หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ เล่ม ๒ – หน้าที่ 241 (เล่ม 4)

. . .ภิกษุใดบริโภคเครื่องยาอันเป็นปัจจัยของภิกษุไข้ของท่าน ภิกษุนั้น
เข้าแล้ว . . . ซึ่งจตุตถฌานในสุญญาคาร. . . ต้องอาบัติทุกกฏ.
[๓๓๙] บทว่า บอก คือ ภิกษุบอกแก่อนุปสัมบันว่า วิหารของท่าน
อันภิกษุใดอาศัยแล้ว ภิกษุนั้นเข้าแล้ว เข้าอยู่ เข้าได้แล้ว เป็นผู้ได้ เป็นผู้
ชำนาญ ทำให้แจ้ง ซึ่งปฐมฌาน. . . ต้องอาบัติทุกกฏ.
ฯลฯ ฯลฯ ฯลฯ*
. . . วิหารของท่านอันภิกษุใดอาศัยแล้ว ภิกษุนั้นเข้าแล้ว . . . ซึ่ง
จตุตถฌานในสุญญาคาร...ต้องอาบัติทุกกฏ.
บทว่า บอก คือ ภิกษุบอกแก่อนุปสัมบันว่า จีวรของท่านอันภิกษุใด
ใช้สอยแล้ว ภิกษุนั้นเข้าแล้ว เข้าอยู่ เข้าได้แล้ว เป็นผู้ได้ เป็นผู้ชำนาญ
ทำให้แจ้ง ซึ่งปฐมฌาน . . . ต้องอาบัติทุกกฏ.
ฯลฯ ฯลฯ ฯลฯ*
. . .จีวรของท่านอันภิกษุใดใช้สอยแล้ว ภิกษุนั้นเข้าแล้ว . . . ซึ่ง
จตุตถฌาน ในสุญญาคาร. . .ต้องอาบัติทุกกฏ.
บทว่า บอก คือ ภิกษุบอกแก่อนุปสันบันว่า บิณฑบาตของท่านอัน
ภิกษุใดบริโภคแล้ว ภิกษุนั้นเข้าแล้ว เข้าอยู่ เข้าได้แล้ว เป็นผู้ ได้ เป็นผู้
ชำนาญ ทำให้แจ้ง ซึ่งปฐมฌาน. . .ต้องอาบัติทุกกฏ.
ฯลฯ ฯลฯ ฯลฯ*
. . .บิณฑบาตของท่านอันภิกษุใดบริโภคแล้ว ภิกษุนั้นเข้าแล้ว. . .ซึ่ง
จตุตถฌานนสุญญาคาร. .. ต้องอาบัติทุกกฏ.
* ที่ ฯลฯ ไว้นี้ พึงทราบตามนัยแห่งจตุตถปาราชิกโน้นเถิด.

241
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ เล่ม ๒ – หน้าที่ 242 (เล่ม 4)

บทว่า บอก คือ ภิกษุบอกแก่อนุปสัมบันว่า เสนาสนะของท่านอัน
ภิกษุใดใช้สอยแล้ว ภิกษุนั้นเข้าแล้ว เข้าอยู่ เข้าได้แล้ว เป็นผู้ได้ เป็นผู้
ชำนาญ ทำให้แจ้ง ซึ่งปฐมฌาน. .. ต้องอาบัติทุกกฏ.
ฯลฯ ฯลฯ ฯลฯ
...เสนาสนะของท่านอันภิกษุใดใช้สอยแล้ว ภิกษุนั้นเข้าแล้ว .. . ซึ่ง
จตุตถฌานในสุญญาคาร...ต้องอาบัติทุกกฏ.
บทว่า บอก คือ ภิกษุบอกแก่อนุปสัมบันว่า เครื่องยาอันเป็นปัจจัย
ของภิกษุไข้ของท่านอันภิกษุใดบริโภคแล้ว ภิกษุนั้นเข้าแล้ว เข้าอยู่ เข้าได้
แล้ว เป็นผู้ได้ เป็นผู้ชำนาญ ทำให้แจ้ง ซึ่งปฐมฌาน. . .ต้องอาบัติทุกกฏ .
ฯลฯ ฯลฯ ฯลฯ
. . .เครื่องยาอันเป็นปัจจัยของภิกษุไข้ของท่านอัน ภิกษุใดบริโภคแล้ว
ภิกษุนั้นเข้าแล้ว . ..ซึ่งจตุตถฌานในสุญญาคาร ... ต้องอาบัติทุกกฏ.
[๓๔๐] บทว่า บอก คือ ภิกษุบอกแก่อนุปสัมบันว่า ท่านอาศัย
ภิกษุใด ได้ถวายวิหารแล้ว ภิกษุนั้นเข้าแล้ว เข้าอยู่ เข้าได้แล้ว เป็นผู้ได้
เป็นผู้ชำนาญ ทำให้แจ้ง ซึ่งปฐมฌาน...ต้องอาบัติทุกกฏ.
ฯลฯ ฯลฯ ฯลฯ
. . .ท่านอาศัยภิกษุใด ได้ถวายวิหารแล้ว ภิกษุนั้นเข้าแล้ว . . . ซึ่ง
จตุตถฌานในสุญญาคาร. . ต้องอาบัติทุกกฏ.
บทว่า บอก คือ ภิกษุบอกแก่อนุปสัมบันว่า ท่านอาศัยภิกษุใดได้
ถวายจีวรแล้ว ภิกษุนั้นเข้าแล้ว เข้าอยู่เข้าได้แล้ว เป็นผู้ได้ เป็นผู้ชำนาญ
ทำให้แจ้ง ซึ่งปฐมฌาน.. .ต้องอาบัติทุกกฏ.
ฯลฯ ฯลฯ ฯลฯ

