No Favorites




หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย วิมานวัตถุ เล่ม ๒ ภาค ๑ – หน้าที่ 222 (เล่ม 48)

ในบทเหล่านั้น บทว่า อสฺสทฺเธสุ โยชนาแก้ว่า ดีฉันมีศรัทธา
ถึงพร้อมด้วยศีล ในเมื่อแม่ผัวเป็นต้นไม่มีศรัทธา เพราะไม่มีความเชื่อ
ในพระรัตนตรัยและความเชื่อผลของกรรม ตระหนี่ เพราะเป็นผู้มีมัจฉริยะ
จัด.
บทว่า อปูวํ คือขนมเบื้อง. บทว่า เต เป็นเพียงนิบาต. อธิบายว่า
ข้าพเจ้าบอกแก่แม่ผัวเพื่อให้รู้ว่าเอาขนมมาแล้ว และเพื่อให้อนุโมทนา.
บทว่า อสฺสา ในบทว่า อิติสฺสา นี้เป็นเพียงนิบาต. บทว่า
สมณสฺส ททามหํ ได้แก่ ข้าพเจ้าถวายขนมเบื้องแก่สมณะ โยชนาแก้ว่า
แม่ผัวบริภาษว่า เพราะเองไม่เชื่อฟังข้า ฉะนั้น เองเป็นหญิงสาวที่ไม่มี
ใครสั่งสอน.
บทว่า ปหาสิ แปลว่า ประหารแล้ว. บทว่า กูฏํ ในบทว่า
กูฏงฺคจฺฉิ อวธิ มํ นี้ ท่านกล่าวว่าจะงอยบ่า. ชื่อว่า กูฏังคะ เพราะ
เป็นอวัยวะยอดนั่นเอง โดยลบบทต้นเสีย ชื่อว่า กูฏงฺคจฺฉิ เพราะทำลาย
จะงอยบ่านั้น. แม่ผัวโกรธจัดอย่างนี้จึงทุบตีฉัน คือตีจะงอยบ่าของดีฉัน
อธิบายว่า แม่ผัวฆ่าดีฉันจนตายด้วยความพยายามนั้น. ด้วยเหตุนั้นท่าน
จึงกล่าวว่า นาสกฺขึ ชีวิตุํ จิรํ ไม่อาจมีชีวิตอยู่ได้นานดังนี้.
บทว่า วิปฺปมุตฺตา ได้แก่ พ้นด้วยดีจากทุกข์นั้น. บทที่เหลือมีนัย
ดังกล่าวแล้วนั่นแล.
จบอรรถกถาอุฬารวิมาน

222
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย วิมานวัตถุ เล่ม ๒ ภาค ๑ – หน้าที่ 223 (เล่ม 48)

๒. อุจฉุทายิกาวิมาน
ว่าด้วยอุจฉุทายิกาวิมาน
[๓๐] พระมหาโมคคัลลานเถระ ถามนางเทพธิดานั้นด้วยคาถา
ความว่า
ดูก่อนนางเทพธิดา ท่านมีสิริ มีผิวพรรณ
เปล่งปลั่ง มียศและเดช สว่างไสวไพโรจน์ทั่วแผ่นดิน
รวมทั้งเทวโลกเหมือนกับพระจันทร์ เป็นผู้ประเสริฐ
เหมือนท้าวมหาพรหม รุ่งเรืองกว่าเทพเจ้าเหล่าไตร-
ทศพร้อมทั้งอินทร์ อาตมาขอถามท่านผู้ทัดทรงดอก
อุบล ยินดีแต่พวงมาลัยประดับเศียร มีผิวพรรณ
เปล่งปลั่งดั่งทองคำ ประดับประดาอาภรณ์สวยงาม
นุ่งห่มผ้าอย่างดี ดูก่อนเทพธิดาผู้เลอโฉม ท่านเป็น
ใครมาไหว้อาตมาอยู่ เมื่อก่อน ครั้งเมื่อเกิดเป็น
มนุษย์ในชาติก่อน ท่านได้ทำกรรมอะไรไว้ด้วยตน
ได้ให้ทานหรือรักษาศีลอย่างไรไว้ ท่านได้เข้าถึงสุคติ
มีเกียรติยศ เพราะกรรมอะไร ดูก่อนนางเทพธิดา
อาตมาถามแล้วขอจงบอก ผลนี้แห่งกรรมอะไร.
นางเทพธิดานั้น อันพระมหาโมคคัลลานเถระถามแล้ว กล่าวตอบ
ด้วยคาถาว่า
ข้าแต่ท่านผู้เจริญ พระเถระรูปหนึ่งเข้ามายัง
บ้านของดีฉันเพื่อบิณฑบาต ในกรุงราชคฤห์นี้ ทันใด

