No Favorites




หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย วิมานวัตถุ เล่ม ๒ ภาค ๑ – หน้าที่ 262 (เล่ม 48)

บิดาผู้แก่เฒ่าตาบอด. คนธรรพ์ ชื่อมุสิละ ชาวอุชเชนี ได้ทราบถึงความ
สำเร็จทางศิลปะของอาจารย์คุตติละนั้น จึงเข้าไปหาทำความเคารพแล้วยืน
ณ ส่วนข้างหนึ่ง เมื่ออาจารย์คุตติการละกามว่า ท่านมีธุระอะไรหรือ จึงบอกว่า
ประสงค์จะเรียนศิลปะในสำนักของอาจารย์. อาจารย์คุตติละมองดูมุสิละ
คนธรรพ์นั้น เพราะเป็นผู้ฉลาดในการดูลักษณะ คิดว่า เจ้านี้มีอัธยาศัย
ไม่เรียบร้อยหยาบคาย จักเป็นคนไม่รู้จักคุณคน ไม่ควรสงเคราะห์ ดังนี้
จึงไม่ให้โอกาสที่จะเรียนศิลปะ มุสิละจึงเข้าไปหามารดาบิดาของอาจารย์
คุตติละ ขอร้องให้มารดาบิดาช่วย. อาจารย์คุตติละ เมื่อถูกมารดาบิดา
แค่นได้ จึงคิดว่า ถ้อยคำของครู ควรแก่ค่า ดังนี้ จึงเริ่มบอกศิลปะแก่
มุสิละ เพราะอาจารย์คุตติละปราศจากความตระหนี่ และเพราะมีความ
กรุณาจึงไม่ทำอาจริยมุฏฐิ (หวงความรู้) ให้มุสิละศึกษาศิลปะโดยสิ้นเชิง.
แม้มุสิละนั้น เพราะเป็นคนฉลาด เพราะสะสมบุญมาก่อนและ
เพราะไม่เกียจคร้าน ไม่ช้าก็เรียนจบศิลปะจึงคิดว่า กรุงพาราณสีนี้ เป็น
นครเลิศในชมพูทวีป ถ้ากระไร เราควรแสดงศิลปะแก่บริษัทหน้าพระที่นั่ง
ในนครนี้ เมื่อเป็นเช่นนั้น เราก็จักปรากฏชื่อเสียงเป็นที่รู้จักยิ่งกว่าอาจารย์
ในชมพูทวีป ดังนี้. มุสิละ จึงบอกแก่อาจารย์ว่า กระผมประสงค์จะ
แสดงศิลปะหน้าพระที่นั่ง ขอท่านอาจารย์ได้โปรดนำกระผมเข้าเฝ้าด้วยเถิด.
พระมหาสัตว์ มีความกรุณาว่า มุสิละนี้ เรียนศิลปะในสำนักของเราจงได้
รับอุปถัมภ์ ดังนี้ จึงนำเขาเข้าเฝ้าพระราชา แล้วกราบทูลว่า ขอเดชะ
ฝ่าละอองธุลีพระบาท ขอพระองค์ได้โปรดทอดพระเนตรดูความชำนิ
ชำนาญในการดีดพิณของลูกศิษย์ ของข้าพระพุทธเจ้าผู้นี้เถิด พระเจ้าข้า
พระราชาตรัสสั่งว่า ดีแล้ว ทรงสดับการดีดพิณของมุสิละนั้น พอพระทัย

262
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย วิมานวัตถุ เล่ม ๒ ภาค ๑ – หน้าที่ 263 (เล่ม 48)

