พร้อมด้วยจตุรงคเสนา
บุรุษคนหนึ่งสะดุ้งตกใจกลัว ได้กราบทูลพระเจ้า
สุรัฐว่า พวกเราเดินทางผิด เป็นทางน่ากลัว
ขนพองสยองเกล้า เพราะทางปรากฏเฉพาะข้าง
หน้า แต่ข้างหลังไม่ปรากฏ พวกเราเดินทางผิด
เสียแล้ว พวกเราเห็นจะเดินมาใกล้สำนักพวก

518
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เปตวัตถุ เล่ม ๒ ภาค ๒ – หน้าที่ 519 (เล่ม 49)

อมนุษย์ กลิ่นอมนุษย์ฟุ้งไป ข้าพระองค์ได้ยิน
เสียงอันพิลึกน่าสะพึงกลัว พระเจ้าสุรัฐ ทรง
สะดุ้งพระหทัย ตรัสกะนายสารถีว่า พวกเรา
เดินทางผิดเสียแล้ว เป็นทางน่ากลัว ขนพอง
สยองเกล้า เพราะทางปรากฏเฉพาะหน้า แต่
ข้างหลังไม่ปรากฏ พวกเราเดินทางผิด พวกเรา
เห็นจะเดินมาใกล้สำนักพวกอมนุษย์ กลิ่น
อมนุษย์ย่อมฟุ้งไป เราได้ยินเสียงน่าสะพึงกลัว
แล้วเสด็จขึ้นสู่คอช้าง ทอดพระเนตรไปในทิศ
ทั้ง ๔ ได้ทรงเห็นต้นไทรต้นหนึ่ง มีร่มเงาชิด
สนิทดี เขียวชะอุ่มดุจสีเมฆ มีสีและสัณฐาน
คล้ายเมฆ จึงรับสั่งกะนายสารถีว่า ป่าใหญ่เขียว
ชะอุ่มดุจสีเมฆ มีสีและสัณฐานคล้ายเมฆปรากฏ
อยู่นั่นใช่ไหม ?
นายสารถีกราบทูลว่า :-
ข้าแต่มหาราช นั่นเป็นต้นไทร มีร่มเงา
ชิดสนิทดี เขียวชะอุ่ม มีสีและสัณฐานคล้ายเมฆ
พระเจ้าสุรัฐ เสด็จเข้าไปจนถึงต้นไทรใหญ่ที่
ปรากฏอยู่แล้ว เสด็จลงจากคอช้าง เข้าไป
ต้นไทร ประทับนั่งที่โคนต้น พร้อมด้วยหมู่
อำมาตย์ราชบริพาร ได้ทอดพระเนตรเห็นขันน้ำ

519
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เปตวัตถุ เล่ม ๒ ภาค ๒ – หน้าที่ 520 (เล่ม 49)

มีน้ำเต็ม และขนมอันหวานอร่อย บุรุษมีเพศดัง
เทวดา ประดับด้วยอาภรณ์ทั้งปวง เข้าไปเฝ้า
พระเจ้าสุรัฐแล้ว ได้กราบทูลว่า ข้าแต่มหาราช
พระองค์ เสด็จมาดีแล้วและพระองค์ไม่ได้เสด็จ
มาร้าย ข้าแต่พระองค์ ผู้กำจัดศัตรู เชิญพระองค์
เสวยน้ำและขนมเถิดพระเจ้าข้า พระเจ้าสุรัฐ
พร้อมด้วยอำมาตย์และข้าราชบริพาร พากันดื่ม
น้ำและขนมแล้ว จึงถามว่า ท่านเป็นเทพ เป็น
คนธรรพ์ หรือเป็นท้าวสักกะปุรินททะ พวกเรา
ไม่รู้จักท่าน จักขอถาม พวกเราจะพึงรู้จักท่าน
ได้อย่างไร ?
นันทกเปรตกราบทูลว่า :-
ข้าแต่มหาราชเจ้า ข้าพระองค์ไม่ใช่
เทวดา ไม่ใช่คนธรรพ์ ไม่ใช่ท้าวสักกะปุรินททะ
ข้าพระองค์เป็นเปรต จากประเทศสุรัฐ มาอยู่
ที่นี่.
พระราชาตรัสถามว่า :-
เมื่อก่อนท่านอยู่ในประเทศสุรัฐมีปกติ
อย่างไร มีความประพฤติอย่างไร ท่านมีอานุภาพ
อย่างนี้ เพราะพรหมจรรย์อย่างไร ?

