ชื่อว่าอสังขตะ เพราะปัจจัยไร ๆ ปรุงแต่งไม่ได้. ประกอบความว่า ได้
ทรงแสดงอริยสัจจธรรม ชื่อทุกขนิโรธ เพราะดับทุกข์ในวัฏฏะหมดสิ้น
ชื่อว่า สัสสตะ เพราะเป็นของจริงทุกสมัยแก่ดีฉัน. บทว่า มคฺคญฺจิมํ
อกุฏิลมญฺชสํ สีวํ ความว่า มรรคชื่อว่า อกุฏิละไม่คด เพราะเว้น
ขาดอันตะทางสุดทั้งสอง [ กามสุขัลลิกานุโยคและอัตตกิลถานุโยค ]
และเพราะละกิเลสมีมายาเป็นต้นที่ทำให้คด และความคดทางกายเป็นอาทิ
เสียได้ ชื่อว่า อัญชสะทางตรง ก็เพราะไม่คดเคี้ยวนั้นนั่นเอง. ชื่อว่า
สิวะเกษม คือนิพพาน ก็เพราะตัดกิเลสมีกามราคะเป็นต้นที่ทำให้ไม่เจริญ
รุ่งเรืองได้เด็ดขาด. บทว่า มคฺคํ ประกอบความว่า ได้ทรงแสดงแก่
ดีฉัน ถึงอริยสัจกล่าวคือทุกขนิโรธคามินีปฏิปทาที่ประจักษ์แล้วแก่ท่าน
และดีฉันนี่ ซึ่งได้นามว่า มรรค ก็เพราะผู้ต้องการพระนิพพานแสวงหา
กัน หรือเพราะฆ่ากิเลสทั้งหลายไป.
ในบทว่า สุตฺวานหํ อมตปทํ อสงฺขตํ ตถาคตสฺส อนธิวรสฺส
สาสนํ นี้ มีความย่อดังนี้ว่า ดีฉันได้ฟังพระสัทธรรมคำสอนของพระผู้
ชื่อว่า ตถาคต เพราะอรรถมีการเสด็จมาอย่างนั้นเป็นต้น ผู้เป็นพระ-
สัมมาสัมพุทธะนี้ชื่อว่า อนธิวระ เพราะเป็นผู้เลิศในโลก พร้อมทั้ง
เทวโลก อันชื่อว่า อมตบท อสังขตะ เพราะทรงแสดงเจาะจงถึงพระ-
นิพพาน ที่เป็นอมตบท อสังขตะ เพราะเป็นอุบายให้ดำเนินถึงอมตะ
หรือพระนิพพาน และเพราะพระนิพพาน แม้ปัจจัยไร ๆ ก็พึงปรุงแต่ง
ไม่ได้. บทว่า สีเลสฺวาหํ ได้แก่ ดีฉัน ในศีลทั้งหลาย ที่พึงเผล็ดผล.
บทว่า ปรมสุสํวุตา ได้แก่ สำรวมดีอย่างยิ่ง คือโดยชอบทีเดียว. บทว่า
อหุํ แปลว่า ได้เป็นแล้ว. บทว่า ธมฺเม ิตา ได้แก่ ตั้งอยู่ในปฏิปัตติธรรม.