ยิ่งนัก ครั้นมุสิละกราบทูลลา ทรงห้ามแล้วตรัสว่า เจ้าจงอยู่รับราชการ
กับเราเถิด เราจักให้ครึ่งหนึ่งจากส่วนที่ให้แก่อาจารย์. มุสิละกราบทูลว่า
ขอเดชะ. ข้าพระองค์จะไม่ขอรับต่ำกว่าอาจารย์ ขอพระองค์ได้โปรดพระ-
ราชทานเท่ากับอาจารย์เถิด พระเจ้าข้า เมื่อพระราชาตรัสว่า เจ้าอย่าพูด
อย่างนั้นซิ ธรรมดาอาจารย์เป็นผู้ใหญ่ เราจักให้เจ้าครึ่งหนึ่งเท่านั้น มุสิละ
กราบทูลว่า ขอเดชะพระอาญาไม่พ้นเกล้า ฯ ขอพระองค์ได้โปรดทอด
พระเนตรศิลปะของข้าพระองค์และอาจารย์เถิด พระเจ้าข้า แล้วก็ออกจาก
กรุงราชคฤห์ เที่ยวโฆษณาไปในที่นั้น ๆ ว่า จากนี้ไป ๗ วัน จักมีการ
แสดงศิลปะ ที่หน้าพระลานหลวง ระหว่างข้าพเจ้าและอาจารย์คุตติละ
ขอเชิญผู้ประสงค์จะชมศิลปะนั้นจงพากันนาชมเถิด.
พระมหาสัตว์ สดับดังนั้นแล้วคิดว่า มุสิละนี้ ยังหนุ่มมีกำลัง ส่วน
เราแก่แล้วกำลังก็น้อย ถ้าเราแพ้ เราตายเสียดีกว่า เพราะฉะนั้น เราจะ
เข้าไปป่าผูกคอตายละ จึงไปป่า เกิดกลัวตายก็กลับ อยากตายอีกไปป่า
กลัวตายอีกก็กลับ เมื่อพระมหาสัตว์ไป ๆ มา ๆ อยู่อย่างนี้ ที่นั้นเตียนโล่ง
ไม่มีหญ้าเลย. ลำดับนั้น เทวราชเข้าไปหาพระมหาสัตว์ปรากฏรูปประ-
ดิษฐานอยู่บนอากาศ กล่าวอย่างนี้ว่า ท่านอาจารย์ทำอะไร. พระ-
มหาสัตว์ได้ทูลตอบแสดงความเจ็บใจของตนว่า
ข้าแต่ท้าวโกสีย์ ข้าพระองค์ได้สอนวิชาดีดพิณ
๗ สาย มีเสียงไพเราะมากน่ารื่นรมย์ แก่มุสิละผู้
เป็นศิษย์ เขาตั้งใจจะดีดพิณประชันกับข้าพระองค์
กลางเวที ขอพระองค์ได้โปรดเห็นที่พึ่งแก่ข้าพระองค์
ด้วยเกิด.

263
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย วิมานวัตถุ เล่ม ๒ ภาค ๑ – หน้าที่ 264 (เล่ม 48)