520
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เปตวัตถุ เล่ม ๒ ภาค ๒ – หน้าที่ 521 (เล่ม 49)

นันทกเปรตตอบว่า :-
ข้าแต่มหาราชเจ้า ผู้กำจัดหมู่ศัตรู ผู้ผดุง
รัฐให้เจริญ ขอพระองค์ อำมาตย์ราชบริพาร และ
พราหมณ์ปุโรหิต จงสดับฟัง ข้าแต่พระองค์ผู้
ประเสริฐ เมื่อก่อนข้าพระองค์เป็นบุรุษอยู่ใน
เมืองสุรัฐ เป็นคนใจบาป เป็นมิจฉาทิฏฐิ เป็น
คนทุศีล เป็นคนตระหนี่ บริภาษสมณพราหมณ์
ทั้งหลาย ห้ามปรามมหาชน ซึ่งพากันทำบุญให้
ทาน ทำอันตรายแก่หมู่ชนเหล่าอื่น ผู้กำลังให้
ทาน ได้ห้ามว่า ผลแห่งทาน ไม่มี ผลแห่งการ
สำรวม จักมีแต่ที่ไหน ใคร ๆ ผู้ชื่อว่า เป็น
อาจารย์ไม่มี ใครจักฝึกฝนบุคคล ผู้ไม่เคยฝึกฝน
แล้วได้เล่า สัตว์ทั้งหลายเป็นสัตว์เสมอกันทั้งสิ้น
การเคารพอ่อนน้อมต่อผู้เจริญในตระกูล จักมี
แต่ที่ไหน กำลังหรือความเพียรไม่มี ความพาก-
เพียรของบุรุษ จักมีแต่ที่ไหน ผลแห่งทานไม่มี
ทานและศีล ไม่ทำบุคคลผู้มีเวรให้หมดจดได้
สัตว์ย่อมได้ของที่ควรได้ สัตว์เมื่อจะได้สุข
หรือทุกข์ ย่อมได้สุขหรือทุกข์ อันเกิดแต่ที่น้อม
มาเอง มารดา บิดา พี่ชาย น้องชาย ไม่มี โลก
อื่นจากโลกนี้ ก็ไม่มี ทานอันบุคคลให้แล้ว

521
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เปตวัตถุ เล่ม ๒ ภาค ๒ – หน้าที่ 522 (เล่ม 49)

ย่อมไม่มีผล พลีกรรมไม่มีผล แม้ทานอันบุคคล
ตั้งไว้ดีแล้ว ก็ไม่มีผล บุรุษใด ฆ่าบุรุษอื่น และ
ตัดศีรษะบุรุษอื่น จะจัดว่าบุรุษนั้นทำลายชีวิต
ของผู้อื่น หาได้ไม่ ไม่มีใครฆ่าใคร เป็นแต่ศัตรา
ย่อมเข้าไปในระหว่างช่องกาย ๗ ช่องเท่านั้น
ชีพของสัตว์ทั้งหลายไม่ขาดสูญ ไม่แตกทำลาย
บางคราวมี ๘ เหลี่ยม บางคราวกลมเหมือนงบ
น้ำอ้อย บางคราวสูงตั้ง ๕๐๐ โยชน์ ใครเล่า
สามารถตัดชีพให้ขาดได้ เหมือนหลอดด้ายอัน
บุคคลซัดไปแล้วหลอดด้ายนั้น อันด้ายคลายอยู่
ย่อมกลิ้งไปได้ ฉันใด ชีพนั้น ก็ฉันนั้น ย่อม
แหวกหนีไปจากร่างได้ บุคคลผู้ออกไปจากบ้านนี้
ไปเข้าบ้านอื่นฉันใด ชีพนั้นก็ออกจากร่างนี้แล้ว
ไปเข้าร่างอื่นฉันนั้นเหมือนกัน บุคคลออกจาก
เรือนหลังนี้ แล้วไปเข้าเรือนหลังอื่นฉันใด แม้
ชีพนั้น ก็ออกจากร่างนี้แล้ว ไปเข้าร่างอื่นฉันนั้น
เหมือนกัน เมื่อสิ้นกำหนด ๘,๔๐๐,๐๐๐ มหากัป
สัตว์ทั้งหลาย ทั้งที่เป็นพาล ทั้งที่เป็นบัณฑิต
จักยังสงสารให้สิ้นไปแล้ว จักทำที่สุดแห่งทุกข์
ได้เอง สุขและทุกข์เหมือนตักตวงได้ ด้วย
ทะนานและกระเช้า พระชินเจ้า ย่อมรู้ทั่วถึง