242
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ เล่ม ๒ – หน้าที่ 243 (เล่ม 4)

. . .ท่านอาศัยภิกษุใด ได้ถวายจีวรแล้ว ภิกษุนั้นเข้าแล้ว . . . ซึ่ง
จตุตถฌานในสุญญาคาร . . .ต้องอาบัติทุกกฏ.
. . .บทว่า บอก คือ ภิกษุบอกแก่อนุปสัมบันว่า ท่านอาศัยภิกษุใด ได้
ถวายบิณฑบาตแล้ว ภิกษุนั้นเข้าแล้ว เข้าอยู่ เข้าได้แล้ว เป็นผู้ได้ เป็นผู้
ชำนาญ ทำให้แจ้ง ซึ่งปฐมฌาน ดังนี้ ต้องอาบัติทุกกฏ.
ฯลฯ ฯลฯ ฯลฯ
. . .ท่านอาศัยภิกษุใด ได้ถวายบิณฑบาตแล้ว ภิกษุนั้นเข้าแล้ว . . .ซึ่ง
จตุตถฌานในสุญญาคาร . . .ต้องอาบัติทุกกฏ.
บทว่า บอก คือ ภิกษุบอกแก่อนุปสัมบันว่า ท่านอาศัยภิกษุใดได้
ถวายเสนาสนะแล้ว ภิกษุนั้นเข้าแล้ว เข้าอยู่ เข้าได้แล้ว เป็นผู้ได้ เป็นผู้
ชำนาญ ทำให้แจ้ง ซึ่งปฐมฌาน . . . ต้องอาบัติทุกกฏ.
ฯลฯ ฯลฯ ฯลฯ
. . .ท่านอาศัยภิกษุใด ได้ถวายเสนาสนะแล้ว ภิกษุนั้นเข้าแล้ว . . .ซึ่ง
จตุตถฌานในสุญญาคาร. . .ต้องอาบัติทุกกฏ.
บทว่า บอก คือ ภิกษุบอกแก่อนุปสัมบันว่า ท่านอาศัยภิกษุใดได้
ถวายเครื่องยาอันเป็นปัจจัยของภิกษุไข้แล้ว ภิกษุนั้นเข้าแล้ว เข้าอยู่ เข้าได้
แล้ว เป็นผู้ได้ เป็นผู้ชำนาญ ทำให้แจ้ง ซึ่งปฐมฌาน. . .ต้องอาบัติทุกกฏ.
ฯลฯ ฯลฯ ฯลฯ
. . .ท่านอาศัยภิกษุใด ได้ถวายเครื่องยาอันเป็นปัจจัยของภิกษุไข้แล้ว
ภิกษุนั้นเข้าแล้ว. . . ซึ่งจตุตถฌานในสุญญาคาร.. .ต้องอาบัติทุกกฏ.

