หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ เล่ม ๒ – หน้าที่ 201 (เล่ม 4)

บอกปฐมฌาน
[๓๐๙] บทว่า บอก คือ ภิกษุบอกแก่อนุปสัมบันว่า ข้าพเจ้าเข้า
ปฐมฌานแล้ว ดังนี้ ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
บทว่า บอก คือ ภิกษุบอกแก่อนุปสัมบันว่า ข้าพเจ้าเข้าปฐมฌานอยู่
ดังนี้ ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
บทว่า บอก คือ ภิกษุบอกแก่อนุปสัมบันว่า ข้าพเจ้าเป็นผู้เข้า
ปฐมฌานแล้ว ดังนี้ ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
บทว่า บอก คือ ภิกษุบอกแก่อนุปสัมบันว่า ข้าพเจ้าเป็นผู้ได้
ปฐมฌาน ดังนี้ ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
บทว่า บอก คือ ภิกษุบอกแก่อนุปสัมบันว่า ข้าพเจ้าเป็นผู้ชำนาญ
ในปฐมฌาน ดังนี้ ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
บทว่า บอก คือ ภิกษุบอกแก่อนุปสัมบันว่า ปฐมฌานข้าพเจ้าทำ
ให้แจ้งแล้ว ดังนี้ ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
บอกทุติยฌาน
[๓๑๐] บทว่า บอก คือ ภิกษุบอกแก่อนุปสัมบันว่า ข้าพเจ้าเข้า
ทุติยฌานแล้ว ดังนี้ ต้องอาบัติปาจิตตีย์
. . .ข้าพเจ้าเข้าทุติยฌานอยู่ ดังนี้ ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
. . .ข้าพเจ้าเป็นผู้เข้าทุติยฌานแล้ว ดังนี้ ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
. . .ข้าพเจ้าเป็นผู้ได้ทุติยฌาน ดังนี้ ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
. . .ข้าพเจ้าเป็นผู้ชำนาญในทุติยฌาน ดังนี้ ต้องอาบัติปาจิตตีย์
. . .ทุติยฌานข้าพเจ้าทำให้แจ้งแล้ว ดังนี้ ต้องอาบัติปาจิตตีย์.

201
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ เล่ม ๒ – หน้าที่ 202 (เล่ม 4)

บอกตติยฌาน
. . .เข้าตติยฌานแล้ว . . . ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
. . .เข้าตติยฌานอยู่ . . . ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
. . .เป็นผู้เข้าตติยฌานแล้ว . . .ต้องอาบัติปาจิตตีย์. .
. . .เป็นผู้ได้ตติยฌาน . ..ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
. . .เป็นผู้ชำนาญในตติยฌาน .. .ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
. . .ตติยฌานข้าพเจ้าทำให้แจ้งแล้ว . . . ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
บอกจตุตถฌาน
. . .เข้าจตุตถฌานแล้ว . . .ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
. . .เข้าจตุตถฌานอยู่ . . . ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
. . .เป็นผู้เข้าจตุตถฌานแล้ว . . . ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
. . .เป็นผู้ได้จตุตถฌาน . . .ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
. . .เป็นผู้ชำนาญในจตุตถฌาน . . .ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
. . .จตุตถฌานข้าพเจ้าทำให้แจ้งแล้ว . . .ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
บอกสุญญตวิโมกข์
[๓๑๑] บทว่า บอก คือ ภิกษุบอกแก่อนุปสัมบันว่า ข้าพเจ้าเข้า
สุญญตวิโมกข์แล้ว ดังนี้ ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
. . .ข้าพเจ้าเข้าสุญญตวิโมกข์อยู่ ดังนี้ ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
. . .ข้าพเจ้าเป็นผู้เข้าสุญญตวิโมกข์แล้ว ดังนี้ ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
. . .ข้าพเจ้าเป็นผู้ได้สุญญตวิโมกข์ ดังนี้ ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
. . .ข้าพเจ้าเป็นผู้ชำนาญในสุญญตวิโมกข์ . . .ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
. . .สุญญตวิโมกข์ข้าพเจ้าทำให้แจ้งแล้ว . . .ต้องอาบัติปาจิตตีย์.

