หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ เล่ม ๒ – หน้าที่ 261 (เล่ม 4)

ระแหงกีบโค. ก็ถ้าว่า ระแหงกีบโคนั้น ติดกับแผ่นดินทางพื้นล่าง แม้ใน
วันเดียวจะแยกออก ก็ไม่ควร. ภิกษุถือเอาดินเหนียวที่ถูกไถตัด แม้ในที่
ที่ชาวนาไถไว้ ก็มีนัยอย่างนั้นเหมือนกัน.
เสนาสนะเก่า ไม่มีหลังคา หรือมีหลังคาพังก็ตาม ถูกฝนตกรดเกิน
๔ เดือน ย่อมถึงซึ่งอันนับว่า ปฐพีแท้เหมือนกัน. ภิกษุจะถือเอากระเบื้อง
มุงหลังคา หรือเครื่องอุปกรณ์มีกลอนเป็นต้น ที่เหลือจากเสนาสนะเก่านั้น
ด้วยสำคัญว่า เราจะเอาอิฐ จะเอากลอน จะเอาเชิงฝา จะเอากระดานปูพื้น
จะเอาเสาหิน ดังนี้ ควรอยู่. ดินเหนียวตกลงติดกับกระเบื้องหลังคาเป็นต้นนั้น
ไม่เป็นอาบัติ. แต่เป็นอาบัติแก่ภิกษุผู้เอาดินเหนียวที่ฉาบฝา. ถ้าดินก้อนใดๆ
ไม่เปียกชุ่ม, ภิกษุถือเอาดินก้อนนั้น ๆ ไม่เป็นอาบัติ.
ภายในเรือนมีกองดิน เมื่อกองดินนั้น ถูกฝนตกรดเสียวันหนึ่ง ชน-
ทั้งหลายจึงมุงเรือน. ถ้ากองดินเปียกทั้งหมด, ต่อล่วงไปได้ ๔ เดือน กลายเป็น-
ปฐพีแท้เหมือนกัน. ถ้าส่วนเบื้องบนแห่งกองดินนั้นเท่านั้นเปียก ภายใน
ไม่เปียก จะใช้ให้พวกกัปปียการกคุ้ยเอาดินเท่าจำนวนที่เปียกออกเสีย ด้วย
กัปปิยโวหารแล้ว ใช้สอยดินส่วนที่เหลือตามสะดวกก็ควร. จริงอยู่ ดินที่
เปียกน้ำแล้วจับติดเนื่องเป็นอันเดียวกันนั่นแล จัดเป็นปฐพีแท้. นอกนี้
ไม่ใช่แล.
กำแพงดินเหนียวอยู่ในที่แจ้ง ถ้าถูกฝนตกรดเกิน ๔ เดือน ย่อมถึง
อันนับว่า ปฐพีแท้. แต่ภิกษุจะเอามือเปียกจับต้องดินร่วนอันติดอยู่ที่ปฐพีแท้
นั้น ควรอยู่. ถ้าหากว่า เป็นกำแพงอิฐ ทั้งอยู่ในฐานเป็นเศษกระเบื้องอิฐ.
เสียโดยมาก จะคุ้ยเขี่ยออกตามสบาย ก็ได้.

261
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ เล่ม ๒ – หน้าที่ 262 (เล่ม 4)