243
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ เล่ม ๒ – หน้าที่ 244 (เล่ม 4)

อนาปัตติวาร
[๓๔๑] ภิกษุบอกอุตริมนุสธรรมที่มีจริง แก่อุปสัมบัน ๑ ภิกษุ
อาทิกัมมิกะ ๑ ไม่ต้องอาบัติแล.
มุสาวาทวรรค สิกขาบทที่ ๘ จบ
มุสาวาทวรรค ภูตาโรจนสิกขาบทที่ ๘
พึงทราบวินิจฉัย ในสิกขาบทที่ ๘ ดังต่อไปนี้.
[แก้อรรถปฐมบัญญัติ เรื่องภิกษุพวกฝั่งแม่น้ำวัคคุมุทา]
คำใดที่ข้าพเจ้าควรจะกล่าวก่อนในวัตถุกถา, คำนั้นทั้งหมด มีนัยดัง
ที่กล่าวแล้วในจตุตถปาราชิกวรรณนานั่นแล. ส่วนความแปลกกัน ดังต่อไปนี้.
ในจตุตถปาราชิกนั้น พวกภิกษุบอกอุตริมนุสธรรมอันไม่มีจริง ในสิกขาบทนี้
บอกอุตริมนุสธรรมที่มีจริง. ปุถุชนทั้งหลาย บอกอุตริมนุสธรรมแม้ที่มีจริง.
อริยเจ้าทั้งหลายไม่บอก. จริงอยู่ ชื่อว่า ปยุตตวาจา (วาจาที่เปล่งเพราะเหตุ
เเห่งท้อง) ไม่มีแก่พระอริยเจ้าทั้งหลาย. แต่เมื่อผู้อื่น บอกคุณของตนเอง
ท่านก็ไม่ห้ามคนเหล่าอื่น และยินดีปัจจัยทั้งหลายที่เกิดขึ้น โดยอาการที่ไม่
ทราบว่าเกิดขึ้น (เพราะการบอกคุณของตน).
ก็ในคำว่า อถโข เต ภิกฺขุ ภควโต เอตมตฺถํ อาโรเจสุํ เป็นต้น
บัณฑิตพึงทราบว่า ภิกษุทั้งหลายเหล่าใด กล่าวคุณแห่งอุตริมนุสธรรม
ภิกษุเหล่านั้น ได้กราบทูลแล้ว. พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสถามว่า ดูก่อนภิกษุ
ทั้งหลาย คุณวิเสสของพวกเธอ มีจริงหรือ ? ก็ภิกษุเหล่านั้นแม้ทั้งหมดทูล
รับปฏิญาณว่า ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า ! มีจริง, เพราะว่า อุตริมนุสธรรม

244
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ เล่ม ๒ – หน้าที่ 245 (เล่ม 4)

มีจริงในภายใน แม้แห่งพระอริยเจ้าทั้งหลาย เพราะฉะนั้น ครั้งนั้น พระผู้มี
พระภาคเจ้าจึงไม่ตรัสว่า โมฆปุริสา เพราะภิกษุเหล่านั้นปะปนด้วยพระอริยะ
ตรัสว่า กถญฺหิ นาม ตุมฺเห ภิกขเว แล้ว จึงตรัสคำมีอาทิว่า อุทรสฺส
การณา ดังนี้.
ในคำมีคำว่า กถญฺหิ นาม ตุมฺเห ภิกฺขเว เป็นต้นนั้น เพราะ
พระอริยเจ้าทั้งหลาย ฟังคำของตนเหล่าอื่น ถูกพวกชาวบ้านผู้มีความเลื่อมใส
ถามอยู่ โดยนัยเป็นต้นว่า ข้าแต่ท่านผู้เจริญ ! ได้ยินว่า พระผู้เป็นเจ้า เป็น
โสดาบันหรือ ! ดังนี้ มีปกติเห็นว่าไม่มีโทษ ในเมื่อสิกขาบทที่พระผู้มีพระ-
ภาคเจ้ายังไม่ได้ทรงบัญญัติ จึงปฏิญาณการบรรลุคุณวิเสส ของตนและของ
คนเหล่าอื่น เพราะเป็นผู้มีจิตบริสุทธิ์, และท่านเหล่านั้น เมื่อปฏิญาณอย่างนี้
แม้ยินดีอยู่ซึ่งบิณฑบาตที่ปุถุชนเหล่าอื่นกล่าวคุณแห่งอุตริมนุสธรรมเพราะเหตุ
แห่งท้องให้เกิดขึ้นแล้ว ด้วยความเป็นผู้มีจิตบริสุทธิ์ จึงเป็นเหมือนกล่าวคุณ
แห่งอุตริมนุสธรรม เพราะเหตุแห่งท้อง; ฉะนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัส
โดยสัพพสังคาหิกนัยนั่นแลว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ! ไฉนพวกเธอจึงได้กล่าว
ชมอุตริมนุสธรรมของกันและกัน แกคฤหัสถ์ทั้งหลาย เพราะเหตุแห่งท้องเล่า ?
ดังนี้. คำที่เหลือเป็นเช่นเดียวกับเรื่องจตุตถปาราชิกทั้งนั้นแล.
แม้ในวิภังค์แห่งสิกขาบท ในจตุตถปาราชิกนั้น เป็นปาราชิกกับ
ถุลลัจจัยอย่างเดียว, ในสิกขาบทนี้ เป็นปาจิตตีย์และทุกกฏ เพราะเป็นคุณ
มีจริง, นี้เป็นความแปลกกัน. บทที่เหลือ มีนัยดังกล่าวแล้ว นั่นแล. คำว่า
บอกคุณวิเสสที่มีจริง แก่อนุปสัมบัน (นี้) ท่านกล่าวหมายเอาอุตริมนุสธรรม
นั่นเอง. จริงอยู่ ภิกษุผู้ถูกรบเร้าถามในเวลาปรินิพพานและในกาลอื่น จะ
บอกคุณที่มีจริงแก่อุปสัมบันก็ควร. อนึ่ง จะบอกคุณ คือ สุตะ ปริยัติ และศีล

