No Favorites




หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย วิมานวัตถุ เล่ม ๒ ภาค ๑ – หน้าที่ 82 (เล่ม 48)

กํสิกา [ยกขึ้นแสดงเอง] ก็ทรงประกาศสัจจะ ๔ แก่เทวดา ผู้มีใจ
เลื่อมใสแล้ว ด้วยประการฉะนี้ จบเทศนา เทวดาองค์นั้นก็ตั้งอยู่ใน
โสดาปัตติผล. พระธรรมเทศนาได้เป็นประโยชน์แม้แก่บริษัทที่ประชุม
กันด้วย.
จบอรรถกถาตติยนาวาวิมาน
๙. ปทีปวิมาน
ว่าด้วยปทีปวิมาน
[๙] พระโมคคัลลานะถามว่า
ดูก่อนเทพธิดา ท่านมีวรรณะงาม ส่องแสง
สว่างไปทุกทิศ เหมือนกับดาวประกายพรึก เพราะ
บุญอะไร ท่านจึงมีวรรณะเช่นนี้ เพราะบุญอะไร
ผลนี้จึงสำเร็จแก่ท่าน และโภคะทุกอย่างที่น่ารัก
จึงเกิดแก่ท่าน เพราะบุญอะไร ท่านจึงมีรัศมีสุกใส
รุ่งโรจน์ล้ำเทวดาทั้งหลาย เพราะบุญอะไร ทุกทิศ
จึงสว่างไสวจากทุกส่วนร่างกายของท่าน.
ดูก่อนเทพีผู้มีอานุภาพมาก อาตมาขอถามท่าน
ครั้งเป็นมนุษย์อยู่ท่านได้ทำบุญอะไรไว้ เพราะบุญ
อะไร ท่านจึงมีอานุภาพรุ่งเรืองถึงเช่นนี้ และวรรณะ
ของท่านจึงสว่างไสวไปทุกทิศ.
เทวดานั้น ถูกพระโมคคัลลานะซักถามแล้ว

82
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย วิมานวัตถุ เล่ม ๒ ภาค ๑ – หน้าที่ 83 (เล่ม 48)

ดีใจ ครั้นแล้วก็พยากรณ์ปัญหาของกรรมที่มีผล
อย่างนี้ว่า
ในชาติก่อน ครั้งเป็นมนุษย์อยู่ในหมู่มนุษย์
ในมนุษยโลก ดีฉันได้จุดประทีปถวาย คราวที่ควร
จุดประทีปในเวลาค่ำคืนมืดมิด อันว่าผู้ใด จุดประทีป
ถวายคราวที่ควรจุดประทีปในเวลาค่ำคืนมืดมิด วิมาน
อันมีรัศมีโชติช่วง มีสวนไม้มาก มีบุณฑริกบัวขาว
มาก ย่อมเกิดแก่ผู้นั้น เพราะบุญนั้น วรรณะของดีฉัน
จึงเป็นเช่นนี้ เพราะบุญนั้น ผลนี้จึงสำเร็จแก่ดีฉัน
และโภคะทุกอย่างที่น่ารัก จึงเกิดแก่ดีฉัน เพราะ
บุญนั้น ดีฉันจึงมีรัศมีสุกใสรุ่งโรจน์ล้ำเทวดาทั้งหลาย
ทุกทิศจึงสว่างไสวจากทุกส่วนของร่างกายดีฉัน.
ข้าแต่ท่านภิกษุผู้มีอานุภาพมาก ดีฉันขอบอก
แก่ท่าน ครั้งเป็นมนุษย์ ดีฉันได้ทำบุญใดไว้ เพราะ
บุญนั้น ดีฉันจึงมีอานุภาพรุ่งเรืองอย่างนี้ และวรรณะ
ของดีฉันจึงสว่างไสวไปทุกทิศ.
จบปทีปวิมาน
อรรถกถาปทีปวิมาน
ปทีปวิมาน มีคาถาว่า อภิกฺกนฺเตน วณฺเณน เป็นต้น. ปทีปวิมาน
นั้น เกิดขึ้นอย่างไร ?
เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้า ประทับอยู่กรุงสาวัตถี วันอุโบสถ พวก