202
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ เล่ม ๒ – หน้าที่ 203 (เล่ม 4)

บอกอนิมิตตวิโมกข์
. . .เข้าอนิมิตตวิโมกข์แล้ว . . . ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
. . .เข้าอนิมิตตวิโมกข์อยู่ . . . ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
. . .เป็นผู้เข้าอนิมิตตวิโมกข์แล้ว . . . ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
. . .เป็นผู้ได้อนิมิตตวิโมกข์ . . . ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
. . .เป็นผู้ชำนาญในอนิมิตตวิโมกข์ . . . ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
. . .อนิมิตตวิโมกข์ข้าพเจ้าทำให้แจ้งแล้ว . . . ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
บอกอัปปณิหิตวิโมกข์
. . .เข้าอัปปณิหิตวิโมกข์แล้ว . . . ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
. . .เข้าอัปปณิหิตวิโมกข์อยู่ . . . ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
. . .เป็นผู้เข้าอัปปณิหิตวิโมกข์แล้ว . . . ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
. . .เป็นผู้ได้อัปปณิหิตวิโมกข์ . . .ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
. . .เป็นผู้ชำนาญในอัปปณิหิตวิโมกข์ . . . ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
. . .อัปปณิหิตวิโมกข์ข้าพเจ้าทำให้แจ้งแล้ว . . . ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
บอกสุญญตสมาธิ
. . .ข้าพเจ้าเข้าสุญญตสมาธิแล้ว . . . ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
. . .ข้าพเจ้าเข้าสุญญตสมาธิอยู่ . . .ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
. . .ข้าพเจ้าเป็นผู้เข้าสุญญตสมาธิแล้ว . . .ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
. . .ข้าพเจ้าเป็นผู้ได้สุญญตสมาธิ . . . ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
. . .ข้าพเจ้าเป็นผู้ชำนาญในสุญญตสมาธิ . . . ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
. . .สุญญตสมาธิข้าพเจ้าทำให้แจ้งแล้ว . . .ต้องอาบัติปาจิตตีย์.

203
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ เล่ม ๒ – หน้าที่ 204 (เล่ม 4)

บอกอนิมิตตสมาบัติ
. . .เข้าอนิมิตตสมาธิแล้ว . . . ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
. . .เข้าอนิมิตตสมาธิอยู่ . . .ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
. . .เป็นผู้เข้าอนิมิตตสมาธิแล้ว . . .ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
. . .เป็นผู้ได้อนิมิตตสมาธิ . ..ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
. . .เป็นผู้ชำนาญในอนิมิตตสมาธิ . . .ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
. . .อนิมิตตสมาธิข้าพเจ้าทำให้แจ้งแล้ว . . . ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
บอกอัปปหิตสมาธิ
. . .เข้าอัปปณิหิตสมาธิแล้ว . . . ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
. . .เข้าอัปปณิหิตสมาธิอยู่ . . .ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
. . .เป็นผู้เข้าอัปปณิหิตสมาธิแล้ว . . . ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
. . .เป็นผู้ได้อัปปณิหิตสมาธิ .. .ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
. . .เป็นผู้ชำนาญในอัปปณิหิตสมาธิ . . .ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
. . .อัปปณิหิตสมาธิข้าพเจ้าทำให้แจ้งแล้ว . . . ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
บอกสุญญตสมาบัติ
[๓๑๒] บทว่า บอก คือ ภิกษุบอกแก่อนุปสัมบันว่า ข้าพเจ้าเข้า
สุญญตสมาบัติแล้ว ดังนี้ ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
. . .ข้าพเจ้าเข้าสุญญตสมาบัติอยู่ ดังนี้ ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
. . .ข้าพเจ้าเป็นผู้เข้าสุญญตสมาบัติแล้ว ดังนี้ ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
. . .ข้าพเจ้าเป็นผู้ได้สุญญตสมาบัติ ดังนี้ ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
. . .ข้าพเจ้าเป็นผู้ชำนาญในสุญญตสมาบัติ ดังนี้ ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
. . .สุญญตสมาบัติ ข้าพเจ้าทำให้แจ้งแล้ว ดังนี้ ต้องอาบัติปาจิตตีย์.

