หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เปตวัตถุ เล่ม ๒ ภาค ๒ – หน้าที่ 205 (เล่ม 49)

พระอรหันต์ทั้งหลาย มีตนอันอบรมแล้ว
ทำกิจเสร็จแล้ว ไม่มีอาสวะ สิ้นบุญและบาป ยัง
ทอดทิ้งร่างกายนี้ไว้.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า มหทฺธนา ได้แก่ ชื่อว่า ผู้มีทรัพย์
มาก เพราะมีทรัพย์ที่ฝังไว้นั่นแหละมาก. บทว่า มหาโภคา ได้แก่
ประกอบด้วยโภคสมบัติมาก เช่นกับโภคสมบัติของเทพ. บทว่า
รฏฐวนฺโต แปลว่า มีแว่นแคว้นมาก. บทว่า ปหูตธนธญฺญาเส
ได้แก่ ผู้มีทรัพย์และธัญญาหาร หาที่สุดมิได้ โดยทรัพย์และธัญญา-
หาร ซึ่งจะต้องใช้จ่ายเป็นประจำ ที่เก็บฝังไว้ เพื่อใช้ได้ถึง ๓ ปี
หรือ ๔ ปี บทว่า เตปิ โน อชรามรา ความว่า กษัตริย์มีพระเจ้า
มันธาตุ และพระเจ้ามหาสุทัสสนะ เป็นต้น ผู้มีสมบัติมากถึงอย่างนั้น
จะเป็นผู้ไม่แก่ ไม่ตาย ไม่มีเลย คือ ตั้งอยู่ใกล้ปากมรณะ โดยแท้
ทีเดียว.
บทว่า เอเต ได้แก่ กษัตริย์ตามที่กล่าวแล้ว เป็นต้น. บทว่า
อญฺเญ ได้แก่ ชนเหล่าใดเหล่าหนึ่ง มีอัมพัฏฐะมาณพเป็นต้น
ผู้เป็นอยู่อย่างนั้น. บทว่า ชาติยา ความว่า เป็นผู้ไม่แก่ ไม่ตาย
ไม่มีเลย เพราะชาติของตนเป็นเหตุ.
บทว่า มนฺตํ ได้แก่เวท. บทว่า ปริวตฺเตนฺติ แปลว่า ย่อม
สาธยาย และย่อมบอก, อีกอย่างหนึ่ง บทว่า ปริวตฺเตนฺติ ได้แก่
ร่ายเวททำการบูชาเพลิง พร้อมพร่ำมนต์ไปด้วย. บทว่า ฉฬงฺคํ
ได้แก่ออกเสียงอ่านถูกจังหวะ คล่อง และไพเราะ กัปปะ ได้แก่

205
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เปตวัตถุ เล่ม ๒ ภาค ๒ – หน้าที่ 206 (เล่ม 49)

รู้จักแบบแผนทำกิจวิธีต่าง ๆ นิรุตติ ได้แก่ รู้จักมูลศัพท์ และ
คำแปลศัพท์ ไวยากรณ์ ได้แก่ รู้จักตำราภาษา โชติศาสตร์ ได้แก่
รู้จักดาวหาฤกษ์ และผูกดวงชะตา ฉันโทวิจิติ ได้แก่ รู้จักคณะฉันท์
และแต่งได้. บทว่า พฺรหฺมจินฺติตํ ได้แก่ พรหมคิด คือกล่าวเพื่อ
ประโยชน์แก่พวกพราหมณ์. บทว่า วิชฺชาย ได้แก่ ผู้ประกอบด้วย
วิชาเสมือนพรหม, อธิบายว่า แม้ท่านเหล่านั้น จะไม่แก่ ไม่ตาย
ไม่มีเลย.
บทว่า อิสโย ความว่า ชื่อว่าฤาษี เพราะอรรถว่า แสวงหา
พรตที่ประพฤติประจำ และพรตที่ประพฤติตามกาลกำหนดเป็นต้น
และปฏิกูลสัญญา เป็นต้น. บทว่า สนฺตา ได้แก่ สงบกายวาจา
เป็นสภาวะ. บทว่า สญฺญตตฺตา ได้แก่ มีจิตสำรวม ด้วยการสำรวม
กิเลส มีราคะเป็นต้น. ชื่อว่า ตปัสสี เพราะมี ตปะ กล่าวคือ ทำกาย
ให้เร่าร้อน. อนึ่ง บทว่า ตปสฺสิโน แปลว่า ผู้สำรวม. ด้วยคำว่า
ตปสฺสิโน นั้น ท่านแสดงว่า เป็นผู้อาศัยตปะอย่างนั้น และเป็น
ผู้ปรารถนา เพื่อจะหลุดพ้นจากสรีระ ก็เป็นผู้สำรวม ย่อมละ
สรีระได้ทีเดียว. อีกอย่างหนึ่ง บทว่า อิสโย ชื่อว่า อิสยะ เพราะ
อรรถว่า แสวงหาอธิสีลสิกขาเป็นต้น, ชื่อว่า ผู้สงบ เพราะเข้าไป
สงบบาปธรรม อันเป็นปฏิปักษ์ต่ออธิสีลสิกขานั้น ก็เพื่อประโยชน์
แก่อธิสีลสิกขานั้น. ชื่อว่า มีตนสำรวมแล้ว เพราะสำรวมจิตไว้
ในอารมณ์อันเดียวกัน ชื่อว่า ตปัสสี เพราะมีความเพียรเครื่อง
เผาบาป โดยประกอบความเพียรชอบ. บัณฑิตพึงประกอบความว่า