223
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย วิมานวัตถุ เล่ม ๒ ภาค ๑ – หน้าที่ 224 (เล่ม 48)

นั้น ดีฉันมีจิตเลื่อมใสเพราะปีติ สุดที่จะหาสิ่งใดมา
เทียบได้ จึงได้ถวายท่อนอ้อยแก่ท่าน ภายหลังแม่ผัว
ได้ถามถึงท่อนอ้อยที่หายไปว่า ท่อนอ้อยหายไปไหน
จึงตอบว่า ท่อนอ้อยนั้นดีฉันไม่ได้ทิ้ง ทั้งไม่ได้รับ
ประทาน แต่ดีฉันได้ถวายแก่ภิกษุผู้สงบระงับ ทันใด
นั้นแม่ผัวได้บริภาษดีฉันว่า เธอหรือฉันเป็นเจ้าของ
ท่อนอ้อยนั้น ว่าแล้วก็คว้าเอาตั่งฟาดดีฉันจนถึงตาย
เมื่อดีฉันจุติจากมนุษยโลกนั้นแล้ว จึงมาเกิดเป็นนาง
เทพธิดา ดีฉันได้ทำกุศลกรรมนั้นไว้อย่างเดียว เพราะ
กรรมนั้นเป็นเหตุ ดีฉันจึงมาเสวยความสุขด้วยตน
เอง เพรียบพร้อมด้วยเทพเจ้าผู้รับใช้ ร่าเริงบันเทิงใจ
อยู่ด้วยเบญจกามคุณ อนึ่ง ดีฉันได้ทำกุศลกรรมนั้น
เท่านั้น เพราะกรรมนั้นเป็นเหตุ ดีฉันจึงมาเสวย
ความสุขด้วยตนเอง เป็นผู้ที่ท้าวสักกะจอมเทพคุ้ม
ครองแล้ว และเป็นผู้อันเทพเจ้าขาวไตรทศอารักขา
ด้วย จึงเป็นผู้เพรียบพร้อมไปด้วยเบญจกามคุณ ผล
บุญเช่นนี้มิใช่น้อย การถวายท่อนอ้อยของดีฉันมีผล
อันยิ่งใหญ่ ดีฉันเพรียบพร้อมด้วยเทพเจ้าผู้รับใช้
ร่าเริงบันเทิงใจอยู่ด้วยเบญจกามคุณ ผลบุญเช่นนี้
มิใช่น้อย การถวายท่อนอ้อยของดีฉันมีผลรุ่งเรืองมาก
ดีฉันเป็นผู้ที่ท้าวสักกะจอมเทพทรงคุ้มครองแล้ว ทั้ง
เทพเจ้าไตรทศก็ให้อารักขาด้วย ดังท้าวสหัสนัยน์

224
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย วิมานวัตถุ เล่ม ๒ ภาค ๑ – หน้าที่ 225 (เล่ม 48)