245
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ เล่ม ๒ – หน้าที่ 246 (เล่ม 4)

แม้แก่อนุปสัมบันก็ควร, ไม่เป็นอาบัติแก่ภิกษุผู้เป็นต้นบัญญัติ, แต่คำว่า
อุมฺมตฺตกสฺส นี้ พระผู้มีพระภาคเจ้ามิได้ตรัสไว้ในสิกขาบทนี้. เพราะเหตุไร ?
ท่านวิจารณ์ไว้ในอรรถกถามหาปัจจรีว่า เพราะท่านผู้ถึงพร้อมด้วยทิฏฐิ ไม่มี
ความบ้า หรือจิตฟุ้งซ่าน ดังนี้. แต่ท่านผู้ได้ฌาน พึงเป็นบ้าได้ในเมื่อฌาน
เสื่อม. แม้สำหรับท่านผู้นั้นก็ไม่ควรกล่าวอนาบัติ ซึ่งมีการบอกฌานที่มีจริง
เป็นปัจจัย เพราะฌานที่มีจริงนั่นแหละไม่มีฉะนี้แล บทที่เหลือมีอรรถตื้น
ทั้งนั้นแล.
สิกขาบทนี้ ชื่อว่า ภูตาโรจนสิกขาบท เกิดขึ้นโดยสมุฏฐาน ๓ ที่
มิได้ตรัสไว้ในเบื้องต้น คือ ทางกาย ๑ ทางวาจา ๑ ทางกายกับวาจา ๑
เป็นกิริยา ในสัญญาวิโมกข์ อจิตตกะ ปัณณัตติวัชชะ กายกรรม วจีกรรม
มีจิต ๒ โดยเป็นกุศลจิตกับอัพยากตจิต มีเวทนา ๒ โดยเป็นสุขเวทนา กับ
อุเบกขาเวทนา ฉะนี้แล.
ภูตาโรจนสิกขาบทที่ ๘ จบ

246
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ เล่ม ๒ – หน้าที่ 247 (เล่ม 4)