206
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เปตวัตถุ เล่ม ๒ ภาค ๒ – หน้าที่ 207 (เล่ม 49)

ที่มีความเพียรเป็นเครื่องประกอบ ชื่อว่า ตปัสสี เพราะทำกิเลส
มีราคะเป็นต้น ให้เร่าร้อน. บทว่า ภาวิตฺตตา ได้แก่ ผู้มีจิตอันอบรม
แล้ว ด้วยกัมมัฏฐานภาวนา อันมีสัจจะ ๔ เป็นอารมณ์.
เมื่อฆฏบัณฑิตกล่าวธรรมอย่างนี้ พระราชาได้ทรงสดับ
ดังนั้น เป็นปราศจากลูกศรคือความโศก มีใจเลื่อมใส เมื่อจะ
สรรเสริญฆฏบัณฑิต จึงได้กล่าวคาถาที่เหลือว่า
เธอดับความกระวนกระวายทั้งปวงของ
เราผู้เร่าร้อนให้หายไป เหมือนบุคคลเอาน้ำดับไฟ
ที่ราดด้วยน้ำมัน ฉะนั้น เธอบรรเทาความโศก
ถึงบุตรของเรา ผู้ถูกความโศกครอบงำ ได้ถอน
ขึ้นแล้วหนอ ซึ่งถูกศรคือความโศกอันเสียบแทง
ที่หทัยของเรา เราเป็นผู้มีลูกศรคือความโศก
อันถอนขึ้นแล้ว เป็นผู้เย็นสงบแล้ว เราจะไม่
เศร้าโศก ไม่ร้องไห้อีก เพราะได้ฟังคำของเธอ
ชนเหล่าใดผู้มีปัญญา ผู้อนุเคราะห์กันแลกัน
ชนเหล่านั้น ย่อมทำอย่างนี้ ย่อมยังกันและกัน
ให้หายโศก เหมือนเจ้าชายฆฏบัณฑิตทำพระ-
เชษฐา ให้หายโศก ฉะนั้น
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ฆโฏ เชฏฺฐํ ว ภาตรํ ความว่า
เหมือนฆฏบัณฑิต ทำพระเชษฐาของตน ผู้ถูกความเศร้าโศก เพราะ
บุตรตายไปครอบงำ ให้พ้นจากความเศร้าโศกเพราะบุตรนั้น ด้วย

207
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เปตวัตถุ เล่ม ๒ ภาค ๒ – หน้าที่ 208 (เล่ม 49)

ความที่ตนเป็นผู้ฉลาดในอุบาย และด้วยธรรมกถา ฉันใด แม้ผู้อื่น
ผู้มีปัญญา มีความอนุเคราะห์ก็ฉันนั้น ย่อมกระทำอุปการะแก่ญาติ
ทั้งหลาย.
บทว่า ยสฺส เอตาทิสา โหนติ นี้ เป็นคาถาแห่งพระองค์
ผู้ตรัสรู้ยิ่ง. คำแห่งคาถานั้น มีอธิบายดังต่อไปนี้ ฆฏบัณฑิต ย่อม
ไปตาม คือติดตาม พระเจ้าวาสุเทพ ผู้อันความเศร้าโศก เพราะ
บุตรครอบงำ ด้วยคำอันเป็นสุภาษิต เพื่อกำจัดความเศร้าโศก
ด้วยประการใด คือ ด้วยเหตุใด. อำมาตย์ เป็นบัณฑิต ก็เช่นนั้น
อันผู้ใดผู้หนึ่งจะพึงได้ ความเศร้าโศกของท่านจักมีแต่ที่ไหน
ฉะนี้แล. คาถาที่เหลือ มีอรรถดังกล่าวแล้ว ในหนหลังนั่นแล.
พระศาสดา ครั้นทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแล้ว จึง
ตรัสว่า อย่างนั้นอุบาสก โปราณกบัณฑิตทั้งหลาย ฟังถ้อยคำของ
บัณฑิตทั้งหลายแล้ว ขจัดความเศร้าโศกเพราะบุตรเสียได้ ดังนี้แล้ว
จงประกาศสัจจะประชุมชาดก. ในที่สุดสัจจะ อุบาสกดำรงอยู่
ในโสดาปัตติผลแล.
จบ อรรถกถากัณหเปตวัตถุที่ ๖