ในสวนนันทนวันฉะนั้น ข้าแต่ท่านผู้เจริญ ก็ดีฉันเข้า
มานมัสการท่านผู้มีความกรุณา มีปัญญารู้แจ้งและ
ถามถึงความไม่มีโรคภัยด้วย เพราะฉะนั้น ดีฉันมี
ใจเลื่อมใสด้วยปีติสุดที่จะหาสิ่งใด ๆ มาเทียบเคียง
ได้ ได้ถวายท่อนอ้อยแก่พระคุณเจ้าในครั้งนั้น.
จบอุจฉุทายิกาวิมาน
อรรถกถาอุจฉุทายิกาวิมาน
อุจฉุทายิกาวิมาน มีคาถาว่า โอภาสยิตฺวา ปฐวึ สเทวกํ ดังนี้
เป็นต้น. อุจฉุทายิกาวิมานนั้นเกิดขึ้นอย่างไร ?
บทมีอาทิว่า ภควา ราชคเห วิหรติ ทั้งหมดเช่นเดียวกับที่ได้
กล่าวมาแล้ว ในวิมานเป็นลำดับไป แต่ในที่นี้ต่างกันที่นางถวายอ้อย. นาง
ถูกแม่ผัวประหารด้วยตั่งตายในขณะนั้นทันทีแล้ว ไปบังเกิดในสวรรค์ชั้น
ดาวดึงส์ ในคืนนั้นเอง นางมาปรนนิบัติพระเถระมีรัศมีรุ่งเรือง ดุจ
พระจันทร์และพระอาทิตย์ ยังภูเขาคิชฌกูฏ ให้สว่างไสวไปทั่ว ยืน
ประคองอัญชลีไหว้พระเถระอยู่ ณ ส่วนหนึ่ง. ลำดับนั้น พระเถระถาม
นางด้วยคาถาเหล่านี้ว่า
ท่านยังปฐพีพร้อมด้วยเทวโลกให้สว่างไสวรุ่ง-
เรื่องยิ่ง ด้วยสิริ ด้วยวรรณะ ด้วยยศ และด้วยเดชดุจ
พระจันทร์ และพระอาทิตย์ ดุจพระพรหมในไตรทศ

225
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย วิมานวัตถุ เล่ม ๒ ภาค ๑ – หน้าที่ 226 (เล่ม 48)

เทวโลกพร้อมด้วยพระอินทร์ เราขอถามท่าน ดูก่อน
เทวดาผู้งาม มีหนังสีทอง ตกแต่งงดงาม ท่านคล้อง
มาลัยดอกบัว สวมดอกไม้ทำด้วยแก้วบนศีรษะ นุ่งผ้า
ชั้นยอด ท่านเป็นใครจึงไหว้เรา เมื่อก่อนท่านได้ทำ
กรรมอะไรไว้ด้วยตน ท่านเป็นมนุษย์ในชาติก่อน
สะสมทานและสำรวมในศีล เข้าถึงสุคติมียศ ด้วย
กรรมอะไร.
ดูก่อนเทพธิดา เราถามท่าน ท่านจงบอกว่า
นี้เป็นผลของกรรมอะไร.
ในบทเหล่านั้น บทว่า โอภาสยิตฺวา ปฐวึ สเทวกํ ความว่า ยัง
ปฐพีนี้อันเป็นภูมิภาคที่เข้าไปถึงได้ พร้อมกับอากาศเทวโลกให้รุ่งโรจน์
เพราะรุ่งโรจน์ด้วยรัศมีอันซ่านออกจากข้างภูเขาสิเนรุปนกับรัศมีพระจันทร์
และพระอาทิตย์. อธิบายว่า ทำให้มีแสงสว่างเป็นอันเดียวกัน คือให้มีความ
รุ่งโรจน์เป็นอันเดียวกัน . โยชนาแก้ว่า ยังปฐพีให้สว่างไสว ดุจพระ-
จันทร์และพระอาทิตย์. บทว่า อติโรจสิ ได้แก่ รุ่งเรืองยิ่งนัก. ก็พระ-
เถระกล่าวความรุ่งเรืองยิ่งนักนั้นว่า ด้วยกรรมอะไร ดุจอะไร หรือเพราะ
อะไร มีคำตอบว่า ด้วยสิริเป็นต้น. ในบทเหล่านั้น บทว่า สิริยา ได้แก่
ด้วยความวิเศษมีความงามเลิศเป็นต้น. บทว่า เตชสา ได้แก่ ด้วยอานุภาพ
ของตน. บทว่า อาเวฬินิ ได้แก่ พวงบุปผาทำด้วยแก้ว.
พระเถระถามอย่างนี้แล้ว เทพธิดาจึงตอบด้วยคาถาเหล่านี้ว่า

226
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย วิมานวัตถุ เล่ม ๒ ภาค ๑ – หน้าที่ 227 (เล่ม 48)

