No Favorites




หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย วิมานวัตถุ เล่ม ๒ ภาค ๑ – หน้าที่ 212 (เล่ม 48)

ล่วงไปได้ ๒-๓ วัน หางก็ทำกาละตายไปบังเกิดในภพดาวดึงส์ มี
เทพอัปสรประมาณพันหนึ่งเป็นบริวาร. ท่านพระมหาโมคคัลลานเถระ
ถามเทพธิดานั้น ด้วยคาถาว่า
ดูก่อนเทพธิดา ท่านมีวรรณะงาม ฯลฯ เหมือน
ดาวประกายพรึก เพราะบุญอะไร ท่านจึงมีวรรณะ
เช่นนี้ ฯ ล ฯ และรัศมีของท่านจึงสว่างไสวไปทุกทิศ.
เทพธิดานั้น ถูกพระโมคคัลลานเถระถามแล้ว
ดีใจ ก็พยากรณ์ปัญหาของกรรมที่มีผลอย่างไรว่า
ในชาติก่อน ครั้งเกิดเป็นมนุษย์ ดีฉันอยู่ในหมู่
มนุษย์ในมนุษยโลก ได้พบพระพุทธเจ้าผู้ปราศจาก
กิเลสธุลีผ่องใสไม่ขุ่นมัว ดีฉันเลื่อมใส ก็ถวาย
ภิกษาแด่พระองค์ด้วยมือของตนเอง เพราะบุญนั้น
ดีฉันจึงมีวรรณะเช่นนี้ ฯ ล ฯ และรัศมีของดีฉันจึง
สว่างไสวไปทุกทิศ.
คำที่เหลือทั้งหมดมีเนื้อความง่ายทั้งนั้น เพราะมีนัยอันกล่าวมาแล้ว
ในหนหลัง.
จบอรรถกถาปฐมภิกษาทายิกาวิมาน

212
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย วิมานวัตถุ เล่ม ๒ ภาค ๑ – หน้าที่ 213 (เล่ม 48)

๑๑. ทุติยภิกษาทายิกาวิมาน
ว่าด้วยภิกษุทายิกาวิมาน
[๒๘] พระมหาโมคคัลลานเถระถามเทพธิดานั้น ด้วยคาถานี้ว่า
ดูก่อนเทพธิดา ท่านเป็นผู้มีวรรณะงาม มีรัศมี
ส่องสว่างไสวไปทุกทิศ เหมือนดาวประกายพรึก
เพราะบุญอะไร ท่านจึงมีวรรณะเช่นนี้ ฯ ล ฯ และ
รัศมีของท่านสว่างไสวไปทุกทิศ.
เทพธิดานั้น ถูกพระโมคคัลลานเถระถามแล้ว
ดีใจ จึงได้พยากรณ์ปัญหาแห่งกรรมที่มีผลอย่างนี้ว่า
ในชาติก่อน ครั้งเกิดเห็นมนุษย์ ดีฉันอยู่ใน
หมู่มนุษย์ในมนุษยโลก ได้พบพระพุทธเจ้าผู้ปราศ-
จากกิเลสธุลี ผ่องใสไม่ขุ่นมัว ก็เลื่อมใส ได้ถวาย
ภิกษาแด่พระองค์ด้วยมือของดีฉันเอง เพราะบุญอัน
นั้น ดีฉันจึงมีวรรณะเช่นนี้ ฯ ล ฯ และรัศมีของดีฉัน
จึงสว่างไสวไปทุกทิศ.
จบทุติยภิกษาทายิกาวิมาน
อรรถกถาทุติยภิกษาทายิกาวิมาน
ทุติยภิกษาทายิกาวิมาน มีคาถาว่า อภิกฺกนฺเตน วณฺเณน ดังนี้เป็น
ต้น. ทุติยภิกษาทายิกาวิมานนั้นเกิดขึ้นอย่างไร ?