ภิกษุจะโยกเอาเสามณฑปที่ตั้งอยู่ในที่แจ้ง ไปทางโน้นทางนี้ ทำให้
ดินแยกออก ไม่ควร ยกขึ้นตรง ๆ เท่านั้น จึงควร. สำหรับภิกษุผู้จะถือเอา
ต้นไม้แห้ง หรือตอไม้แห้งแม้อย่างอื่น ก็นัยนี้แล. ภิกษุทั้งหลายเอาพวกไม้ท่อน
งัดหิน หรือต้นไม้กลิ้งไป เพื่อการก่อสร้าง. แผ่นดินในที่กลิ้งไปนั้น แตก
เป็นรอย. ถ้าภิกษุทั้งหลายมีจิตบริสุทธิ์กลิ้งไป ไม่เป็นอาบัติ. แต่ทว่า ภิกษุ
ทั้งหลาย เป็นผู้ใคร่จะทำลายแผ่นดินด้วยเลศนั้นนั่น เอง เป็นอาบัติ. พวก
ภิกษุผู้ลากกิ่งไม้เป็นต้นไปก็ดี ผ่าพื้นบนแผ่นดินก็ดี ก็มีนัยอย่างนี้เหมือนกัน
จะตอกหรือจะเสียบแม้วัตถุอย่างใดอย่างหนึ่ง มีกระดูก เข็มและหนามเป็นต้น
ลงไปในแผ่นดิน ก็ไม่ควร. แม้จะถ่ายปัสสาวะ ด้วยคิดอย่างนี้ว่า เราจะพัง
แผ่นดินด้วยกำลังแห่งสายน้ำปัสสาวะ ก็ไม่ควร. เมื่อภิกษุถ่ายดินพัง เป็นอาบัติ.
แม้จะเอาไม้กวาดครูดถู ด้วยติดว่า เราจักทำพื้นดินที่ไม่เสมอ ให้เสมอ ดังนี้
ก็ไม่ควร. ความจริง ควรจะกวาดด้วยหัวข้อแห่งวัตรเท่านั้น.
ภิกษุบางพวก กระทุ้งแผ่นดิน ด้วยปลายไม้เท้า เอาปลายนิ้วหัวแม่เท้า
ขีดเขียน (แผ่นดิน). เดินจงกรมทำลายแผ่นดิน ครั้งแล้วครั้งเล่า ด้วยคิดว่า
เราจักแสดงสถานที่ที่เราจงกรม ดังนี้, กรรมเช่นนั้น ไม่ควรทุกอย่าง. แต่ภิกษุ
ผู้กระทำสมณธรรมเพื่อยกย่องความเพียร มีจิตบริสุทธิ์ จงกรม สมควรอยู่.
เมื่อกระทำ (การเดินจงกรมอยู่แผ่นดิน) จะแตกก็ไม่เป็นอาบัติ. ภิกษุทั้งหลาย
ครูดสีที่แผ่นดิน ด้วยคิดว่า จักล้างมือ ไม่ควร. ส่วนภิกษุ ผู้ไม่ครูดสี
แต่วางมือเปียกลงบนแผ่นดิน แล้วแตะเอาละอองไป ได้อยู่. ภิกษุบางพวก
อาพาธด้วยโรคคัน และหิดเป็นต้น จึงครูดสีอวัยวะใหญ่น้อยลงบนที่มีตลิ่งชัน
เป็นต้น, การทำนั้น ก็ไม่สมควร.

262
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ เล่ม ๒ – หน้าที่ 263 (เล่ม 4)