83
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย วิมานวัตถุ เล่ม ๒ ภาค ๑ – หน้าที่ 84 (เล่ม 48)

อุบาสกเป็นจำนวนมาก รักษาอุโบสถก่อนอาหาร ถวายทานตามสมควร
แก่ทรัพย์สมบัติ กินอาหารแต่เช้า นุ่งผ้าสะอาด ห่มผ้าสะอาด ถือของ
หอมและดอกไม้เป็นต้น หลังอาหารแล้วก็ไปวิหาร เข้าไปนั่งใกล้พวก
ภิกษุที่น่าสรรเสริญ เวลาเย็นก็ฟังธรรม. เมื่ออุบาสกเหล่านั้น ซึ่งประสงค์
จะอยู่ในวิหาร กำลังฟังธรรมอยู่นั่นแล ดวงอาทิตย์ตก ก็เกิดมืด ณ วิหาร
นั้น หญิงผู้หนึ่งคิดว่า สมควรทำแสงประทีปในบัดนี้ ก็ไปนำเครื่องประทีป
มาจากเรือนของตน จุดประทีปขึ้น ตั้งไว้หน้าธรรมาสน์ แล้วก็ฟังธรรม.
ด้วยปทีปทานนั้น นางดีใจ เกิดปีติโสมนัส ไหว้แล้วก็กลับบ้าน ต่อมา
นางตาย ไปบังเกิดในวิมานโชติช่วง ณ ภพดาวดึงส์. ความงามแห่งเรือน
ร่างของนาง มีรัศมีซ่านออกไปอย่างยิ่ง ส่องสว่างไปทั้งสิบทิศข่มเทวดา
องค์อื่น ๆ. ต่อมาวันหนึ่ง ท่านพระมหาโมคคัลลานะเที่ยวจาริกไป คำ
ทั้งหมดดังว่ามานี้ พึงทราบนัยที่มาแล้วในหนหลังนั่นแล. แต่ในปทีป-
วิมานนี้ พระเถระถามด้วย ๔ คาถาว่า
ดูก่อนเทวดา ท่านมีวรรณะงาม ส่องแสงสว่าง
ไปทุกทิศ ดุจดาวประกายพรึก เพราะบุญอะไร
วรรณะของท่านจึงเป็นเช่นนี้ เพราะบุญอะไร ผลนี้
จึงสำเร็จแก่ท่าน และโภคะทุกอย่างที่น่ารักจึงเกิด
แก่ท่าน. เพราะบุญอะไร ท่านจึงมีรัศมีสุกใส รุ่ง-
โรจน์ล้ำเทวดาทั้งหลาย เพราะบุญอะไร ทุกทิศจึง
สว่างไสวจากสรรพางค์กายของท่าน.
ดูก่อนเทพีผู้มีอานุภาพมาก อาตมาขอถามท่าน
ท่านครั้งเกิดเป็นมนุษย์ได้ทำบุญอะไร เพราะบุญอะไร

84
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย วิมานวัตถุ เล่ม ๒ ภาค ๑ – หน้าที่ 85 (เล่ม 48)