อธิบายความว่า ข้าแต่เทวราช ข้าพระองค์ได้สอนศิลปะของคนธรรพ์
มิให้เสียงขับร้อง ๔ อย่าง มีเสียงเหมือนนกยูงร้องเป็นต้น เสื่อมไปจาก
การจำแนกเสียงเป็นต้น อันได้แก่วิชาชื่อว่า พิณ ๗ สาย เพราะแสดง
เสียง ๗ อย่าง มีเสียงเหมือนนกยูงร้องเป็นต้น เพราะมีสาย ๗ สาย ชื่อว่า
มีเสียงไพเราะมาก เพราะทำเสียงนั้นไม่ให้เสื่อมไปจากชนิดของเสียง ๒๒
อย่าง ตามสมควร ดังนี้จึงชื่อ สุมธุระ ชื่อว่า น่ารื่นรมย์ เพราะเสียง
และพิณน่ารื่นรมย์อย่างยิ่งแก่ผู้ฟังโดยการเทียบกันและกัน เพราะเป็นผู้
ฉลาดในการปรับเสียงครบ ๕๐ เสียง ตามที่เรียนมา เพราะเหตุนั้น
ข้าพระองค์ได้สอนได้ให้เรียนได้ให้ศึกษาแก่ลูกศิษย์ ชื่อว่า มุสิละ. มุสิละ
นั้นเป็นลูกศิษย์ จะดีดพิณประชันกับข้าพระองค์ผู้เป็นอาจารย์ของตนบน
เวที คือ ท้าทาย เพื่อแสดงความวิเศษของตนด้วยการแข่งดี เขาบอก
กะข้าพระองค์ว่า อาจารย์จงมาแสดงศิลปะกันเถิด ดังนี้ ข้าแต่ท้าวโกสีย-
เทวราช ขอพระองค์จงเป็นที่พึ่งอาศัยแก่ข้าพระองค์ด้วยเถิด.
ท้าวสักกเทวราชได้สดับดังนั้น เมื่อจะทรงปลอบว่า อาจารย์อย่า
กลัวเลย ข้าพเจ้าเป็นที่พึ่ง ช่วยบรรเทาทุกข์ของอาจารย์ จึงตรัสว่า
ท่านอาจารย์ ข้าพเจ้าจะเป็นที่พึงของอาจารย์
ข้าพเจ้าเป็นผู้บูชาท่านอาจารย์ ข้าพเจ้าผู้เป็นศิษย์จะ
ไม่ปล่อยให้ท่านอาจารย์แพ้ ท่านอาจารย์จะต้องชนะ
นายมุสิละผู้เป็นศิษย์แน่นอน.
นัยว่า พระมหาสัตว์ได้เป็นอาจารย์ของท้าวสักกเทวราชในอัตภาพ
ก่อน. ด้วยเหตุนั้น ท้าวสักกเทวราชจึงกล่าวว่า อหมาจริย ปูชโก

264
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย วิมานวัตถุ เล่ม ๒ ภาค ๑ – หน้าที่ 265 (เล่ม 48)

ข้าพเจ้าเป็นผู้บูชาท่านอาจารย์ ดังนี้ ไม่ใช่คู่แข่งขันเหมือนนายมุสิละ.
เมื่อลูกศิษย์เช่นข้าพเจ้ายิ่งมีอยู่ อาจารย์เช่นท่านจะแพ้ได้อย่างไร. เพราะ-
ฉะนั้น ศิษย์จักไม่ชนะท่านอาจารย์ได้. ท่านอาจารย์นั่นแหละจักชนะนาย
มุสิละผู้เป็นศิษย์อย่างแน่นอน. อธิบายว่า นายมุสิละนั้นเมื่อแพ้แล้วจักถึง
ความพินาศ. ก็แลครั้นท้าวสักกเทวราชตรัสอย่างนี้ แล้วจึงปลอบว่า ใน
วันที่ ๗ ข้าพเจ้าจักมายังโรงแข็งขันกัน ขอให้ท่านอาจารย์วางใจ เล่น
ดนตรีไปเถิด แล้วก็เสด็จไป.
ครั้นถึงวันที่ ๗ พระราชาพร้อมด้วยข้าราชบริพารประทับนั่ง ณ
ท้องพระโรง. อาจารย์คุตติละและนายมุสิละ เตรียมตัวเพื่อแสดงศิลปะ
เข้าไปถวายบังคมพระราชา นั่งบนอาสนะที่ตนได้ แล้วดีดพิณ ท้าวสักกะ
เสด็จยืนบนอากาศ. พระมหาสัตว์เห็นท้าวสักกะนั้น แต่คนนอกนั้นไม่เห็น.
พวกบริษัทได้ตั้งใจฟังในการดีดพิณของทั้ง ๒ คณะ ท้าวสักกะตรัสกับ
อาจารย์คุตติละว่า ท่านอาจารย์จงดีดสายที่ ๑. เมื่อดีดสายที่ ๑ แล้ว
พิณได้มีเสียงกังวานไพเราะ ท้าวสักกะตรัสต่อไปว่า ท่านอาจารย์จงดีดสาย
ที่ ๒ ที่ ๓ ที่ ๔ ที่ ๕ ที่ ๖ ที่ ๗. เมื่อดีดพิณเหล่านั้นแล้ว พิณก็ได้มี
เสียงก้องกังวานไพเราะยิ่งขึ้น. นายมุสิละเห็นดังนั้น เห็นทีว่าตนแพ้แน่
ถึงกับคอตก. พวกบริษัทต่างร่าเริงยินดี ยกผืนผ้าโบกไปมา ซ้องสาธุการ
แก่อาจารย์คุตติละ. พระราชาตรัสสั่งให้นำนายมุสิละออกจากท้องพระโรง.
มหาชนเอาก้อนดินท่อนไม้เป็นต้นขว้างปา จนนายมุสิละถึงแก่ความตายใน
ที่นั้นนั่นเอง.
ท้าวสักกเทวราชแสดงความชื่นชมยินดีกับพระมหาบุรุษ แล้วเสด็จ
กลับสู่เทวโลกทันที. ทวยเทพทูลถามท้าวสักกะว่า ข้าแต่มหาราช พระองค์