204
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ เล่ม ๒ – หน้าที่ 205 (เล่ม 4)

บอกอนิมิตตสมาบัติ
. . .เข้าอนิมิตตสมาบัติแล้ว . . . ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
. . .เข้าอนิมิตตสมาบัติอยู่ . . . ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
. . .เป็นผู้เข้าอนิมิตตสมาบัติแล้ว . . .ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
. . .เป็นผู้ได้อนิมิตตสมาบัติ .. .ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
. . .เป็นผู้ชำนาญในอนิมิตตสมาบัติ . ..ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
. . .อนิมิตตสมาบัติ ข้าพเจ้าทำให้แจ้งแล้ว ดังนี้ ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
บอกอัปปณิหิตสมาบัติ
. . .เข้าอัปปณิหิตสมาบัติแล้ว . . . ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
. . .เข้าอัปปณิหิตสมาบัติอยู่ . . . ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
. . .เป็นผู้เข้าอัปปณิหิตสมาบัติแล้ว . . .ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
. . .เป็นผู้ได้อัปปณิหิตสมาบัติ . ..ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
. . .เป็นผู้ชำนาญในอัปปณิหิตสมาบัติ . . .ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
. . .อัปปณิหิตสมาบัติ ข้าพเจ้าทำให้แจ้งแล้ว. . . . ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
บอกวิชชา ๓
[๓๑๓] บทว่า บอก คือ ภิกษุบอกแก่อนุปสัมบันว่า ข้าพเจ้าเข้า
วิชชา ๓ แล้ว ดังนี้ ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
. . .เข้าวิชชา ๓ อยู่ . . .ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
. . .เป็นผู้เข้าวิชชา ๓ แล้ว . . .ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
. . .เป็นผู้ได้วิชชา ๓ . . . ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
. . .เป็นผู้ชำนาญในวิชชา ๓ . . .ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
. ..วิชชา ๓ ข้าพเจ้าทำให้แจ้งแล้ว . . . ต้องอาบัติปาจิตตีย์.

205
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ เล่ม ๒ – หน้าที่ 206 (เล่ม 4)

บอกสติปัฏฐาน
[๓๑๔] บทว่า บอก คือ ภิกษุบอกแก่อนุปสัมบันว่า ข้าพเจ้าเข้า
สติปัฏฐาน ๔ แล้วดังนี้ ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
. . .เข้าสติปัฏฐาน ๔ อยู่ ดังนี้ ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
. . .เป็นผู้เข้าสติปัฏฐาน ๔ แล้ว ดังนี้ ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
. . .เป็นผู้ได้สติปัฏฐาน ๔ ดังนี้ ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
. . .เป็นผู้ชำนาญในสติปัฏฐาน ๔ ดังนี้ ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
. . .สติปัฏฐาน ๔ ข้าพเจ้าทำให้แจ้งแล้ว ดังนี้ ต้องอาบัติปาจิตทิย์.
บอกสัมมัปปธาน ๔
. . .ข้าพเจ้าเข้าสัมมัปปธาน ๔ แล้ว ดังนี้ ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
. . .เข้าสัมมัปปธาน ๔ อยู่ . . .ต้องอาบัติปาจิตตีย์
. . .เป็นผู้เข้าสัมมัปปธาน ๔ แล้ว . . . ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
. . .เป็นผู้ได้สัมมัปปธาน ๔ . . .ต้องอาบัติปาจิตตีย์
. . .เป็นผู้ชำนาญในสัมมัปปธาน ๔ . ..ต้องอาบัติปาจิตตีย์
. . .สัมมัปปธาน ๔ ข้าพเจ้าทำให้แจ้งแล้ว . . . ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
บอกอิทธิบาท ๔
. . .ข้าพเจ้าเข้าอิทธิบาท ๔ แล้ว ดังนี้ ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
. . .เข้าอิทธิบาท ๔ อยู่ . . . ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
. . .เป็นผู้เข้าอิทธิบาท ๔ แล้ว . . .ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
. . .เป็นผู้ได้อิทธิบาท ๔ . . .ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
. . .เป็นผู้ชำนาญในอิทธิบาท ๔ . . .ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
. . .อิทธิบาท ๔ ข้าพเจ้าทำให้แจ้งแล้ว . . . ต้องอาบัติปาจิตตีย์.