213
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย วิมานวัตถุ เล่ม ๒ ภาค ๑ – หน้าที่ 214 (เล่ม 48)

พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ ณ พระเวฬุวันกลันทกนิวาปสถาน
กรุงราชคฤห์. ในกรุงราชคฤห์นั้น มีหญิงคนหนึ่ง มีศรัทธาเลื่อมใส ได้
เห็นพระขีณาสพรูปหนึ่งกำลังเที่ยวบิณฑบาต นิมนต์ให้ท่านเข้าไปเรือน
ของตนแล้ว ได้ถวายโภชนาหาร. สมัยต่อมา นางทำกาละตายไปบังเกิด
ในภพดาวดึงส์. คำที่เหลือก็เหมือนกับวิมานติด ๆ กันนั่นเอง.
พระมหาโมคคัลลานเถระถามเทพธิดานั้น ด้วยคาถานี้ว่า
ท่านมีวรรณะงาม มีรัศมีสว่างไสวไปทุกทิศ
เหมือนดาวประกายพรึก เพราะบุญอะไร ท่านจึงมี
วรรณะเช่นนี้ ฯ ล ฯ และรัศมีของท่านจึงสว่างไสว
ไปทุกทิศ.
เทพธิดานั้น ถูกพระโมคคัลลานเถระถามแล้ว
ดีใจ ก็พยากรณ์ปัญหาของกรรมที่มีผลอย่างนี้ว่า
ในชาติก่อน ครั้งเกิดเป็นมนุษย์ในมนุษยโลก
ดีฉันได้พบพระพุทธเจ้า ผู้ปราศกามกิเลสธุลี ผ่องใส
ไม่ขุ่นมัว ดีฉันเลื่อมใสได้ถวายภิกษาแด่พระองค์
ด้วยมือตนเอง เพราะบุญนั้น ดีฉันจึงมีวรรณะเช่นนี้
ฯ ลฯ และรัศมีของดีฉันจึงสว่างใสไปทุกทิศ.
จบอรรถกถาทุติยภิกษาทายิกาวิมาน
จบกถาพรรณนาความแห่งจิตตลดาวรรคที่ ๒ ซึ่งประดับด้วยเรื่อง
๑๑ เรื่องในวิมานวัตถุ ในอรรถกถาขุททกนิกาย ชื่อปรมัตถทีปนี ด้วย
ประการฉะนี้.

214
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย วิมานวัตถุ เล่ม ๒ ภาค ๑ – หน้าที่ 215 (เล่ม 48)

รวมวิมานที่มีในวรรคนี้คือ
๑. ทาสีวิมาน ๒. ลขุมาวิมาน ๓. อาจามทายิกาวิมาน ๔ จัณฑาลิ-
วิมาน ๕. ภัททิตถิกาวิมาน ๖. โสณทินนาวิมาน ๗. อุโบสถาวิมาน
๘. สุนิททาวิมาน ๙. สุทินนาวิมาน ๑๐. ปฐมภิกษาทายิกาวิมาน
๑๑. ทุติยภิกษาทายิกาวิมาน และอรรถกถา.
จบวรรคที่ ๒ ในอิตถีวิมาน
จบปฐมภาณวาร

215
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย วิมานวัตถุ เล่ม ๒ ภาค ๑ – หน้าที่ 216 (เล่ม 48)

ปาริฉัตตกวรรคที่ ๓
๑. อุฬารวิมาน
ว่าด้วยอุฬารวิมาน
[๒๙] พระมหาโมคคัลลานเถระถามนางเทพธิดา ด้วยคาถาว่า
ดูก่อนนางเทพธิดา ยศและวรรณะของท่าน
ยิ่งใหญ่ สว่างไสวรูปทั่วทุกทิศ เหล่าเทพนารีและ
เหล่าเทพบุตรทั้งหลายประดับประดาดีแล้ว ฟ้อนรำ
ขับร้อง ทำให้ท่านร่าเริง ห้อมล้อมเพื่อบำเรอท่านอยู่
วิมานของท่านเหล่านี้ล้วนแต่เป็นวิมานทองคำ น่าดู
น่าชมมาก ทั้งท่านเล่าก็เป็นใหญ่กว่าเทพเจ้าเหล่าที่
สมบูรณ์ด้วยความปรารถนาทุกอย่าง มีความเป็นอยู่
อันยิ่งใหญ่ ร่าเริงใจอยู่ในหมู่ทวยเทพ. ดูก่อนนาง
เทพธิดา ท่านอันอาตมาถามแล้ว ขอจงบอกผลนี้
แห่งกรรมอะไร.
นางเทพธิดาตอบว่า
ในชาติก่อน ดีฉันเป็นมนุษย์อยู่ในมนุษยโลก
เป็นบุตรสะใภ้ในตระกูลของคนทุศีล ซึ่งเป็นตระกูล
ที่มีพ่อผัวแม่ผัวไม่มีศรัทธา เป็นคนตระหนี่ ดีฉัน
ถึงพร้อมด้วยศรัทธาและศีล ยินดีในการแจกทาน
ตลอดกาล ได้ถวายขนมเบื้องแก่สมณะซึ่งกำลังเที่ยว