265
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย วิมานวัตถุ เล่ม ๒ ภาค ๑ – หน้าที่ 266 (เล่ม 48)

เสด็จไปไหนมา ครั้นได้ฟังเรื่องราวนั้นแล้ว จึงพากันกราบทูลว่า ข้าแต่
มหาราช พวกข้าพระองค์อยากเห็นพระอาจารย์คุตติละ ขอประทานโอกาส
ขอพระองค์ทรงนำอาจารย์คุตติละมาแสดงแก่พวกข้าพระองค์ ณ ที่นี้เถิด
ท้าวสักกะสดับคำของทวยเทพแล้ว มีเทวบัญชาให้มาตลี เอาเวชยันตรถไป
รับอาจารย์คุตติละมาให้พวกเรา ทวยเทพอยากจะเห็นอาจารย์นั้น. มาตลี
ได้ทำตามเทวบัญชา. ท้าวสักกะทรงทำความชื่นชมยินดีกับพระมหาสัตว์
แล้วตรัสว่า ท่านอาจารย์โปรดดีดพิณ ทวยเทพอยากฟัง. อาจารย์คุตติละ
ทูลว่า ข้าพระองค์เลี้ยงชีพด้วยศิลปะ เมื่อไม่มีค่าจ้างก็จะไม่แสดงศิลปะ.
ท้าวสักกะตรัสถามว่า ก็อาจารย์ต้องการค่าจ้างเช่นไรเล่า. อาจารย์คุตติละ
ทูลว่า ข้าพระองค์ไม่ต้องการค่าจ้างอย่างอื่น แต่ขอให้ทวยเทพเหล่านี้
บอกถึงกุศลกรรมที่ตนทำมาแล้วในชาติก่อนนั่นแล เป็นค่าจ้างของข้า-
พระองค์ละ. ทวยเทพต่างรับว่าดีแล้ว.
ลำดับนั้น พระมหาสัตว์ เมื่อจะถามถึงความประพฤติชอบที่ทวยเทพ
เหล่านั้นกระทำแล้วในอัตภาพก่อน อันเป็นเหตุแห่งสมบัตินั้นโดยการประ-
กาศถึงสมบัติที่ทวยเทพเหล่านั้นได้ในครั้งนั้นเฉพาะตน จึงถามด้วยคาถามี
อาทิว่า ภิกฺกนฺเตน วณฺเณน ดังนี้ ดุจท่านมหาโมคคัลลานะถามฉะนั้น.
แม้ทวยเทพเหล่านั้นก็ตอบแก่อาจารย์คุตติละ เหมือนอย่างที่ตอบแก่พระ-
เถระ ด้วยบทมีอาทิว่า วตฺถุตฺตมทายิกา นารี ดังนี้. ด้วยเหตุนั้น
พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า ดูก่อนโมคคัลลานะ เทวดาเหล่านั้นมิได้
ตอบอย่างเดียวกับที่เธอถามเท่านั้น เมื่อก่อนก็ได้ตอบเหมือนอย่างที่เรา
ถามเหมือนกันดังนี้.
ได้ยินว่า หญิงเหล่านั้น ครั้งศาสนาพระกัสสปสัมมาสัมพุทธเจ้า เกิด