[ว่าด้วยการะขุดเองและการใช้ให้ขุดแผ่นดินเป็นต้น]
สองบทว่า ขนติ วา ขนาเปติ วา มีความว่า ภิกษุขุดเองก็ดี ใช้ให้
ผู้อื่นขุดก็ดี (ซึ่งแผ่นดิน) ชั้นที่สุดด้วยปลายนิ้วเท้าบ้าง ด้วยซี่ไม้กวาดบ้าง
สองบทว่า ภินฺทติ วา ภินฺทาเปติ วา มีความว่า ภิกษุทำลาย
เองก็ดี ใช้ให้ผู้อื่นทำลายก็ดี (ซึ่งแผ่นดิน) ชั้นที่สุด แม้จะเทน้ำ.
สองบทว่า ทหติ วา ทหาเปติ วา มีความว่า ภิกษุเผาเองก็ดี
ใช้ให้ผู้อื่นเผาก็ดี ชั้นที่สุดจะระบมบาตร. ภิกษุจุดไฟเอง หรือใช้ให้ผู้อื่นจุด
ในที่มีประมาณเท่าใด เป็นปาจิตตีย์มีประมาณเท่านั้นตัว. ภิกษุ แม้เมื่อจะ
ระบมบาตร พึงระบมในที่เคยระบมแล้วนั่นแหละ. จะวางไฟลงบนแผ่นดินที่
ไฟยังไม่ไหม้ ไม่ควร. แต่จะวางไฟลงบนกระเบื้องสำหรับระบมบาตร ควรอยู่.
วางไฟลงบนกองฟืน, ไฟนั้นไหม้ฟืนเหล่านั้น แล้วจะลุกลามเลยไปไหม้ดิน
ไม่ควร. แม้ในที่มีอิฐและหินเป็นต้น ก็มีนัยอย่างนั้นเหมือนกัน. จริงอยู่ ใน
ที่แม้นั้น จะวางไฟลงบนกองอิฐเป็นต้นนั่นแล ควรอยู่. เพราะเหตุไร ?
เพราะอิฐเป็นต้นนั้น มิใช่เชื้อไฟ. จริงอยู่ อิฐเป็นต้นนั้น ไม่ถึงอันนับว่า
เป็นเชื้อแห่งไฟ. จะติดไฟแม้ที่ตอไม้แห้ง และต้นไม้แห้งเป็นต้น ก็ไม่ควร.
แต่ถ้าว่า ภิกษุจะติดไฟด้วยคิดว่า เราจักดับไฟที่ยังไม่ทัน ถึงแผ่นดิน
เสียก่อนแล้วจึงจักไป ดังนี้ ควรอยู่. ภายหลังไม่อาจเพื่อจะดับได้ ไม่เป็นอาบัติ
เพราะไม่ใช่วิสัย ภิกษุถือคบเพลิงเดินไป เมื่อมือถูกไฟไหม้จึงทิ้งลงที่พื้น,
ไม่เป็นอาบัติ. ท่านกล่าวไว้ในมหาปัจจรีว่า จะเติมเชื้อก่อไฟ ในที่คบเพลิงตก
นั่นแหละ ควรอยู่. ท่านกล่าวไว้ในมหาปัจจรีนั้นนั่นแลว่า ก็ที่มีประมาณเท่าใด
ในแผ่นดินซึ่งถูกไฟไหม้ ไอร้อนระอุไปถึง จะโกยที่ทั้งหมดนั้น ออก ควรอยู่.

263
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ เล่ม ๒ – หน้าที่ 264 (เล่ม 4)

ก็ภิกษุใด ยังไม่รู้จะสีให้ไฟเกิดด้วยไม้สีไฟ เอามือหยิบขึ้นแล้วกล่าวว่า
ผมจะทำอย่างไร ? ภิกษุอื่นบอกว่า จงทำให้ลุกโพลงขึ้น. เธอกล่าวว่า มัน
จะไหม้มือผม จึงบอกว่า จงทำอย่างที่มันจะไม่ไหม้. แต่ไม่พึงบอกว่า จงทิ้ง
ลงที่พื้น. ถ้าว่า เมื่อไฟไหม้มือ เธอทิ้งลง ไม่เป็นอาบัติ เพราเธอไม่ได้
ทิ้งลงด้วยตั้งใจว่า เราจักเผาแผ่นดิน. ท่านกล่าวไว้ในกุรุนทีว่า ถึงจะก่อไฟ
ในที่ไฟตกลง ก็ควร
ก็ในคำว่า อนาปตฺติ อิมํ ชาน เป็นต้น ผู้ศึกษาพึงทราบใจความ
อย่างนี้ คือ (ไม่เป็นอาบัติแก่ภิกษุผู้กล่าวว่า) เธอจงรู้หลุมสำหรับเสานี้, จงรู้
ดินเหนียวก้อนใหญ่ จงรู้ดินปนแกลบ จงให้ดินเหนียวก้อนใหญ่ จงให้ดิน
ปนแกลบ. จงนำดินเหนียวมา. จงนำดินร่วนมา, ต้องการดินเหนียว, ต้องการ
ดินร่วน จงทำหลุมให้เป็นกัปปิยะสำหรับเสานี้, จงทำดินเหนียวนาให้เป็น
กัปปิยะ, จงทำดินร่วนนี้ให้เป็นกัปปิยะ.
บทว่า อสญฺจิจฺจ มีความว่า เมื่อภิกษุกลิ้งหินและต้นไม้เป็นต้นไป
หรือเดินเอาไม้เท้ายัน ๆ ไป แผ่นดินแตก. แผ่นดินนั้นชื่อว่า อันภิกษุไม่ได้
แกล้งทำแตก เพราะเธอไม่ได้จงใจทำลายอย่างนี้ว่า เราจักทำลาย (แผ่นดิน)
ด้วยไม้เท่านี้, ไม่เป็นอาบัติแก่ภิกษุผู้ไม่แกล้งทำลาย ด้วยประการฉะนี้.
บทว่า อสติยา มีความว่า ภิกษุส่งใจไปทางอื่นยืนพูดอะไรกับคน
บางคนเอานิ้วหัวแม่เท้า หรือไม้เท้าขีดเขียนแผ่นดินไปพลาง ไม่เป็นอาบัติ
แก่ภิกษุผู้ขีดเขียน หรือทำลาย (ดิน) ด้วยไม่มี สติอย่างนี้.
บทว่า อาชานนฺตสฺส มีความว่า ภิกษุไม่รู้แผ่นดินที่ฝนตกรดภาย-
ในเรือน ซึ่งมุงหลังคาปิดแล้วว่า เป็นอกัปปิยปฐพี จึงโกยออก ด้วยสำคัญว่า
เป็นกัปปิยปฐพี ก็ดี ไม่รู้ว่า เราขุด เราทำลาย เราเผาไฟ ก็ดี เก็บเสียม