522
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เปตวัตถุ เล่ม ๒ ภาค ๒ – หน้าที่ 523 (เล่ม 49)

สุขทุกข์ทั้งปวง สัตว์นอกนี้ ล้วนเป็นผู้ลุ่มหลง
เมื่อชาติก่อน ข้าพระองค์มีความเห็นอย่างนี้ จึง
ได้เป็นคนหลง ถูกโมหะครอบงำ เป็นมิจฉาทิฏฐิ
ทุศีล ตระหนี่ บริภาษสมณพราหมณ์ ภายใน
๖ เดือน ข้าพระองค์จักทำกาลกิริยา จักตกไป
ในนรกอันเผ็ดร้อน ร้ายกาจ โดยส่วนเดียว นรก
นั้นมี ๔ เหลี่ยม ๔ ประตู จำแนกออกเป็นส่วน ๆ
ล้อมด้วยกำแพงเหล็ก ครอบด้วยแผ่นเหล็ก พื้น
นรกนั้น เป็นเหล็กแดง ลุกเป็นเปลวเพลิงโชติช่วง
แผ่ไป ๑๐๐ โยชน์ โดยรอบตั้งอยู่ทุกเมื่อ ล่วงไป
แสน ในกาลนั้นข้าพระองค์จึงได้ยินเสียงใน
นรกนั้นว่า แน่ะ เพื่อนยาก เมื่อพวกเราไหม้อยู่
ในนรกนี้ กาลประมาณแสนปีล่วงไปแล้ว ข้าแต่
มหาราชเจ้า แสนโกฏิปีเป็นกำหนดอายุของสัตว์
ผู้หมกไหม้อยู่ในนรก ชนทั้งหลายเป็นมิจฉาทิฏฐิ
เป็นคนทุศีล ติเตียนพระอริยเจ้า ย่อมหมกไหม้
อยู่ในนรก แสนโกฏิปี ข้าพระองค์จักเสวย
ทุกขเวทนาอยู่ในนรกนั้น ตลอดกาลนานนี้ เป็น
ผลเเห่งกรรมชั่วของข้าพระองค์ เพราะฉะนั้น
ข้าพระองค์ จึงเศร้าโศกนัก ข้าแต่มหาราชเจ้า
กำจัดศัตรูเป็นที่ที่เจริญใจของชาวแว่นแคว้น

523
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เปตวัตถุ เล่ม ๒ ภาค ๒ – หน้าที่ 524 (เล่ม 49)

ขอพระองค์จงทรงสดับคำของข้าพระองค์ ขอ
ความเจริญจงมีแด่พระองค์ ธิดาของข้าพระองค์
ชื่อ อุตตรา ทำแต่ความดี ยินดีแล้วในนิจศีล
และอุโบสถศีล ยินดีในทาน และการจำแนกทาน
รู้ความประสงค์ของผู้ขอ ปราศจากความตระหนี่
ปกติทำไม่ให้ขาดในสิกขา เป็นลูกสะใภ้ใน
ตระกูลอื่น เป็นอุบาสิกาของพระมหาศากยมุนี
สัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้ทรงศิริ ข้าแต่มหาราชเจ้า
ขอความเจริญจงมีแด่พระองค์ นางอุตตราได้
เห็นภิกษุผู้สมบูรณ์ด้วยศีล เข้าไปบิณฑบาตใน
บ้าน มีจักษุทอดลงแล้ว มีสติคุ้มครองทวาร
สำรวมดีแล้ว เที่ยวไปตามลำดับตรอก เข้าไป
สู่บ้านนั้น นางได้ถวายน้ำขันหนึ่ง และขนมมี
รสหวาน อร่อยแล้ว อุทิศส่วนกุศลให้ข้าพระองค์
ว่า ข้าแต่ท่านผู้เจริญ ขอผลทานที่ดิฉันถวายนี้
จงพลันสำเร็จแก่ธิดาของดิฉัน ที่ตายไปแล้วเถอะ
ในทันใดนั้น ผลแห่งทานก็บังเกิด แก่ข้าพระองค์
ข้าพระองค์มีความประสงค์ สำเร็จได้ดังความ
ปรารถนา บริโภคกามสุข เหมือนดังท้าวเวส-
วัณมหาราช ข้าแต่มหาราชเจ้า ผู้กำจัดศัตรู
เป็นที่เจริญใจของชาวแว่นแคว้น ขอพระองค์

524