ท่านจึงมีอานุภาพรุ่งเรืองอย่างนี้ และวรรณะของท่าน
จึงสร่างไสวไปทุกทิศ.
เทวดาองค์นั้นดีใจ ถูกท่านพระโมคคัลลานะ
ถาม ครั้นแล้ว ก็พยากรณ์ปัญหาของกรรมที่มีผล
อย่างนี้.
เทวดากล่าวตอบว่า
ครั้งเกิดเป็นมนุษย์ในหมู่มนุษย์ ในชาติก่อน
ในมนุษยโลก ดีฉันได้จุดประทีปถวายคราวที่ควรจุด
ประทีปในเวลาค่ำคืนมืดมิด ผู้ใดจุดประทีปถวายคราว
ที่ควรจุดประทีปในเวลาค่ำคืนมืดมิด วิมานที่โชติ-
ช่วง มีสวนไม้มาก มีบุณฑริกบัวขาวมาก ย่อมเกิด
แก่ผู้นั้น.
เพราะบุญนั้น วรรณะของดีฉันจึงเป็นเช่นนี้
เพราะบุญนั้น ผลนี้จึงสำเร็จแก่ดีฉัน และโภคะ
ทุกอย่างที่น่ารัก จึงเกิดแก่ดีฉัน เพราะบุญนั้น ดีฉัน
จึงมีรัศมีสุกใส รุ่งโรจน์ล้ำเทวดาทั้งหลาย. เพราะ
บุญนั้น ทุกทิศจึงสว่างไสวจากสรรพางค์กายของ
ดีฉัน.
ข้าแต่ท่านภิกษุผู้มีอานุภาพมาก ดีฉันครั้งเกิด
เป็นมนุษย์ ได้ทำบุญใดไว้ เพราะบุญนั้น ดีฉันจึง
มีอานุภาพรุ่งเรืองอย่างนี้ และวรรณะของดีฉันจึง
สว่างไสวไปทุกทิศ.

85
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย วิมานวัตถุ เล่ม ๒ ภาค ๑ – หน้าที่ 86 (เล่ม 48)

บรรดาบทเหล่านั้น ในบทว่า อภิกฺกนฺเตน วณฺเณน นี้ อภิก-
กันตศัพท์ มาในอรรถว่าสิ้นไป ได้ในบาลีเป็นต้นว่า อภิกฺกนฺตา ภนฺเต
รตฺติ นิกฺขนฺโต ปฐโม ยาโม ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ราตรีสิ้นไปแล้ว
ปฐมยามล่วงไปแล้ว. มาในอรรถว่าดี ได้ในบาลีเป็นต้นว่า อยํ อิเมสํ
จตุนฺนํ ปุคฺคลานํ อภิกฺกนฺตตโร จ ปณีตตโร จ บุคคลผู้นี้ดีกว่า ประณีต
กว่า บุคคล ๔ จำพวกเหล่านี้. มาในอรรถว่า ยินดีนักหนา ได้ในบาลี
เป็นต้นว่า อภิกฺกนตํ ภนฺเต อภิกฺกนฺตํ ภนฺเต ไพเราะจริง พระเจ้าข้า
ไพเราะจริง พระเจ้าข้า. มาในอรรถว่างามได้ในบาลีเป็นต้นว่า อภิกฺกนฺเตน
วณฺเณน สพฺพา โอภาสยํ ทิสา มีวรรณะงาม ส่องสว่างไปทุกทิศ.
แม้ในที่นี้พึงเห็นว่า มาในอรรถว่า งามอย่างเดียว. บทว่า วณฺเณน
แปลว่า มีผิวพรรณ. บทว่า โอภาเสนฺติ ทิสา สพฺพา ได้แก่ ส่องแสง
สิบทิศทั้งหมด ทำให้สว่างเป็นอันเดียวกัน. ถามว่า ท่านกล่าวว่าเหมือน
อะไร. ตอบว่า เหมือนดาวประกายพรึก. ดวงดาวที่ได้ชื่อว่า โอสธี
ประกายพรึก เพราะมีรัศมีหนา อันรัศมีนั้นตั้งไว้ หรือเพราะรัศมีเพิ่ม
พลังแก่ดาวประกายพรึกทั้งหลาย กระทำแสงสว่างโดยรอบตั้งอยู่ ฉันใด
ท่านก็ส่องสว่างไปทุกทิศตั้งอยู่ ฉันนั้นเหมือนกัน.
บทว่า สพฺพคตฺเตหิ ได้แก่ จากอวัยวะของเรือนร่างทุกอวัยวะ.
อธิบายว่า ส่องสว่าง เพราะทั่วอวัยวะน้อยใหญ่. คำนี้เป็นตติยาวิภัตติ
ใช้ในเหตุ. บทว่า สพฺพา โอภาสเต ทิสา ได้แก่ สิบทิศสว่างไปทั้งหมด.
อาจารย์บางพวกกล่าวว่า โอภาสเร ดังนี้ก็มี. คำว่า เตสํ สพฺพา ทิสา นี้
พึงเห็นว่าเป็นพหุวจนะ.
บทว่า ปทีปกาลมฺหิ แปลว่า ในเวลาทำประทีป คือเวลาควรจุด