206
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ เล่ม ๒ – หน้าที่ 207 (เล่ม 4)

บอกอินทรีย์ ๕
[๓๑๕] บทว่า บอก คือ ภิกษุบอกแก่อนุปสัมบันว่า ข้าพเจ้าเข้า
อินทรีย์แล้ว ดังนี้ ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
. . .เข้าอินทรีย์ ๕ อยู่ . . . ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
. . .เป็นผู้เข้าอินทรีย์ ๕ แล้ว . . . ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
. . .เป็นผู้ได้อินทรีย์ ๕ . . . ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
. . .เป็นผู้ชำนาญในอินทรีย์ ๕ .. . ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
. . .อินทรีย์ ๕ ข้าพเจ้าทำให้แจ้งแล้ว . . . ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
บอกพละ ๕
. . .ข้าพเจ้าเข้าพละ ๕ แล้ว ดังนี้ ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
. . .เข้าพละ ๕ อยู่ . . . ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
. . .เป็นผู้เข้าพละ ๕ แล้ว . . . ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
. . .เป็นผู้ได้พละ ๕ . . .ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
. . .เป็นผู้ชำนาญในพละ ๕ . . .ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
. . .พละ ๕ ข้าพเจ้าทำให้แจ้งแล้ว . . . ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
บอกโพชฌงค์ ๗
[๓๑๖] บทว่า บอก คือ ภิกษุบอกแก่อนุปสัมบันว่า ข้าพเจ้าเข้า
โพชฌงค์ ๗ แล้ว ดังนี้ ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
. . .เข้าโพชฌงค์ ๗ อยู่ . . .ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
. . .เป็นผู้เข้าโพชฌงค์ ๗ แล้ว . . . ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
. . .เป็นผู้ได้โพชฌงค์ ๗ . . .ต้องอาบัติปาจิตตีย์.

207
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ เล่ม ๒ – หน้าที่ 208 (เล่ม 4)

. . .เป็นผู้ชำนาญในโพชฌงค์ ๗ . . .ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
. . .โพชฌงค์ ๗ ข้าพเจ้าทำให้แจ้งแล้ว . . . ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
บอกอริยมรรคมีองค์ ๘
[๓๑๗] บทว่า บอก คือ ภิกษุบอกแก่อนุปสัมบันว่า ข้าพเจ้าเข้า
อริยมรรคมีองค์ ๘ แล้ว ดังนี้ ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
. . .เข้าอริยมรรคมีองค์ ๘ อยู่ . . . ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
. . .เป็นผู้เข้าอริยมรรคมีองค์ ๘ แล้ว . . . ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
. . .เป็นผู้ได้อริยมรรคมีองค์ ๘ . . .ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
. . .เป็นผู้ชำนาญในอริยมรรคมีองค์ ๘ . . .ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
. . .อริยมรรคมีองค์ ๘ ข้าพเจ้าทำให้แจ้งแล้ว . . . ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
บอกโสดาปัตติผล
[๓๑๘] บทว่า บอก คือ ภิกษุบอกแก่อนุปสัมบันว่า ข้าพเจ้าเข้า
โสดาปัตติผลแล้ว ดังนี้ ต้องอาบัติปาจิตตีย์
. . .เข้าโสดาปัตติผลอยู่ . . .ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
. . .เป็นผู้เข้าโสดาปัตติผลแล้ว . . .ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
. . .เป็นผู้ได้โสดาปัตติผล . . .ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
. . .เป็นผู้ชำนาญในโสดาปัตติผล . . .ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
. . .โสดาปัตติผล ข้าพเจ้าทำให้แจ้งแล้ว . . . ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
บอกสกทาคามิผล
. . .ข้าพเจ้าเข้าสกทาคามิผลแล้ว ดังนี้ ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
. . .เข้าสกทาคามิผลอยู่ . ..ต้องอาบัติปาจิตตีย์.