266
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย วิมานวัตถุ เล่ม ๒ ภาค ๑ – หน้าที่ 267 (เล่ม 48)

เป็นมนุษย์ ได้กระทำบุญอย่างนั้น ๆ. บรรดาหญิงเหล่านั้น คนหนึ่งได้
ถวายผ้า คนหนึ่งได้ถวายพวงดอกมะลิหนึ่งพวง ต้นหนึ่งได้ถวายของหอม
คนหนึ่งได้ถวายผลไม้อย่างดี คนหนึ่งได้ถวายอ้อย คนหนึ่งได้ถวายของ
หอม ๕ อย่างประพรมในเจดีย์ของพระผู้มีพระภาคเจ้า คนหนึ่งรักษา
อุโบสถ คนหนึ่งได้ถวายน้ำแก่ภิกษุผู้ฉันที่เรือในเวลาเข้าไปใกล้ คนหนึ่ง
เมื่อแม่ผัวพ่อผัวโกรธก็ไม่โกรธตอบ ได้ทำการปรนนิบัติ คนหนึ่งเป็น
ทาสี ไม่เกียจคร้านมีมารยาทดี คนหนึ่งได้ถวายข้าวเจือด้วยน้ำนมแก่ภิกษุ
ผู้ออกบิณฑบาต คนหนึ่งได้ถวายน้ำอ้อย คนหนึ่งได้ถวายท่อนอ้อย คน
หนึ่งได้ถวายมะพลับ คนหนึ่งได้ถวายแตงกวา คนหนึ่งได้ถวายฟักเหลือง
คนหนึ่งได้ถวายยอดผัก คนหนึ่งได้ถวายลิ้นจี่ คนหนึ่งได้ถวายเชิงกราน
คนหนึ่งได้ถวายผักดองกำหนึ่ง คนหนึ่งได้ถวายดอกไม้กำหนึ่ง คนหนึ่ง
ได้ถวายหัวมัน คนหนึ่งได้ถวายสะเดากำหนึ่ง คนหนึ่งได้ถวายผักดอง
คนหนึ่งได้ถวายแป้งงา คนหนึ่งได้ถวายผ้ารัดเอว คนหนึ่งได้ถวายผ้าอังสะ
คนหนึ่งได้ถวายพัด คนหนึ่งได้ถวายพัดสี่เหลี่ยม คนหนึ่งได้ถวายพัด
ใบตาล คนหนึ่งได้ถวายกำหางนกยูง คนหนึ่งได้ถวายร่ม คนหนึ่งได้
ถวายรองเท้า คนหนึ่งได้ถวายขนม คนหนึ่งได้ถวายขนมก้อน คนหนึ่ง
ได้ถวายน้ำตาลกรวด. เทพธิดาเหล่านั้น องค์หนึ่ง ๆ มีนางอัปสรพันหนึ่ง
เป็นบริวารรุ่งเรืองด้วยเทวฤทธิ์ใหญ่ บังเกิดเป็นบริจาริกาของท้าวสักก-
เทวราช ในภพดาวดึงส์ ถูกอาจารย์คุตติการละกาม จึงตอบถึงกุศลที่ตนทำ
ตามลำดับ โดยนัยมีอาทิว่า วตฺถุตฺตมทายิกา นารี ดังนี้.
อาจารย์คุตติละได้ถามบุรพกรรมของเทพธิดาเหล่านั้นว่า
ดูก่อนแม่เทพธิดา ท่านมีวรรณะงามยิ่งนัก ยัง
ทิศทั้งปวงให้สว่างไสว สถิตอยู่เหมือนดาวประกายพรึก

267
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย วิมานวัตถุ เล่ม ๒ ภาค ๑ – หน้าที่ 268 (เล่ม 48)