86
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย วิมานวัตถุ เล่ม ๒ ภาค ๑ – หน้าที่ 87 (เล่ม 48)

ประทีป. อธิบายว่า เวลามืดค่ำ. ด้วยเหตุนั้น เทวดาจึงกล่าวว่า โย
อนฺธการมฺหิ ติมีสิกายํ อธิบายว่า ในเวลามืดมิดมาก. บทว่า ททาติ
ทีปํ ได้แก่ ตามหรือไม่ตามประทีป ถวายเป็นปทีปทาน. บริจาคเครื่อง
อุปกรณ์ประทีปอุทิศพระทักขิไณยบุคคล. บทว่า อุปฺปชฺชติ โชติรสํ
วิมานํ ได้แก่ วิมานอันโชติช่วง ย่อมเกิดขึ้นโดยการถือปฏิสนธิ. คำที่
เหลือ มีนัยดังกล่าวมาแล้วทั้งนั้น.
ครั้งนั้น เมื่อเทวดากล่าวตอบข้อความ ตามที่พระเถระถามแล้ว
พระเถระนำถ้อยคำนั้นนั่นแล ให้เป็นอัตถุปปัตติเหตุเกิดเรื่อง รู้ว่านางมี
จิตเหมาะควรเป็นต้น เพราะกถาว่าด้วยทานเป็นอาทิ จึงประกาศสัจจะ ๔
จบสัจจะ เทวดาองค์นั้นกับบริวารก็ตั้งอยู่ในพระโสดาปัตติผล. พระเถระ
กลับจากเทวโลกแล้ว ก็กราบทูลเรื่องนั้น ถวายพระผู้มีพระภาคเจ้า. และ
เพราะเรื่องนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้า ก็ทรงแสดงธรรมโดยพิสดาร แก่
บริษัทที่ประชุมกัน. เทศนานั้น ก็เกิดประโยชน์แก่มหาชน. โดยเฉพาะ
อย่างยิ่ง มหาชนก็ได้เคารพในปทีปทานแล.
จบอรรถกถาปทีปวิมาน
๑๐. ติลทักขิณวิมาน
ว่าด้วยติลทักขิณวิมาน
[๑๐] พระโมคคัลลานะถามว่า
ดูก่อนเทวดา ท่านมีวรรณะงาม ส่องแสงสว่าง
ไปทุกทิศ เหมือนกับดาวประกายพรึกฉะนั้น เพราะ

87
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย วิมานวัตถุ เล่ม ๒ ภาค ๑ – หน้าที่ 88 (เล่ม 48)

บุญอะไร ท่านจึงมีวรรณะเช่นนี้ เพราะบุญอะไร ผลนี้
จึงสำเร็จแก่ท่าน และโภคะทุกอย่างที่น่ารักจึงเกิดขึ้น
แก่ท่าน เพราะบุญอะไร ท่านมีรัศมีสุกรสรุ่งโรจน์ล้ำ
เทวดาทั้งหลาย เพราะบุญอะไร ทุกทิศจึงสว่างไสว
จากทุกส่วนร่างกายของท่าน.
ดูก่อนเทพีผู้มีอานุภาพมาก อาตมาของถามท่าน
ครั้งเป็นมนุษย์อยู่ ท่านได้ทำบุญอะไร จึงมีอานุภาพ
รุ่งเรืองถึงเช่นนี้ และวรรณะของท่านจึงสว่างไสวไป
ทุกทิศ.
เทวดานั้น ถูกพระโมคคัลลานะซักถามแล้ว
ดีใจ ครั้นแล้วก็พยากรณ์ปัญหาของกรรมทั้งมีผลอย่าง
นี้ว่า
ในชาติก่อน ครั้งเป็นมนุษย์อยู่ในหมู่มนุษย์
ในมนุษยโลก ดีฉันได้เห็นพระพุทธเจ้าผู้ปราศจาก
กิเลสดุจธุลี ผ่องใสไม่มัวหมอง ก็เลื่อมใสทั้งที่มิได้
ตั้งใจจะถวาย ก็ได้ถวายเมล็ดงาเป็นทาน อย่าง
กะทันหัน แด่พระพุทธเจ้าผู้เป็นพระทักขิไณยบุคคล
ด้วยมือตนเอง เพราะบุญนั้น ดีฉันจึงมีวรรณะเช่นนี้
เพราะบุญนั้น ผลนี้จึงสำเร็จแก่ดีฉัน และโภคะทุก
อย่างที่น่ารักจึงเกิดแก่ดีฉัน.
ข้าแต่ท่านภิกษุผู้มีอานุภาพมาก ดีฉันขอบอก
แก่ท่าน ครั้งเป็นมนุษย์อยู่ ดีฉันได้ทำบุญใดไว้