264
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ เล่ม ๒ – หน้าที่ 265 (เล่ม 4)

เป็นต้น เพื่อต้องการรักษาไว้อย่างเดียวก็ดี มือถูกไฟไหม้ ทิ้งไฟลงก็ดี, ไม่
เป็นอาบัติแก่ภิกษุผู้ไม่รู้อย่างนี้ บทที่เหลือตื้นทั้งนั้น..
สิกขาบทนี้ มีสมุฏฐาน ๓ เกิดขึ้นทางกายกับจิต ๑ ทางวาจากับจิ ๑
ทางกายวาจากับจิต ๑ เป็นกิริยา สาญญาวิโมกข์ สจิตตกะ ปัณณัตติวัชชะ
กายกรรม วจีกรรม มีเวทนา ๓ มีเวทนา ๓ ฉะนี้แล.
ปฐวีขนนสิกขาบทที่ ๑๐ จบ
มุสาวาทวรรคที่ ๑ จบบริบูรณ์
ตามวรรณนานุกรม

265
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ เล่ม ๒ – หน้าที่ 266 (เล่ม 4)

ปาจิตตีย์ วรรคที่ ๒
ภูตคามวรรค สิกขาบทที่ ๑
เรื่องภิกษุชาวรัฐอาฬวี
[๓๕๔] โดยสมัยนั้น พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าประทับอยู่ ณ อัคคาฬว-
เจดีย์ เขตรัฐอาฬวี ครั้งนั้น พวกภิกษุชาวรัฐอาฬวีทำนวกรรม ตัดต้นไม้
เองบ้าง ให้คนอื่นตัดบ้าง แม้ภิกษุชาวรัฐอาฬวีรูปหนึ่งก็ตัดต้นไม้ เทวดาผู้
สิงสถิตอยู่ที่ต้นไม้นั้น ได้กล่าวคำนี้กะภิกษุนั้นว่า ท่านเจ้าข้า ท่านประสงค์
จะทำที่อยู่ของท่าน โปรดอย่าตัดต้นไม้อันเป็นที่อยู่ของข้าพเจ้าเลย ภิกษุรูปนั้น
ไม่เชื่อฟังได้ตัดลงจนได้ แลฟันถูกแขนทารกลูกของเทวดานั้น เทวดาได้คิด
ขึ้นว่า ถ้ากระไรเราพึงปลงชีวิตภิกษุรูปนี้เสีย ณ ที่นี้แหละ แล้ว ติดต่อไปว่า
ก็การที่เราจะพึงปลงชีวิตภิกษุรูปนี้เสีย ณ ที่นี้นั้นไม่สมควรเลย ถ้ากระไรเรา
ควรกราบทูลเรื่องนี้แด่พระผู้มีพระภาคเจ้า ดังนั้น เทวาดานั้นจึงเข้าไปเฝ้าพระผู้
มีพระภาคเจ้า แล้วกราบทูลเนื้อความนั้น แด่พระผู้มีพระภาคเจ้า.
พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงประทานสาธุการว่า ดีแล้ว ๆ เทวดา ดีนักหนา
ที่ท่านไม่ปลงชีวิตภิกษุรูปนั้น ถ้าท่านปลงชีวิตภิกษุรูปนั้นในวันนี้ ตัวท่านจะ
พึงได้รับบาปเป็นอันมาก ไปเถิดเทวาดา ต้นไม้ในโอกาสโน้นว่างแล้ว ท่าน
จงเข้าไปอยู่ที่ต้นไม้นั้น.
ประชาชนพากันเพ่งโทษติเตียนโพนทะนาว่า ไฉน พวกพระสมณะ
เชื้อสายพระศากยบุตรจึงได้ตัดต้นไม้เองบ้าง ให้คนอื่นตัดบ้าง พระสมณะ
เชื้อสายพระศากยบุตรทั้งหลาย ย่อมเบียดเบียนอินทรีย์ อย่างหนึ่งซึ่งมีชีวะ