ข้าแต่พระคุณเจ้าผู้เจริญ. บัดนี้พระคุณเจ้าเข้า
ไปยังเรือนของดีฉัน เพื่อบิณฑบาตในบ้านนี้ แต่นั้น
ดีฉันมีจิตเลื่อมใส ได้ถวายท่อนอ้อย. มีปีติเป็นล้น
พ้น. ภายหลังแม่ผัวซักไซ้ดีฉันว่า นี่แน่แม่หญิงสาว
เจ้าทิ้งอ้อยไว้ที่ไหน. ดีฉันตอบว่า ฉันไม่ได้ทิ้งและ
ไม่ได้กิน ฉันได้ถวายแก่ภิกษุผู้สงบด้วยตนเองจ๊ะ.
แม่ผัวได้บริภาษดีฉันว่า เอ็งเป็นใหญ่หรือข้าเป็นพระ
แล้วแม่ผัวก็ยกตั่งขั้นทุบดีฉันจนถึงตาย ดีฉันจุติจาก
มนุษยโลกแล้วจึงมาเกิดเป็นเทพธิดา ดีฉันทำกุศล
กรรมนั้น จึงได้เสวยสุขด้วยตน ดีฉันรื่นเริงบันเทิง
ด้วยกามคุณ ๕ ดังเหล่าเทพ. ดีฉันอันจอมเทพคุ้ม
ครอง ทวยเทพในไตรทศรักษา เอิบอิ่มไปด้วยกามคุณ
๕ จึงได้เสวยความสุขด้วยตนเอง. ผลบุญเช่นนี้ไม่
ใช่เล็กน้อย การถวายอ้อยของดีฉันเป็นผลบุญยิ่งใหญ่
ดีฉันรื่นเริงบันเทิงด้วยกามคุณ ๕ กับหมู่เทพทั้งหลาย.
ผลบุญเช่นนี้ไม่ใช่เล็กน้อย การถวายอ้อยของดีฉัน
มีผลรุ่งเรืองมาก จอมเทพคุ้มครอง ทวยเทพในไตร-
ทศรักษา ดุจท้าวสหัสนัยน์ในสวนนันทนวันฉะนั้น.
ข้าแต่พระคุณเจ้าผู้เจริญ ดีฉันเข้าไปหาท่านผู้อนุ-
เคราะห์ผู้มีปัญญาแล้วไหว้และถามถึงกุศล แต่นั้น
ดีฉันมีจิตใจเลื่อมใส มีปีติอันล้นพ้นได้ถวายท่อน
อ้อยแก่พระคุณเจ้า ดังนี้.

227
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย วิมานวัตถุ เล่ม ๒ ภาค ๑ – หน้าที่ 228 (เล่ม 48)

ในบทเหล่านั้น บทว่า อิทานิ ได้แก่ เทพธิดากล่าวเพราะเป็น
วันที่ล่วงไปแล้วเป็นลำดับ. อธิบายว่า เดี๋ยวนี้. บทว่า อิมเมว คามํ
ได้แก่ ในบ้านนี้นั่นเอง. เทวดากล่าวหมายถึงกรุงราชคฤห์. ดังที่ท่าน
กล่าวว่า บ้านก็ดี นิคมก็ดี เมืองก็ดี ท่านเรียกว่า คาม ทั้งนั้น. อนึ่ง
บทว่า อิมเมว คามํ นี้เป็นทุติยาวิภัตติลงในอรรถแห่งสัตตมีวิภัตติ.
บทว่า อุปาคมิ ได้แก่ เข้าไปแล้ว. บทว่า อตุลาย ได้แก่ ไม่มี
เปรียบ หรือไม่มีประมาณ.
บทว่า อวากิริ ได้แก่ นำออกไป คือทิ้ง หรือทำให้เสียหาย.
บทว่า สนฺตสฺส ได้แก่เป็นผู้สำรวมดี มีกิเลสสงบหรือไม่ถึงความดิ้นรน.
นุ ศัพท์ในบทว่า ตุยฺหํ นุ เป็นนิบาตลงในอรรถอันส่องถึง
ความไม่มีตัวตน. นุ ศัพท์นั้นพึงนำมาประกอบแม้ในบทว่า มม เป็น
มม นุ ดังนี้. บทว่า อิทํ อิสฺสริยํ แม่ผัวกล่าวหมายถึงความเป็น
ใหญ่ในเรือน. บทว่า ตโต จุตา ได้แก่ จุติจากมนุษยโลกนั้น. เพราะ
แม้ไปจากที่ที่ดำรงอยู่ ท่านก็เรียกว่า จุตา ฉะนั้น เพื่อให้ต่างกับจุติ
ท่านจึงกล่าวว่า กาลคตา. อนึ่ง แม้ถึงแก่กรรมแล้ว ก็ยังไม่เกิดในที่ใด
ที่หนึ่ง. ก็แลเมื่อเทพธิดาแสดงว่า ดีฉันถึงความเป็นเทพธิดา จึงกล่าวว่า
อมฺหิ เทวตา ดีฉันเป็นเทพธิดา ดังนี้.
บทว่า ตเทว กมฺมํ กุสลํ กตํ มยา ความว่า ดีฉันทำกรรม
เป็นกุศลเพียงถวายท่อนอ้อยนั้นเท่านั้น. อธิบายว่า ดีฉันไม่รู้อย่างอื่น.
บทว่า สุขญฺจ กมฺมํ ได้แก่ ผลของกรรมอันเป็นความสุข. จริงอยู่ในที่
นี้ท่านกล่าวผลของกรรมว่า กมฺมํ ด้วยลบบทหลังหรือใกล้เคียงกับเหตุ
ดุจในประโยคมีอาทิว่า