88
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย วิมานวัตถุ เล่ม ๒ ภาค ๑ – หน้าที่ 89 (เล่ม 48)

เพราะบุญนั้น ดีฉันจึงมีอานุภาพรุ่งเรืองอย่างนี้ และ
วรรณะของดีฉันจึงสว่างไสวไปทุกทิศ.
จบติลทักขิณวิมาน
อรรถกถาติลทักขิณวิมาน
ติลทักขิณวิมาน มีคาถาว่า อภิกฺกนฺเตน วณฺเณน เป็นต้น. ติล-
ทักขิณวิมานนั้น เกิดขึ้นอย่างไร ?
พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ ณ พระเชตวัน อารามของท่านอนาถ-
บิณฑิกะ กรุงสาวัตถี. สมัยนั้น ในกรุงราชคฤห์ หญิงผู้หนึ่งมีครรภ์ อยาก
จะดื่มน้ำมันงา จึงล้างเมล็ดงาแล้วให้ตากแดดไว้ แต่หญิงผู้นั้น หมดอายุ
แล้ว ธรรมดาจะต้องจุติในวันนั้น เพราะกรรมของนาง ที่จะให้ไปนรก
คอยโอกาสอยู่แล้ว. ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงตรวจดูโลกเวลา
ใกล้รุ่ง ทรงเห็นนางด้วยทิพยจักษุ ทรงพระดำริว่า วันนี้ หญิงผู้นี้จักตาย
ไปบังเกิดในนรก ถ้ากระไร เราพึงท่านางให้ไปสวรรค์ด้วยการรับอาหาร
คืองา. พระองค์ก็เสด็จจากกรุงสาวัตถี ถึงกรุงราชคฤห์ ขณะนั้นนั่นเอง
เวลาเช้าทรงนุ่งแล้ว ก็ทรงถือบาตรและจีวรเที่ยวบิณฑบาตในกรุงราชคฤห์
เสด็จถึงประตูเรือนของนางโดยลำดับ. หญิงผู้นั้น เห็นพระผู้มีพระภาคเจ้า
เกิดปีติโสมนัส รีบลุกขึ้นประคองอัญชลีประนม ไม่เห็นสิ่งอื่นที่ควรถวาย
ล้างมือเท้าแล้ว ตะล่อมงาเป็นกอง กอบด้วยมือทั้ง ๒ เกลี่ยงาเต็มอัญชลี
ลงในบาตรของพระผู้มีพระภาคเจ้า แล้วถวายบังคม. พระผู้มีพระภาคเจ้า
เมื่อจะทรงอนุเคราะห์นางจึงตรัสว่า จงเป็นสุขเถิด แล้วเสด็จกลับไป.