266
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ เล่ม ๒ – หน้าที่ 267 (เล่ม 4)

ภิกษุทั้งหลายได้ยินพวกเขาเพ่งโทษติเตียนโพนทะนาอยู่ บรรดาที่มักน้อย. . .
ต่างพากันเพ่งโทษติเตียนโพนทะนาว่า ไฉน พวกภิกษุชาวรัฐอาฬวี จึงได้ตัด
ต้นไม้เองบ้าง ให้คนอื่นตัดบ้าง แล้วกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาคเจ้า.
ทรงสอบถาม
พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัส ถามว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ข่าวว่า พวกเธอ
ตัดเองบ้าง ให้คนอื่นตัดบ้าง ซึ่งต้นไม้ จริงหรือ.
ภิกษุชาวรัฐอาฬวีทูลรับว่า จริง พระพุทธเจ้าข้า.
ทรงติเตียนแล้วบัญญัติสิกขาบท
พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าทรงติเตียนว่า ดูก่อนโมฆบุรุษทั้งหลาย ไฉน
พวกเธอจึงได้ตัดเองบ้าง ให้คนอื่นตัดบ้าง ซึ่งต้น ไม้ เพราะคนทั้งหลายสำคัญ
ในต้นไม้ ว่ามีชีวะ การกระทำของพวกเธอนั่น ไม่เป็นไปเพื่อความเลื่อมใส
ของชุมชนที่ยังไม่เลื่อมใส หรือเพื่อความเลื่อมใสยิ่งของชุมชนที่เลื่อมใสแล้ว ..
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็แลพวกเธอพึงยกสิกขาบทนี้ขึ้นแสดงอย่างนี้
ว่าดังนี้
พระบัญญัติ
๖๐. ๑. เป็นปาจิตตีย์ ในเพราะพรากภูตคาม.
เรื่องภิกษุชาวรัฐอาฬวี จบ
สิกขาบทวิภังค์
[๓๕๕] ที่ชื่อว่า ภูตคาม ได้แก่พืช ๕ ชนิด คือ พืชเกิดจากเหง้า ๑
พืชเกิดจากต้น ๑ พืชเกิดจากข้อ ๑ พืชเกิดจากยอด ๑ พืชเกิดจากเมล็ด
เป็นที่ครบห้า ๑.

267
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ เล่ม ๒ – หน้าที่ 268 (เล่ม 4)