มุสาวาทวรรค สิกขาบทที่ ๙
เรื่องพระอุปนันทศากยบุตร
[๓๔๒] โดยสมัยนั้น พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าประทับอยู่ ณ พระ-
เชตวันอารามของอนาถบิณฑิกคหบดี เขตพระนครสาวัตถี ครั้งนั้น ท่านพระ
อุปนันทศากยบุตร กำลังเป็นผู้ก่อการทะเลาะกับพระฉัพพัคคีย์ ท่านต้องอาบัติ
ชื่อสัญเจตนิกาสุกกวิสัฏฐิ แล้วได้ขอปริวาสเพื่ออาบัตินั้นต่อสงฆ์ ๆ ได้ให้ปริวาส
เพื่ออาบัตินั้นแก่ท่าน ก็แลสมัยนั้น ในพระนครสาวัตถีมีสังฆภัทของประชาชน
หมู่หนึ่ง ท่านกำลังอยู่ปริวาส จึงนั่งท้ายอาสนะในโรงภัต พระฉัพพัคคีย์ได้
กล่าวกะอุบาสกเหล่านั้นว่า ท่านทั้งหลาย ท่านพระอุปนันทศากยบุตรนั่น
เป็นพระประจำตระกูลที่พวกท่านสรรเสริญ ได้พยายามปล่อยอสุจิด้วยมือที่
บริโภคของที่เขาถวายด้วยศรัทธา ท่านต้องอาบัติชื่อสัญเจตนิกาสุกกวิสัฎฐิแล้ว
ได้ขออยู่ปริวาสเพื่ออาบัตินั้นต่อสงฆ์ ๆ ได้ให้ปริวาสเพื่ออาบัตินั้น แก่ท่าน
แล้ว ท่านกำลังอยู่ปริวาส จึงนั่งท้ายอาสนะ.
บรรดาภิกษุที่มักน้อย สันโดษ มีความละอาย มีความรังเกียจ ผู้ใคร่
ต่อสิกขา ต่างก็เพ่งโทษติเตียนโพนทะนาว่า ไฉน พระฉัพพัคคีย์จึงได้บอก
อาบัติชั่วหยาบของภิกษุแก่อนุปสัมบันเล่า. . . แล้วกราบทูลเนื้อความนั้นแด่พระ
ผู้มีพระภาคเจ้า.
ทรงสอบถาม
พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสถานพระฉัพพัคคีย์ว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย
ข่าวว่า พวกเธอบอกอาบัติชั่วหยาบของภิกษุแก่อนุปสัมบัน จริงหรือ.
พระฉัพพัคคีย์ทูลรับว่า จริง พระพุทธเจ้าข้า.

247
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ เล่ม ๒ – หน้าที่ 248 (เล่ม 4)

ทรงติเตียนแล้วบัญญัติสิกขาบท
พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าทรงติเตียนว่า ดูก่อนโมฆบุรุษทั้งหลาย ไฉน
พวกเธอจึงบอกอาบัติชั่วหยาบของภิกษุแก่อนุปสัมบันเล่า การกระทำของพวก
เธอนั่น ไม่เป็นไปเพื่อความเลื่อมใสของชุมชนที่ยังไม่เลื่อมใส หรือเพื่อความ
เลื่อมใสยิ่งของชุมชนที่เลื่อมใสแล้ว . . .
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็แลพวกเธอพึงยกสิกขาบทนี้ขึ้นแสดงอย่างนี้
ว่าดังนี้:-
พระบัญญัติ
๕๘. ๙. อนึ่ง ภิกษุใด บอกอาบัติชั่วหยาบของภิกษุ แก่
อนุปสัมบัน เว้นไว้แต่ภิกษุได้รับสมมติ เป็นปาจิตตีย์ .
เรื่องพระอุปนันทศากยบุตร จบ
สิกขาบทวิภังค์
[๓๔๓] บทว่า อนึ่ง . . . ใด ความว่า ผู้ใด คือ ผู้เช่นใด . . .
บทว่า ภิกษุ ความว่า ที่ชื่อว่า ภิกษุ เพราะอรรถว่า เป็นผู้ขอ . . .นี้
ชื่อว่า ภิกษุ ที่ทรงประสงค์ในอรรถนี้.
บทว่า ของภิกษุ คือ ของภิกษุรูปอื่น.
อาบัติที่ชื่อว่า ชั่วหยาบ ได้แก่ ปาราชิก และสังฆาทิเสส ๑๓.
ที่ชื่อว่า อนุปสัมบัน คือ เว้นภิกษุและภิกษุณี นอกนั้นชื่อว่า
อนุปสัมบัน.
บทว่า บอก คือ บอกแก่สตรี บุรุษ คฤหัสถ์ หรือบรรพชิต.
บทว่า เว้นไว้แต่ภิกษุได้รับสมมติ คือ ยกเว้นแต่ภิกษุที่สงฆ์
สมมติ.