เพราะกรรมอะไร ท่านจึงมีวรรณะงานเช่นนั้น เพราะ
กรรมอะไร จึงสำเร็จแก่ท่านในเทวโลกนี้ โภคะทั้ง-
หลายไร ๆ เห็นที่รัก ย่อมเกิดแก่ท่าน เพราะกรรม
อะไร.
ดูก่อนเทวี ผู้มีอานุภาพมาก ข้าพเจ้าขอถาม
ท่าน เมื่อครั้งท่านเป็นมนุษย์ได้ทำบุญอะไรไว้ เพราะ
กรรมอะไร ท่านจึงมีอานุภาพรุ่งเรืองอย่างนี้ และรัศมี
ของท่านรุ่งเรืองไปทั่วทิศ เพราะกรรมอะไร.
เทพธิดานั้น อันอาจารย์คุตติละถามเหมือน
พระโมคคัลลานะถาม แล้วมีใจยินดี จึงตอบถึง
ผลกรรมนั้นว่า
ดีฉันเป็นสตรีผู้ประเสริฐในนระและนารีทั้ง-
หลาย ได้ถวายผ้าเนื้อดีแก่ภิกษุหนึ่ง ดีฉันได้ถวาย
ผ้าอันน่ารักอย่างนี้ จึงได้เข้าถึงฐานะอันเป็นทิพย์
อย่างนี้ เชิญดูวิมานของดีฉันเถิด ดีฉันยังเป็นนางฟ้า
ที่มีผิวพรรณน่ารัก ทั้งเป็นผู้เลิศกว่านางอัปสรตั้งพัน
เชิญดูผลแห่งบุญทั้งหลายเถิด เพราะผลแห่งบุญนั้น
ดีฉันจึงมีวรรณะงามเช่นนี้ความสำเร็จในที่นี้ของดีฉัน
เพราะผลบุญนั้น โภคะทั้งหลายอันเป็นที่รักย่อมเกิด
แก่ดีฉัน เพราะผลบุญนั้น.
แก่ภิกษุผู้มีอานุภาพมาก ดีฉันขอบอกท่านว่า
เมื่อครั้งดีฉันเป็นมนุษย์ได้ทำบุญอะไรไว้ เพราะบุญ

268
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย วิมานวัตถุ เล่ม ๒ ภาค ๑ – หน้าที่ 269 (เล่ม 48)

นั้น ดีฉันจึงมีอานุภาพรุ่งเรืองอย่างนั้นและมีรัศมีสว่าง
ไสวไปทั่วทุกทิศ.
วิมาน ๔ นอกนี้ มีความพิสดารเหมือนวัตถุตตมทายิกาวิมาน.
พระมหาโมคคัลลานเถระถามว่า
ดูก่อนเทพธิดา ท่านมีวรรณะงามยิ่งนัก ฯ ล ฯ
และมีรัศมีสว่างไปทั่วทุกทิศ เพราะกรรมอะไร.
นางเทพธิดานั้น อันพระโมคคัลลานะถามแล้ว
มีความปลื้มใจ ได้ตอบถึงผลแห่งกรรมนั้นว่า
ดีฉันเป็นสตรีประเสริฐในนระและนารีทั้งหลาย
ได้ถวายดอกไม้อย่างดีแก่ภิกษุรูปหนึ่ง ดีฉันได้ถวาย
ดอกไม้น่ารักอย่างนี้ จึงได้เข้าถึงฐานะอันเป็นทิพย์
น่าปลื้มใจอย่างนี้ นิมนต์พระคุณเจ้าดูวิมานของดีฉัน
เถิด ดีฉันเป็นนางฟ้าที่มีผิวพรรณน่ารัก ทั้งยังเป็นผู้
เลิศกว่านางอัปสรตั้งพัน เพราะบุญกรรมนั้น ดีฉันจึง
มีวรรณะงามเช่นนี้ และมีรัศมีสว่างไสวไปทั่วทุกทิศ.
พระมหาโมคคัลลานะถามว่า
ดูก่อนเทพธิดา ท่านมีวรรณะงามยิ่งนัก ฯ ล ฯ
และมีรัศมีสว่างไสวไปทั่วทุกทิศเพราะบุญกรรมอะไร.
นางเทพธิดาตอบว่า
ดีฉันเป็นนารีผู้ประเสริฐในนระและนารีทั้ง-