ที่ชื่อว่า พืชเกิดจากเหง้า ได้แก่ ขมิ้น ขิง ว่านน้ำ ว่านเปราะ
อุตพิด ข่า แฝก แห้วหมู หรือแม้พืชอย่างอื่นใดซึ่งเกิดที่เหง้า งอกที่เหง้า
นั่นชื่อว่า พืชเกิดจากเหง้า.
ที่ชื่อว่า พืชเกิดจากต้น ได้แก่ ต้นโพธิ์ ต้นไทร ต้นดีปลี ต้น
มะเดื่อ ต้นเต่าร้าง ต้นมะขวิด หรือแม้พืชอย่างอื่นใดซึ่งเกิดที่ต้น งอกที่ต้น
นั่นชื่อว่า พืชเกิดจากต้น.
ที่ชื่อว่า พืชเกิดจากข้อ ได้แก่ อ้อย ไม้ไผ่ ไม้อ้อ หรือแม้พืช
อย่างอื่นใดซึ่งเกิดที่ข้อ งอกที่ข้อ นั่นชื่อว่า พืชเกิดจากข้อ.
ที่ชื่อว่า พืชเกิดจากยอด ได้แก่ ผักบุ้งล้อม แมงลัก เถาหญ้านาง
หรือแม้พืชอย่างอื่นใดซึ่งเกิดที่ยอด งอกที่ยอด นั่นชื่อว่า พืชเกิดจากยอด.
ที่ชื่อว่า พืชเกิดจากเมล็ด ได้แก่ ข้าว ถั่ว งา หรือแม้พืชอย่าง
อื่นใดซึ่งเกิดที่เมล็ด งอกที่เมล็ด นั่นชื่อว่า พืชเกิดจากเมล็ด เป็นที่ครบห้า.
บทภาชนีย์
[๓๕๖] พืช ภิกษุสำคัญว่าพืช ตัดเองก็ดี ให้คนอื่นตัดก็ดี ทำลาย
เองก็ดี ให้ คนอื่นทำลายก็ดี ต้มเองก็ดี ให้คนอื่นต้มก็ดี ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
พืช ภิกษุสงสัย ตัดเองก็ดี ให้คนอื่นตัดก็ดี ทำลายเองก็ดี ให้คนอื่น
ทำลายก็ดี ต้มเองก็ดี ให้คนอื่นต้มก็ดี ต้องอาบัติทุกกฏ.
พืช ภิกษุสำคัญว่า ไม่ใช่พืช ตัดเองก็ดี ให้คนอื่นตัดก็ดี ทำลาย
เองก็ดี ให้คนอื่นทำลายก็ดี ต้มเองก็ดี ให้คนอื่นต้มก็ดี ไม่ต้องอาบัติ.
ไม่ใช่พืช ภิกษุสำคัญว่าพืช ตัดเองก็ดี ให้คนอื่นตัดก็ดี ทำลายเอง
ก็ดี ให้คนอื่นทำลายก็ดี ต้มเองก็ดี ให้คนอื่นต้มก็ดี ต้องอาบัติทุกกฏ.

268
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ เล่ม ๒ – หน้าที่ 269 (เล่ม 4)

ไม่ใช่พืช ภิกษุสงสัย ตัดเองก็ดี ให้คนอื่นตัดก็ดี ทำลายเองก็ดี
ให้คนอื่นทำลายก็ดี ต้มเองก็ดี. ให้คนอื่นต้มก็ดี ต้องอาบัติทุกกฏ.
ไม่ใช่พืช ภิกษุสำคัญว่า ไม่ใช่พืช ตัดเองก็ดี ให้คนอื่นตัด ก็ดี
ทำลายเองก็ดี ให้คนอื่นทำลายก็ดี ต้มเองก็ดี ให้คนอื่นต้มก็ดี ไม่ต้องอาบัติ.
อนาปัตติวาร
[๓๕๗] ภิกษุกล่าวว่า ท่านจงรู้พืชนี้ ท่านจงให้พืชนี้ ท่านจงนำ
พืชนี้มา เรามีความต้องการด้วยพืชนี้ ท่านจงทำพืชนี้ให้เป็นกัปปิยะดังนี้ ๑
ภิกษุไม่แกล้งพราก ๑ ภิกษุทำเพราะไม่มีสติ ๑ ภิกษุไม่รู้ ๑ ภิกษุวิกลจริต ๑
ภิกษุอาทิกัมมิกะ ๑ ไม่ต้องอาบัติแล.
ภูตคามวรรค สิกขาบทที่ ๑ จบ
ปาจิตตีย์ เสนาสนวรรคที่ ๒
ภูตคามสิกขาบทที่ ๑
พึงทราบวินิจฉัย ในสิกขาบทที่ ๑ แห่งเสนาสนวรรค* ดังต่อไปนี้
[เรื่องภิกษุชาวเมืองอาฬวี ตัดต้นไม้]
บทว่า อนาทิยนฺโต คือ ไม่เชื่อฟังถ้อยคำของเทวดานั้น.
หลายบทว่า ทารกสฺส พาหุํ อาโกฏฺเฏสิ มีความว่า ภิกษุนั้น
ไม่อาจยั้งขวานที่เงื้อขึ้น จึงตัดเอาแขนทรงที่ใกล้ราวนม ของทารกผู้นอนอยู่
บนวิมานทิพย์ ซึ่งตั้งอยู่บนต้นไม้ อันเทวดานั้นได้มาจากสำนักของท้าวจาตุม-
มหาราช ซึ่งล่วงเลยวิสัยแห่งจักษุของพวกมนุษย์.
* บาลีเป็นภูตคามวรรค.