248
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ เล่ม ๒ – หน้าที่ 249 (เล่ม 4)

บทภาชนีย์
[๓๔๔] การสมมติภิกษุ กำหนดอาบัติ ไม่กำหนดสกุลก็มี การสมมติ
ภิกษุ กำหนดสกุล ไม่กำหนดอาบัติก็มี การสมมติภิกษุ กำหนดอาบัติและ
กำหนดสกุลก็มี การสมมติภิกษุ ไม่กำหนดอาบัติ ไม่กำหนดสกุลก็มี
ที่ชื่อว่า กำหนดอาบัติ คือ สงฆ์กำหนดอาบัติว่า พึงบอกตามจำ-
นวนอาบัติเท่านี้
ที่ชื่อว่า กำหนดสกุล คือ สงฆ์กำหนดสกุลว่า พึงบอกในสกุล
มีจำนวนเท่านี้
ที่ชื่อว่า กำหนดอาบัติและกำหนดสกุล คือ สงฆ์กำหนดอาบัติ
และกำหนดสกุลไว้ว่า พึงบอกตามจำนวนอาบัติเท่านี้ ในสกุลมีจำนวนเท่านี้
ที่ชื่อว่า ไม่กำหนดอาบัติ ไม่กำหนดสกุล คือ สงฆ์ไม่ได้กำ-
หนดอาบัติ และไม่ได้กำหนดสกุลไว้ว่า พึงบอกตามจำนวนอาบัติเท่านี้ ใน
สกุลมีจำนวนเท่านี้.
[๓๔๕] ในการกำหนดอาบัติภิกษุบอกอาบัติอื่นนอกจากอาบัติที่สงฆ์
กำหนดไว้ ต้องอาบัติปาจิตตีย์
ในการกำหนดสกุล ภิกษุบอกในสกุลอื่นนอกจากสกุลที่สงฆ์กำหนดไว้
ต้องอาบัติปาจิตตีย์
ในการกำหนดอาบัติและกำหนดสกุล ภิกษุบอกอาบัตินอกจากอาบัติที่
สงฆ์กำหนดให้ ในสกุลนอกจากสกุลที่สงฆ์กำหนดให้ ต้องอาบัติปาจิตตีย์
ในการไม่กำหนดอาบัติ ไม่กำหนดสกุล บอก ไม่ต้องอาบัติ

249
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ เล่ม ๒ – หน้าที่ 250 (เล่ม 4)

ติกปาจิตตีย์
[๓๔๖] อาบัติชั่วหยาบ ภิกษุสำคัญว่าอาบัติชั่วหยาบ บอกแก่อนุป-
สัมบัน เว้นไว้แต่ภิกษุได้รับสมมติ ต้องอาบัติปาจิตตีย์
อาบัติชั่วหยาบ ภิกษุสงสัย บอกแก่อนุปสัมบัน เว้นไว้แต่ภิกษุได้
รับสมมติ ต้องอาบัติปาจิตตีย์
อาบัติชั่วหยาบ ภิกษุสำคัญว่ามิใช่อาบัติชั่วหยาบ บอกแก่อนุปสัมบัน
เว้นไว้แต่ภิกษุได้รับสมมติ ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
ทุกกฏ
[๓๔๗] ภิกษุบอกอาบัติไม่ชั่วหยาบ ต้องอาบัติทุกกฏ.
ภิกษุบอกอัชฌาจารที่ชั่วหยาบก็ตาม ไม่ชั่วหยาบก็ตาม แก่อนุปสัมบัน
ต้องอาบัติทุกกฏ.
อาบัติไม่ชั่วหยาบ ภิกษุสำคัญว่า อาบัติชั่วหยาบ . . .ต้องอาบัติทุกกฏ.
อาบัติไม่ชั่วหยาบ ภิกษุสงสัย. . . ต้องอาบัติทุกกฏ.
อาบัติไม่ชั่วหยาบ ภิกษุสำคัญว่า อาบัติไม่ชั่วหยาบ. . .ต้องอาบัติทุกกฏ.
อนาปัตติวาร
[๓๔๘] ภิกษุบอกวัตถุ ไม่บอกอาบัติ ๑ ภิกษุบอกอาบัติ ไม่บอก
วัตถุ ๑ ภิกษุได้รับสมมติ ๑ ภิกษุวิกลจริต ๑ ภิกษุอาทิกัมมิกะ ๑ ไม่ต้อง
อาบัติแล.
มุสาวาทวรรค สิกขาบทที่ ๙ จบ

250