216
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย วิมานวัตถุ เล่ม ๒ ภาค ๑ – หน้าที่ 217 (เล่ม 48)

บิณฑบาตอยู่ แล้วจึงได้บอกแก่แม่ผัวว่า มีพระสมณะ
มาที่นี่ ดีฉันเลื่อมใส ได้ถวายขนมเบื้องแก่ท่านด้วย
มือของตน แม่ผัวว่าดีฉันว่า นางสู่รู้ ทำไมเธอจึงไม่
ถามฉันเสียก่อนว่า จะถวายทานแก่สมณะดังนี้เล่า
เพราะการถวายขนมเบื้องนั้น แม่ผัวเกรี้ยวกราดเอา
ทุบตีดีฉันด้วยสาก ดีฉันไม่อาจมีชีวิตอยู่ได้นานจึง
สิ้นชีพลง พ้นจากการทรมานอย่างสาหัส จุติจาก
มนุษย์นั้นแล้วจึงได้มาเกิดบนสวรรค์ เป็นพวกเดียว
กันกับเทพเจ้าชั้นดาวดึงส์ เพราะบุญกรรมนั้น ดีฉัน
จึงมีวรรณะงามเช่นนี้ ฯลฯ และมีรัศมีสว่างไสวไป
ทั่วทุกทิศ เพราะบุญกรรมนั้น.
จบอุฬารวิมาน

217
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย วิมานวัตถุ เล่ม ๒ ภาค ๑ – หน้าที่ 218 (เล่ม 48)

ปาริฉัตตกวรรควรรณนาที่ ๓
อรรถกถาอุฬารวิมาน
ปาริฉัตตกวรรคที่ ๓ พึงทราบวินิจฉัยดังต่อไปนี้ อุฬารวิมานมี
คาถาว่า อุฬาโร เต ยโส วณฺโณ ดังนี้เป็นต้น. อุฬารวิมานนั้น
เกิดขึ้นอย่างไร ?
พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ ณ เวฬุวันมหาวิหาร อันเป็นที่ให้
เหยื่อแก่กระแต ใกล้กรุงราชคฤห์. สมัยนั้น ในตระกูลอุปัฏฐากของท่าน
พระมหาโมคคัลลานเถระ ได้มีหญิงสาวคนหนึ่งชอบให้ทาน ยินดีในการ
แจกจ่ายทาน. นางให้ของเคี้ยวของบริโภคก่อนอาหารอันเกิดขึ้นในเรือน
นั้น ครึ่งหนึ่ง จากส่วนแบ่งที่ตนได้. ตนเองบริโภคครึ่งหนึ่ง หากยัง
ไม่ให้ก็ไม่บริโภค เมื่อยังไม่เห็นผู้ที่ควรให้ก็เก็บไว้แล้วให้ในเวลาที่ตน
เห็น. นางให้แม้แก่ยาจก. ครั้นต่อมามารดาของนาง ชื่นชมยินดีว่าลูก
สาวขอเราชอบให้ทาน ยินดีในการแจกจ่ายทาน จึงให้เพิ่มขึ้นเป็น
สองส่วนแก่นาง. อนึ่ง มารดาเมื่อจะให้ ย่อมให้เพิ่มขึ้นอีกในเมื่อลูกสาว
ได้แจกจ่ายส่วนหนึ่งไปแล้ว. นางทำการแจกจ่ายจากส่วนนั้นนั่นเอง.
เมื่อกาลเวลาผ่านไปอย่างนี้ มารดาบิดาได้ยกลูกสาวนั้น ซึ่งเจริญวัย
แล้วแก่กุมารในตระกูลหนึ่งในเมืองนั้นนั่นเอง. แต่ตระกูลนั้นเป็นมิจฉา-
ทิฏฐิ ไม่มีศรัทธา ไม่มีความเลื่อมใส. ครั้งนั้นท่านพระมหาโมคคัลลานะ
ออกบิณฑบาตไปตามลำดับตรอกในกรุงราชคฤห์ ได้ไปยืนอยู่ที่ประตู
เรือนของพ่อผัวของนาง นางครั้นเห็นพระมหาโมคคัลลานะนั้นก็มีจิต