208
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เปตวัตถุ เล่ม ๒ ภาค ๒ – หน้าที่ 209 (เล่ม 49)

๗. ธนปาลเปตวัตถุ
ว่าด้วยเปรตหิว ๕๕ ปี
พวกพ่อค้าถามเปรตตนหนึ่งว่า
[๑๐๔] ท่านเปลือยกาย มีรูปร่างน่าเกลียด
ผอม สะพรั่งไปด้วยเส้นเอ็น เห็นกระดูกซี่โครง
แน่ะเพื่อนยาก ท่านเป็นใครหนอ.
เปรตนั้นตอบว่า
ข้าแต่ท่านผู้เจริญทั้งหลาย ข้าพเจ้าเป็น
เปรต ทุกข์ยาก เกิดอยู่ในยมโลก ได้ทำกรรมอัน
ลามกไว้ จึงจากโลกนี้ไปสู่เปตโลก.
พวกพ่อค้าถามว่า
ท่านทำกรรมชั่วอะไรไว้ด้วยกายวาจาใจ
หรือ เพราะวิบากแห่งอะไร ท่านจึงจากโลกนี้ไป
สู่เปตโลก.
เปรตนั้นตอบว่า
มีพระนครของพระเจ้าทสันนราช ปรากฏ
นานว่า เอรกัจฉะ เมื่อก่อนข้าพเจ้าเป็นเศรษฐีอยู่
ในนครนั้น ประชาชนเรียกข้าพเจ้าว่า ธนปาล-
เศรษฐี ข้าพเจ้ามีเงิน ๘๐ เล่มเกวียน ทองคำ แก้ว-

209
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เปตวัตถุ เล่ม ๒ ภาค ๒ – หน้าที่ 210 (เล่ม 49)

มุกดา แก้วไพฑูรย์ ก็มีมากมายเหลือที่จะนับ
แม้ข้าพเจ้าจะมีทรัพย์มากมายถึงเพียงนั้น ก็ไม่รัก
ที่จะให้ทาน ปิดประตูบริโภคอาหารด้วยคิดว่า
พวกยาจกอย่าได้เป็นเรา ข้าพเจ้าไม่มีศรัทธา เป็น
คนตระหนี่เหนียวแน่น ได้ด่าว่าพวกยาจก และ
ห้ามปรามมหาชนผู้ให้ทานทำบุญ เป็นต้น ด้วยคำ
ว่า ผลแห่งทานไม่มี ผลแห่งการสำรวมจักมีแต่
ที่ไหน ได้ทำลายสระน้ำ บ่อนำที่เขาขุดไว้ สวน
ดอกไม้ สวนผลไม้ ศาลาน้ำ และสะพานในที่ดิน
ลำบาก ที่เขาปลูกสร้างให้พินาศ ข้าพเจ้านั้นไม่ได้
ทำความดีไว้เลย ทำแต่ความชั่วไว้ จุติจากชาติ
นั้นแล้ว บังเกิดในปิตติวิสัย เพียบพร้อมไปด้วย
ความหิวกระหายตลอด ๕๕ ปี ตั้งแต่ตายแล้ว
ข้าพเจ้ายังไม่ได้กินข้าวและน้ำเลยแม้แต่น้อย การ
สงวนทรัพย์ คือ ไม่ให้แก่ใคร ๆ เป็นความพินาศ
ของสัตว์ทั้งหลาย ความฉิบหายก็คือการสงวน
ทรัพย์ ได้ยินว่าเปรตทั้งหลายรู้ว่า การสงวน
ทรัพย์คือการไม่ให้แก่ใคร ๆ เป็นความพินาศ
เมื่อก่อนข้าพเจ้าสงวนทรัพย์ไว้ เมื่อทรัพย์มีอยู่
เป็นอันมาก ไม่ให้ทาน เมื่อไทยธรรมมีอยู่ ไม่ทำ
ที่พึ่งแก่ตน ข้าพเจ้าได้รับผมแห่งกรรมของตน