228
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย วิมานวัตถุ เล่ม ๒ ภาค ๑ – หน้าที่ 229 (เล่ม 48)

กุสลานํ ภิกฺขเว ธมฺมานํ สมาทานเหตุ เอวมิทํ ปุญฺญํ ปวฑฺฒติ
ความว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย บุญนี้ย่อมเจริญอย่างนี้ เพราะเหตุแห่งการ
สมาทานธรรมเป็นกุศล และในประโยคมีอาทิว่า อนุโภมิ สกํ ปุญฺญํ
ความว่า ข้าพเจ้าเสวยบุญของตนดังนี้. อีกอย่างหนึ่ง บทว่า กมฺมํ เป็น
ทุติยาวิภัตติลงในอรรถแห่งตติยาวิภัตติ ความว่า กมฺเมน แปลว่า
ด้วยกรรม. อีกอย่างหนึ่ง กรรมเกิดในกรรนชื่อยถากรรม. อีกอย่างหนึ่ง
ชื่อว่ากรรมเพราะอันบุคคลพึงใคร่ เพราะว่ากรรมนั้นเข้าไปประกอบด้วย
กาม เพราะติดในความสุข จึงชื่อว่า กมนียะ เพราะควรใคร่. บทว่า
อตฺตนา คือ ด้วยตนเอง อธิบายว่า ด้วยตนเองโดยความเป็นอิสระ
เพราะตนเองมีอำนาจ. บทว่า ปริจารยามหํ อตฺตานํ ในคาถาก่อน
กล่าวว่า อตฺตนา ควรตั้งบทว่า อตฺตานํ เพราะเปลี่ยนวิภัตติ.
บทว่า เทวินฺทคุตฺตา ได้แก่ ท้าวสักกะจอมเทพคุ้มครอง หรือ
คุ้มครองดุจจอมเทพเพราะมีบริวารมาก. บทว่า สมปฺปิตา ได้แก่ เอิบอิ่ม
ด้วยดี คือถึงพร้อมด้วยดี. บทว่า มหาวิปากา คือ มีผลไพบูลย์.
บทว่า มหาชุติกา คือ มีเดชมาก มีอานุภาพมาก.
บทว่า ตุวํ คือ ซึ่งท่าน. บทว่า อนุกมฺปกํ คือ มีความกรุณา.
บทว่า วิทุํ คือ มีปัญญา. อธิบายว่า ถึงที่สุดแห่งสาวกบารมี. บทว่า
อุเปจฺจ แปลว่า เข้าไปหา. บทว่า วนฺทึ ได้แก่ กราบด้วยเบญจางค-
ประดิษฐ์. ข้าพเจ้าได้ถามถึงกุศลคือความไม่มีโรค. อธิบายว่า ข้าพเจ้า
ระลึกถึงกุศลนี้ด้วยปีติอันล้นพ้น. บทที่เหลือมีนัยดังได้กล่าวแล้วในหน
หลังนั่นแล.
จบอรรถกถาอุจฉุทายิกาวิมาน

229
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย วิมานวัตถุ เล่ม ๒ ภาค ๑ – หน้าที่ 230 (เล่ม 48)