218
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย วิมานวัตถุ เล่ม ๒ ภาค ๑ – หน้าที่ 219 (เล่ม 48)

เลื่อมใส นิมนต์ให้เข้าไปในบ้าน ไหว้แล้ว เมื่อไม่เห็นแม่ผัว นางจึงถือ
วิสาสะเอาขนมที่แม่ผัววางไว้ด้วยคิดว่า เราจักบอกให้แม่ผัวอนุโมทนา
แล้วได้ถวายแก่พระเถระ.
พระเถระการทำอนุโมทนาแล้วกลับไป. นางจึงบอกแก่แม่ผัวว่า
ฉันได้ให้ขนมที่แม่วางไว้แก่พระมหาโมคคัลลานเถระไปแล้ว. แม่ผัวครั้น
ได้ฟังดังนั้น จึงตะคอกต่อว่านางว่า นี่มันเรื่องอะไรกันจ๊ะ ไม่บอกกล่าว
เจ้าของก่อน เอาไปให้สมณะเสียแล้ว แม่โกรธจัด ไม่ได้นึกถึงสิ่งควร
ไม่ควร คว้าสากที่วางอยู่ข้างหน้าทุบเข้าที่จะงอยบ่า เพราะนางเป็น
สุขุมาลชาติ และเพราะจะสิ้นอายุ ด้วยการถูกทุบนั้นเองได้รับทุกข์สาหัส
ต่อมา ๒-๓ วัน นางก็ถึงแก่กรรมไปบังเกิดในสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ แม้
เมื่อกรรมสุจริตอื่นก็มีอยู่ แต่ทานที่นางถวายแก่พระเถระเป็นทานน่าพอใจ
ยิ่ง ได้ปรากฏแก่นาง. ท่านพระมหาโมคคัลลานะได้ไปโดยนัยที่กล่าวแล้ว
ในหนหลัง จึงถามนางนั้นด้วยคาถาว่า
ดูก่อนเทพธิดา ยศผิวพรรณของท่านโอฬาร
ยิ่งนัก ยังทิศทั้งหมดให้สว่างไสว เหล่านารีฟ้อนรำ
ขับร้อง เทพบุตรตกแต่งงดงาม ต่างบันเทิง แวดล้อม
เพื่อบูชาท่าน ดูก่อนสุทัสสนา วิมานเหล่านี้ของท่าน
เป็นสีทอง ท่านเป็นใหญ่กว่าเทพเหล่านั้น มีความ
สำเร็จในสิ่งที่ใคร่ทั้งหมด ท่านเกิดยิ่งใหญ่ บันเทิง
ในหมู่เทพ ดูก่อนเทพธิดา เราขอถามท่าน ท่านจง
บอกว่า นี้เป็นผลของกรรมอะไร.

219
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย วิมานวัตถุ เล่ม ๒ ภาค ๑ – หน้าที่ 220 (เล่ม 48)