210
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เปตวัตถุ เล่ม ๒ ภาค ๒ – หน้าที่ 211 (เล่ม 49)

จึงเดือดร้อนในภายหลัง พ้นจาก ๔ เดือนไปแล้ว
ข้าพเจ้าจักตาย จักไปตกนรกอันเผ็ดร้อนสาหัส
มี ๔ เหลี่ยม ๔ ประตู จำแนกเป็นห้อง ๆ ล้อม
ด้วยกำแพงเหล็ก ครอบด้วยแผ่นเหล็ก พื้นของ
นรกนั้น ล้วนแล้วด้วยทองแดงลุกเป็นเปลวเพลิง
ประกอบด้วยความร้อน แผ่ไปตลอดร้อยโยชน์
โดยรอบ ตั้งอยู่ทุกเมื่อ ข้าพเจ้าจักต้องเสวยทุกข-
เวทนาในนรกนั้นตลอดกาลนาน ก็การเสวย
ทุกขเวทนาเช่นนี้ เป็นผลแห่งกรรมอันชั่ว เพราะ
ฉะนั้น ข้าพเจ้าจึงเศร้าโศกที่จะไปเกิดในนรกอัน
เร่าร้อนนั้น ข้าแต่ท่านผู้เจริญทั้งหลาย ข้าพเจ้า
ขอเดือนท่านทั้งหลาย ขอความเจริญจงมีแก่ท่าน
ทั้งหลายผู้มาประชุมกันในที่นี้ พวกท่านอย่าได้
ทำบาปกรรมในที่ไหน ๆ คือ ในที่แจ้งหรือที่ลับ
ถ้าพวกท่านจักกระทำ หรือกระทำบาปกรรมนั้น
ไว้ แม้พวกท่านจะเหาะหนีไปอยู่ที่ไหน ก็ย่อม
ไม่พ้นไปจากทุกข์ ขอท่านทั้งหลายจงเลี้ยงมารดา
จงเลี้ยงบิดา ประพฤติอ่อนน้อมต่อผู้ใหญ่ในสกุล
เป็นผู้เกื้อกูลแก่สมณะและพราหมณ์ ท่าน
ทั้งหลายจักไปสวรรค์ด้วยการปฏิบัติอย่างนี้
บุคคลจะอยู่ในอากาศ ในท่ามกลางมหาสมุทร

211
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เปตวัตถุ เล่ม ๒ ภาค ๒ – หน้าที่ 212 (เล่ม 49)

หรือเข้าไปสู่ช่องภูเขา จะพึงพ้นจากบาปกรรม
ไม่มี หรือบุคคลอยู่ในส่วนแห่งภาคพื้นใด พึงพ้น
จากบาปกรรม ส่วนแห่งภาคพื้นนั้นไม่มี.
จบ ธนปาลเปตวัตถุที่ ๗
อรรถกถาธนปาลเสฏฐิเปตวัตถุที่ ๗
พระศาสดาเมื่อเสด็จประทับอยู่ในพระเชตวันมหาวิหาร
ทรงปรารภเปรตธนบาล จงตรัสพระคาถานี้มีคำเริ่มต้นว่า นคฺโค
ทุพฺพณฺณรูโปสิ.
ได้ยินว่า เมื่อพระพุทธเจ้ายังไม่เสด็จอุบัติในนครเอรกัจฉะ-
ปัณณรัฐ ยังมีเศรษฐีคนหนึ่ง ชื่อว่า ธนปาลกะ เป็นผู้ไม่มีศรัทธา
ไม่มีความเลื่อมใส เป็นคนตระหนี่ เป็นนัตถิกทิฏฐิบุคคล กิริยา
ของเขาปรากฏตามพระบาลีนั่นแหละ. เขาทำกาละแล้วบังเกิด
เป็นเปรตในกันตารทะเลทราย เขามีร่างกายประมาณเท่าลำต้นตาล
มีผิวหนังปูดขึ้นหยาบ มีผมยุ่งเหยิง น่าสะพึงกลัว มีรูปพรรณ
น่าเกลียด มีรูปขี้เหร่พิลึก เห็นเข้าน่าสะพึงกลัว เขาไม่ได้เมล็ดข้าว
หรือหยาดน้ำตลอด ๕๕ ปี มีคอ ริมฝีปาก และลิ้นแห้งผาก ถูกความ
หิวกระหายครอบงำ เที่ยวงุ่นง่านไปทางโน้นทางนี้.
ครั้นเมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าของเราทั้งหลายเสด็จอุบัติขึ้น
ในโลก ทรงประกาศพระธรรมจักรอันบวร ประทับอยู่ในกรุงสาวัตถี
โดยลำดับ พ่อค้าชาวกรุงสาวัตถีบรรทุกสิ้นค้าเต็ม ๕๐๐ เล่มเกวียน