269
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ เล่ม ๒ – หน้าที่ 270 (เล่ม 4)

ในคำว่า น โข ปเนตํ ปฏิรูปํ เป็นต้น มีการพรรณนาโดยสังเขป
ดังต่อไปนี้
ได้ยินว่า ในป่าหิมพานต์ มีการประชุมเทวดา ทุก ๆ วันปักษ์, ใน
ป่าหิมพานต์นั้น พวกเทวดาย่อมถามถึงรุกขธรรมว่า ท่านทั้งอยู่หรือไม่ได้ตั้ง
อยู่ในรุกขธรรม. ชื่อว่า รุกขธรรม ได้แก่ การที่รุกขเทวดาไม่ทำความ
ประทุษร้ายทางใจ ในเมื่อต้นไม้ถูกตัด. บรรดาเทวดาเหล่านั้น เทวดาองค์ใด
ไม่ทั้งอยู่ในรุกขธรรม, เทวดาองค์นั้น ย่อมไม่ได้เพื่อจะเข้าสู่ที่ประชุม. เทวดา
องค์นั้น ได้มองเห็นโทษ มีการไม่ตั้งอยู่ในรุกขธรรมเป็นปัจจัยนี้ ด้วยประการ
ดังนี้ และระลึกถึงบุรพจรรยา ในปางที่พระตถาคตเจ้าเสวยพระชาติเป็น
พญาช้างฉัททันต์เป็นต้น โดยกระแสแห่งพระธรรมเทศนาที่คนเคยสดับมา
เฉพาะพระพักตร์แห่งพระผู้มีพระภาคเจ้า. เพราะเหตุนั้น เทวดานั้น จึงได้มี
ความรำพึง น โข ปเนตํ ปฏิรูปํ ฯเปฯ ชีวิตา โวราเปยฺยุํ (ก็การ
ที่เราจะปลงชีวิตภิกษุรูปนี้เสีย ณ ที่นี้ นั่นไม่สมควรเลย) ดังนี้. ก็ความรำพึง
นี้ว่า ถ้ากระไร เราควรกราบทูลเรื่องนี้แด่พระผู้มีพระภาคเจ้า ดังนี้ ได้มีแก่
เทวดานั้น ผู้ฉุกคิดอยู่อย่างนี้ว่า ภิกษุนี้เป็นบุตรมีบิดา, พระผู้มีพระภาคเจ้า
ได้ทรงสดับอัชฌาจารนี้ของภิกษุนี้แล้ว จักทรงป้องกันมารยาท จักทรงบัญญัติ
สิกขาบทแน่นอน.
คำว่า สจชฺช ตฺวํ เทวเต มีความว่า ดูก่อนเทวดา ! ถ้าท่าน
(ปลงชีวิตภิกษุรูปนั้น) ในวันนี้ไซร้.
บทว่า ปสเวยฺยาสิ แปลว่า พึงให้เกิด คือ พึงให้บังเกิดขึ้น. ก็แล
พระผู้มีพระภาคเจ้า ครั้นตรัสอย่างนั้นแล้ว เมื่อจะให้เทวดานั้นยินยอม จึงได้
ตรัสพระคาถานี้ว่า

270