ในบทเหล่านั้น บทว่า ยโส ได้แก่บริวาร. บทว่า วณฺโณ ได้แก่
รัศมีวรรณะ คือ แสงสรีระ. ส่วนบทว่า อุฬาโร นี้เป็นอันท่านกล่าวถึง
บริวารสมบัติและวรรณสมบัติของเทวดานั้น เพราะกล่าวถึงความวิเศษ.
ในสมบัติเหล่านั้น เพื่อแสดงถึงวรรณสมบัติที่ท่านกล่าวไว้โดยสังเขปว่า
อุฬาโร เต วณฺโณ โดยพิสดาร ด้วยอำนาจแห่งวิสัยจึงกล่าวว่า สพฺพา
โอภาสเต ทิสา เพื่อแสดงถึงบริวารสมบัติที่ท่านกล่าวไว้ว่า อุฬาโร
เต ยโส ด้วยสามารถแห่งวัตถุโดยพิสดาร จึงกล่าวว่า นาริโย นจฺจนฺติ
เป็นอาทิ.
ในบทเหล่านั้น บทว่า สพฺพา โอภาสเต ทิสา ได้แก่ รุ่งเรือง
ในทิศทั้งหมด หรือยังทิศทั้งหมดให้สว่างไสว. อธิบายว่า ย่อมรุ่งเรือง.
อาจารย์บางพวก กล่าวเนื้อความแห่งบทว่า โอภาสยเต เป็นต้น
เป็นโอภาสนฺเต ด้วยความคลาดเคลื่อนของคำ. อาจารย์พวกนั้นพึงเปลี่ยน
วิภัตติเป็น วณฺเณน.
อนึ่ง บทว่า วณฺเณน เป็นตติยาวิภัตติลงในอรรถว่าเหตุ. อธิบาย
ว่า เพราะเหตุ คือ เพราะความเป็นเหตุ อนึ่ง บทว่า สพฺพา ทิสา
เมื่อไม่เพ่งถึงทิศธรรมดา โดยกำเนิด ก็ไม่ต้องประกอบวจนะให้คลาด
เคลื่อน แม้ในบทว่า นาริโย นี้ พึงนำบทว่า อลงฺกตา มาเชื่อมด้วย.
ในบทว่า เทวปุตฺตา นี้แสดงว่าได้ลบ จ ออก. ควรใช้ว่า นาริโย
เทวปุตฺตา จ ดังนี้.
บทว่า โมเทนฺติ แปลว่า ย่อมบันเทิง. บทว่า ปูชาย ได้แก่
เพื่อบูชา หรือเป็นเครื่องหมายแห่งการบูชา. โยชนาว่า ฟ้อนรำขับร้อง.
บทว่า ตวิมานิ ตัดบทเป็น ตว อิมานิ.

220
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย วิมานวัตถุ เล่ม ๒ ภาค ๑ – หน้าที่ 221 (เล่ม 48)

บทว่า สพฺพกามสมิทฺธีนิ ได้แก่ สำเร็จด้วยกามคุณ ๕ ทั้งหมด
หรือด้วยวัตถุที่ท่านใคร่แล้วปรารถนาแล้ว ทั้งหมด. บทว่า อภิชาตา
ได้แก่ เกิดดีแล้ว. บทว่า มหนฺตาสิ ได้แก่ ท่านเป็นใหญ่คือมีอานุภาพ
มาก. บทว่า เทวกาเย ปโมทสิ ได้แก่ ท่านย่อมบันเทิงด้วยความ
บันเทิงอย่างยิ่ง อันเป็นเหตุให้ได้สมบัติในหมู่เทพ.
ดิฉัน ในชาติก่อนเป็นมนุษย์อยู่ในมนุษยโลก
ในหมู่มนุษย์ทั้งหลาย ได้เป็นสะใภ้ในตระกูล
คนกุศีล ในเมื่อเขาไม่มีศรัทธา ตระหนี่ ดีฉันมี
ศรัทธาและศีล ยินดีในการแจกตลอดกาล ได้ถวาย
ขนมเบื้องแก่ท่านผู้ออกไปบิณฑบาต ดีฉันจึงบอก
แก่แม่ผัวว่า สมณะมาถึงที่นี่แล้ว ดีฉันจึงได้ถวาย
ขนมเบื้องแก่สมณะนั้นด้วยมือของตน.
ด้วยเหตุนี้แหละ แม่ผัวนั้นจึงบริภาษว่า เองเป็น
สาวไม่มีใครส่งสอน ไม่ถามฉันเสียก่อนจะถวาย
ทานแก่สมณะ แม่ผัวก็โกรธดีฉัน จึงเอาสากทุบดีฉัน
ที่จะงอยบ่า ดีฉันไม่สามารถจะมีชีวิตอยู่ได้นาน ครั้น
ดีฉันสิ้นชีพ จึงจุติจากที่นั้น มาเถิดเป็นสหายกับ
พวกเทวดาชั้นดาวดึงส์.
เพราะบุญกรรมนั้น ผิวพรรณของดีฉันจึงเป็น
เช่นนั้น และผิวพรรณของดีฉันย่อมสว่างไสวไปทุก
ทิศ ดังนี้.

221