269
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย วิมานวัตถุ เล่ม ๒ ภาค ๑ – หน้าที่ 270 (เล่ม 48)

หลาย ได้ถวายของหอมอย่างดีแก่ภิกษุรูปหนึ่ง ฯ ล ฯ
เพราะบุญกรรมนั้น ดีฉันจึงมีวรรณะงามเช่นนี้ และมี
รัศมีสว่างไสวไปทั่วทุกทิศ.
พระมหาโมคคัลลานเถระถามว่า
ดูก่อนเทพธิดา ท่านมีวรรณะงามยิ่งนัก และ
มีรัศมีสว่างไสวไปทั่วทุกทิศ ฯ ล ฯ เพราะบุญกรรม
อะไร ท่านจึงมีวรรณะงามเช่นนี้ และมีรัศมีสว่างไสว
ไปทั่วทุกทิศ.
เทพธิดาตอบว่า
ดีฉันเป็นสตรีผู้ประเสริฐในนระและนารีทั้ง-
หลาย ได้ถวายผลไม้อย่างดีแก่ภิกษุรูปหนึ่ง ฯ ล ฯ
เพราะบุญกรรมนั้น ดีฉันจึงมีวรรณะงามเช่นนี้ และมี
รัศมีสว่างไสวไปทั่วทุกทิศ.
พระมหาโมคคัลลานเถระถามว่า
ดูก่อนเทพธิดา ท่านมีวรรณะงามยิ่งนัก และ
มีรัศมีสว่างไสวไปทั่วทุกทิศ ฯ ล ฯ เพราะบุญกรรม
อะไร ท่านจึงมีวรรณะงามเช่นนี้ และมีรัศมีสว่างไสว
ไปทั่วทุกทิศ.
เทพธิดาตอบว่า
ดีฉันเป็นสตรีผู้ประเสริฐในนระและนารีทั้งหลาย
ได้ถวายอาหารมีรสอย่างดีแก่ภิกษุหนึ่ง เพราะบุญ

270
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย วิมานวัตถุ เล่ม ๒ ภาค ๑ – หน้าที่ 271 (เล่ม 48)

กรรมนั้น ดีฉันจึงมีวรรณะงามเช่นนี้ และมีรัศมีสว่าง
ไสวไปทั่วทุกทิศ.
พระมหาโมคคัลลานเถระถามว่า
ดูก่อนเทพธิดา ท่านมีวรรณะงามยิ่งนัก มีรัศมี
สว่างไสวไปทั่วทุกทิศ ฯ ล ฯ เพราะบุญกรรมอะไร.
เทพธิดาตอบว่า
ดีฉันได้ถวายของหอม ๕ อย่างประพรมที่
พระสถูปบรรจุพระบรมธาตุ ของพระผู้มีพระภาคเจ้า
พระนามว่ากัสสป เพราะบุญกรรมนั้น ดีฉันจึงมี
วรรณะงามเช่นนี้ และมีรัศมีสว่างไสวไปทั่วทุกทิศ.
วิมาน ๔ นอกนี้ มีความพิสดารเหมือนคันธปัญจังคุลิกวิมาน.
พระมหาโมคคัลลานเถระถามว่า
ดูก่อนเทพธิดา ท่านมีวรรณะงามยิ่งนัก มีรัศมี
สว่างไสวไปทั่วทุกทิศ ฯ ล ฯ เพราะบุญกรรมอะไร
ท่านจึงมีวรรณะงามเช่นนี้ และมีรัศมีสว่างไสวไปทั่ว
ทุกทิศ.
เทพธิดาตอบว่า
ดีฉันได้เห็นภิกษุและภิกษุณีพากันเดินทางไกล
ได้ฟังธรรมของท่านเหล่านั้น ได้เข้ารักษาอุโบสถอยู่
วันหนึ่งคืนหนึ่ง เพราะบุญกรรมนั้น ดีฉันจึงมีวรรณะ
งามเช่นนี้ และมีรัศมีสว่างไสวไปทั่วทุกทิศ.

271