๓. ปัลลังกวิมาน
ว่าด้วยปัลลังกวิมาน
[๓๑] พระมหาโมคคัลลานเถระ ถามนางเทพธิดานั้นด้วยคาถา
ความว่า
ดูก่อนนางเทพธิดาผู้มีอานุภาพมาก ท่านอยู่
บนที่นอนใหญ่เป็นบัลลังก์อันประเสริฐ อันบุญกรรม
ตกแต่งให้วิจิตรด้วยแก้วมณีและทองคำ โรยดอกไม้
ไว้เกลื่อนกล่น อนึ่ง รอบ ๆ ตัวท่าน เหล่านางเทพ-
อัปสรมีร่างสมทรง แผลงฤทธิ์ได้ต่าง ๆ ฟ้อนรำ
ขับร้อง ให้ท่านร่าเริงบันเทิงใจอยู่เป็นนิจ ท่านเป็น
นางเทพธิดาผู้ศักดิ์สิทธิ์มีฤทธิ์อานุภาพมาก ครั้งเมื่อ
ท่านยังเป็นมนุษย์อยู่ได้ทำบุญอะไรไว้ ท่านเป็นผู้มี
อานุภาพอันรุ่งเรือง และมีรัศมีกายสว่างไสวไปทั่ว
ทุกทิศอย่างนี้ เพราะบุญกรรมอะไร.
นางเทพธิดานั้นตอบว่า
ดีฉันเมื่อเกิดเป็นมนุษย์อยู่ในมนุษยโลก เป็น
บุตรสะใภ้ในตระกูลอันมั่งคั่งตระกูลหนึ่ง ดีฉันเป็น
ผู้ไม่โกรธ เป็นผู้ประพฤติอยู่ใต้บังคับบัญชาของสามี
ไม่ประมาทในวันอุโบสถ เมื่อดีฉันยังเป็นสาวอยู่
เป็นผู้ภักดีด้วยการไม่ประพฤตินอกใจสามีหนุ่ม ดีฉัน

230
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย วิมานวัตถุ เล่ม ๒ ภาค ๑ – หน้าที่ 231 (เล่ม 48)

เป็นที่โปรดปรานของสามีเป็นอย่างยิ่ง ก็เพราะดีฉัน
มีน้ำใจผ่องใส ดีฉันได้ประพฤติตนให้เป็นที่ชื่นชอบ
ใจของสามีทั้งกลางวันและกลางคืน ชาติก่อนดีฉัน
เป็นผู้มีศีล เป็นผู้บำเพ็ญในสิกขาบททั้งหลาย อย่าง
ครบถ้วน คือ เว้นขาดจากการฆ่าสัตว์ ไม่ลักทรัพย์
มีการงานทางกายบริสุทธิ์ ประพฤติพรมจรรย์อย่าง
สะอาดไม่กล่าวคำเท็จ และเว้นขาดจากดื่มน้ำเมา
ดีฉันมีใจเลื่อมใส ประพฤติตามธรรม ปลาบปลื้มใจ
เข้ารักษาอุโบสถประกอบด้วยองค์ ๘ ประการ ใน
วัน ๑๔ ค่ำ ๑๕ ค่ำ และวัน ๘ ค่ำ แห่งปักษ์ และ
ตลอดปาฏิหาริยปักษ์ ครั้นดีฉันสมาทานกุศลธรรม
อันประกอบด้วยองค์ ๘ ประการอย่างประเสริฐเป็น
อริยะ มีความสุขเป็นกำไร เช่นนี้แล้ว ชาติก่อน
ดีฉันได้เป็นสาวิกาของพระสุคตเจ้า ได้เป็นผู้อยู่ใต้
บังคับบัญชาของสามีเป็นอันดี ครั้นดีฉันทำกุศลกรรม
เช่นนี้ ในขณะที่ยังมีชีวิตอยู่ในมนุษยโลก เป็นผู้มี
ส่วนแห่งภพอันวิเศษ พอสิ้นชีพลงแล้ว ดีฉันจึงถึง
ความเป็นนางเทพธดาผู้มีฤทธิ์ ในอภิสัมปรายภพ
มาสู่สวรรค์ ห้อมล้อมด้วยหมู่นางเทพอัปสรในวิมาน
มีปราสาทอย่างประเสริฐ น่ารื่นรมย์ คณะเทพเจ้า
และเหล่านางเทพธิดาทั้งหลาย ซึ่งมีรัศมีซ่านออก

231