208
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ เล่ม ๒ – หน้าที่ 209 (เล่ม 4)

. . .เป็นผู้เข้าสกทาคามิผลแล้ว . . . ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
. . .เป็นผู้ได้สกทาคามิผล . . . ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
. . .เป็นผู้ชำนาญในสกทาคามิผล. . . ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
. . .สกทาคามิผล ข้าพเจ้าทำให้แจ้งแล้ว . . . ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
บอกอนาคามิผล
. . .ข้าพเจ้าเข้าอนาคามิผลแล้ว ดังนี้ ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
. . .เข้าอนาคามิผลอยู่ . .. ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
. . .เป็นผู้เข้าอนาคามิผลแล้ว . . .ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
. . .เป็นผู้ได้อนาคามิผล . . . ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
. . .เป็นผู้ชำนาญในอนาคามิผล . . .ต้องอาบัติปาจิตตีย์
. . .อนาคามิผล ข้าพเจ้าทำให้แจ้งแล้ว . . . ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
บอกอรหัตผล
. . .เข้าอรหัตผลแล้ว . . .ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
. . .เข้าอรหัตผลอยู่ . . .ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
. . .เป็นผู้เข้าอรหัตผลแล้ว . . . ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
. . .เป็นผู้ชำนาญในอรหัตผล . . .ต้องอาบัติปาจิตตีย์
. . .อรหัตผลข้าพเจ้าทำให้แจ้งแล้ว . . . ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
บอกสละ ราคะ โทสะ โมหะ
[๓๑๙] บทว่า บอก คือ ภิกษุบอกแก่อนุปสันบันว่า ราคะข้าพเจ้า
สละแล้ว ตายแล้ว พ้นแล้ว ละแล้ว สลัดแล้ว เพิกแล้ว ถอนแล้ว ดังนี้
ต้องอาบัติปาจิตตีย์.

209
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ เล่ม ๒ – หน้าที่ 210 (เล่ม 4)

. . .โทสะ ข้าพเจ้าสละแล้ว . . . ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
. . .โมหะ ข้าพเจ้าสละแล้ว . . . ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
. . .บอกจิตเปิดจากราคะ โทสะ โมหะ
[๓๒๐] บทว่า บอก คือ ภิกษุบอกแก่อนุปสัมบัน ว่า จิตของข้าพเจ้า
เปิดจากราคะ ดังนี้ ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
. . .จิตของข้าพเจ้าเปิดจากโทสะ ดังนี้ ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
. . .จิตของข้าพเจ้าเปิดจากโมหะ ดังนี้ ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
บอกเข้าปฐมฌานในสุญญาคาร
[๓๒๑] บทว่า บอก คือ ภิกษุบอกแก่อนุปสัมบันว่า ข้าพเจ้าเข้า
ปฐมฌานในสุญญาคารแล้ว ดังนี้ ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
. . .เข้าปฐมฌานในสุญญาคารอยู่ . ..ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
. . .เป็นผู้เข้าปฐมฌานในสุญญาคารแล้ว . . . ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
. . .เป็นผู้ได้ปฐมฌานในสุญญาคาร . . . ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
. . .เป็นผู้ชำนาญในปฐมฌานในสุญญาคาร . . ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
. . .ปฐมฌานในสุญญาคารข้าพเจ้าทำให้แจ้งแล้วะ . .ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
บอกเข้าทุติยฌานในสุญญาคาร
. . .ข้าพเจ้าเข้าทุติยฌานในสุญญาคารแล้ว ดังนี้ ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
. . .เข้าทุติยฌานในสุญญาคารอยู่ . . .ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
. . .เป็นผู้เข้าทุติยฌานในสุญญาคารแล้ว . . . ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
. . .เป็นผู้ได้ทุติยฌานในสุญญาคาร . . .ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
. . .เป็นผู้ชำนาญทุติยฌานในสุญญาคาร . . .ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
. . .ทุติยฌานในสุญญาคารข้าพเจ้าทำให้แจ้งแล้ว. . .ต้องอาบัติปาจิตตีย์.

210