212
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เปตวัตถุ เล่ม ๒ ภาค ๒ – หน้าที่ 213 (เล่ม 49)

ไปยังอุตตราปถชนบท ขายสินค้า แล้วเอาเกวียนบรรทุกสินค้า
ที่ได้กลับมา ในเวลาเย็น ถึงแม่น้ำแห้งสายหนึ่ง จึงปลดเกวียน
ไว้ในที่นั้น พักแรมอยู่ราตรีหนึ่ง ลำดับนั้น เปรตนั้นถูกความ
กระหายครอบงำมาเพื่อต้องการน้ำดื่ม ไม่ได้น้ำดื่มแม้สักหยาดเดียว
ในที่นั้น หมดหวัง ขาอ่อนล้มลง เหมือนตาลรากขาดฉะนั้น. พวก
พ่อค้าเห็นดังนั้น จึงพากันถามด้วยคาถานี้ว่า :-
ท่านเปลือกกายมีรูปร่างน่าเกลียด ซูบผอม
สะพรั่งไปด้วยเส้นเอ็น เห็นกระดูกซี่โครง แน่ะ
เพื่อนยาก ท่านเป็นใครกันหนอ.
ลำดับนั้นเปรตตอบว่า :-
ท่านผู้เจริญ ข้าพเจ้าเป็นเปรตทุกข์ยาก
เกิดในยมโลก ทำกรรมชั่วไว้ จึงจากโลกนี้ไปสู่
เปตโลก.
ครั้นอ้างตนดังนี้แล้ว ถูกพ่อค้าถามถึงกรรมที่เขาทำอีกว่า :-
ท่านทำกรรมชั่วอะไรไว้ด้วยกายวาจาและ
ใจ เพราะวิบากของกรรมอะไร จึงจากโลกนี้ไป
ยังเปตโลก.
เมื่อจะแสดงประวัติของตน ทั้งอดีต ปัจจุบัน และอนาคต
เดิมแต่ที่ที่ตนเกิดในกาลก่อน และเมื่อจะให้โอวาทแก่พวกพ่อค้า
ได้กล่าวคาถาเหล่านี้ ความว่า :-

213
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เปตวัตถุ เล่ม ๒ ภาค ๒ – หน้าที่ 214 (เล่ม 49)

มีพระนครของพระเจ้าทสันนราช๑ ปรากฏ
นามว่า เอรกัจฉะ เมื่อก่อนข้าพเจ้าเป็นเศรษฐี
อยู่ในพระนครนั้น ประชาชนเรียกข้าพเจ้าว่า
ธนปาลเศรษฐี ข้าพเจ้ามีเงิน ๘๐ เล่มเกวียน
ทองคำ แก้วมุกดา แก้วไพฑูรย์ ก็มีมากมาย
เหลือที่จะนับ แม้ข้าพเจ้า จะมีทรัพย์มากมายถึง
เพียงนั้น ก็ไม่รักที่จะให้ทาน ปิดประตูบริโภค
อาหาร ด้วยคิดว่า พวกยาจก อย่าได้เห็นเรา
ข้าพเจ้าไม่มีศรัทธา เป็นคนตระหนี่เหนียวแน่น
ได้ด่าพวกยาจกและห้ามปรามมหาชน ผู้ให้ทาน
ทำบุญเป็นต้น ด้วยคำว่า ผลแห่งทานไม่มี ผล
แห่งการสำรวมจักมีแต่ที่ไหน ได้ทำลายสระน้ำ
บ่อน้ำ ที่ขุดไว้ สวนดอกไม้ สวนผลไม้ ศาลาน้ำ
และสะพานในที่เดินลำบาก ที่เขาปลูกสร้างให้
พินาศไป ข้าพเจ้านั้นไม่ได้ทำคุณงามความดีไว้
เลย ทำแต่กรรมชั่วไว้ จุติจากชาตินั้นแล้ว เกิด
ในเปตวิสัย เพียบพร้อมไปด้วยความหิวกระหาย
ตลอด ๕๕ ปี ตั้งแต่ตายแล้ว ข้าพเจ้ายังไม่ได้กิน
ข้าวและน้ำเลย แม้แต่น้อย การสงวนทรัพย์ คือ
๑. ม. พระเจ้าปัณณราช (ปณฺณานํ).

214