89
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย วิมานวัตถุ เล่ม ๒ ภาค ๑ – หน้าที่ 90 (เล่ม 48)

เวลาใกล้รุ่งของคืนนั้น นางก็ตายไปบังเกิดในวิมานทอง สิบสองโยชน์
ภพดาวดึงส์เหมือนหลับแล้วตื่นขึ้น. ครั้งนั้น ท่านพระมหาโมคคัลลาน-
เถระเที่ยวเทวจาริกเข้าไปหาโดยนัยที่กล่าวแล้วในหนหลัง ถามว่า
ดูก่อนเทพธิดา ท่านมีวรรณะงาม ส่องแสง
สว่างไปทุกทิศ ประหนึ่งดาวประกายพรึก เพราะ
บุญอะไร วรรณะของท่านจึงเป็นเช่นนี้ เพราะบุญ
อะไร ผลนี้จึงสำเร็จแก่ท่าน และโภคะทุกอย่างที่
น่ารักจึงเกิดแก่ท่าน.
ดูก่อนเทพีผู้มีอานุภาพมาก อาตมาขอถามท่าน
เพราะบุญอะไร ท่านจึงมีอานุภาพรุ่งเรืองอย่างนี้
และวรรณะของท่านจึงสว่างไสวไปทุกทิศ.
เทวดานั้นดีใจ ถูกท่านพระโมคคัลลานะถาม
แล้ว ก็พยากรณ์ปัญหาของกรรมที่มีผลอย่างนี้. จึง
กล่าวตอบว่า
ครั้งเกิดเป็นมนุษย์ในหมู่มนุษย์ ในชาติก่อน
ในมนุษยโลก ดีฉันได้เห็นพระพุทธเจ้า ผู้ปราศจาก
กิเลสดุจธุลีผ่องใสไม่มัวหมอง เลื่อมรสแล้ว ไม่ต้อง
การงาอีกละ จึงรวบรวมทักษิณาไทยธรรม คืองา
ถวายเห็นทาน แด่พระพุทธเจ้าผู้เป็นทักขิไณยบุคคล
ด้วยมือตนเอง.
เพราะบุญนั้น วรรณะของดีฉันจึงเป็นเช่นนั้น
เพราะบุญนั้น ผลนี้จึงสำเร็จแก่ดิฉัน และโภคะ

90
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย วิมานวัตถุ เล่ม ๒ ภาค ๑ – หน้าที่ 91 (เล่ม 48)

ทุกอย่างที่น่ารักจึงเกิดแก่ดีฉัน.
ข้าแต่ท่านภิกษุผู้มีอานุภาพมาก ดีฉันขอบอก
แก่ท่าน ดีฉันครั้งเกิดเป็นมนุษย์ได้ทำบุญใด เพราะ
บุญนั้น ดีฉันจึงมีอานุภาพรุ่งเรืองอย่างนี้ และวรรณะ
ของดีฉันจึงสว่างไสวไปทุกทิศ.
อาสัชช ศัพท์นี้ว่า อาสชฺช ในคาถากล่าวตอบนั้นมาในอรรถว่า
กระทบ, เสียดสี ได้ในบาลีเป็นต้นว่า อาสชฺช นํ ตถาคตํ เสียดสี
พระตถาคตนั้น. มาในอรรถว่าประชุม. รวบรวม ได้ในบาลีเป็นต้นว่า
อาสชฺช ทานํ เทติ รวบรวมถวายทาน. แม้ในที่นี้ พึงเห็นว่ามาใน
อรรถว่ารวบรวมเท่านั้น. เพราะฉะนั้น จึงมีความว่า รวบรวมแล้ว มาถึง
แล้วโดยความพร้อมเพรียง. ด้วยเหตุนั้น เทวดาจึงกล่าวว่า อกามา.
จริงอยู่ เทวดาองค์นั้นไม่ได้คิดจะถวายทานมาก่อน ก่อนที่จะจัดหาไทย-
ธรรมหมายเอาติลทาน ไทยธรรมคืองาที่เป็นไปอย่างฉุกละหุก ในพระ-
ผู้มีพระภาคเจ้าซึ่งเสด็จมาถึงอย่างกะทันหัน จึงกล่าวว่า อาสชฺช ทานํ
อทาสึ อกามา ติลทกฺขิณํ ไม่ต้องการงาอีกละ จึงรวบรวมทักขิณา
[คือไทยธรรม] ถวายเป็นทาน. คำที่เหลือ มีนัยที่กล่าวมาแล้วทั้งนั้น.
จบอรรถกถาติลทักขิณวิมาน

91