หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ เล่ม ๒ – หน้าที่ 161 (เล่ม 4)

ธรรมที่พวกเทวดากล่าวไว้ ชื่อว่า เทวตาภาษิต. เทวจตาภาษิตธรรม
นั้น บัณฑิตพึงทราบ ด้วยอำนาจแห่งเรื่องมีเทวดาสังยุตต์ เทวปุตตสังยุตต์
มารสังยุตต์ พรหมสังยุตต์ และสักกสังยุตต์เป็นต้น .
บทว่า อตฺถูปสญฺหิโต ได้แก่ ธรรมที่อาศัยอรรถกถา.
บทว่า ธมฺมูปสญฺหิโต ได้แก่ ธรรมที่อาศัยพระบาลี. แม้ด้วยบท
ทั้งสองนี้ พระอุบาลีเถระกล่าวธรรมที่อาศัยนิพพานซึ่งปราศจากวัฎฏะนั่นเอง.
จะกล่าวถึงธรรมที่อาศัยนิพพานซึ่งปราศจากวัฎฏะ แม้ก็จริง, ถึงกระนั้น ก็เป็น
อาบัติแก่.ภิกษุผู้ให้กล่าวธรรมที่ขึ้นสู่สังคีติทั้ง ๓ คราว โดยบทเหมือนกัน . ไม่
เป็นอาบัติแม้ไม่คำที่อาศัยพระนิพพาน ซึ่งท่านรจนาไว้ โดยผูกเป็นคาถาโศลก
เป็นต้น ด้วยอำนาจภาษาต่าง ๆ.
แม้ในสูตรที่ไม่ได้ยกขึ้นสู่สังคีติ ๓ คราว เช่นนี้ คือ กุลุมพสูตร
ราโชวาทสูตร ติกขินทริยสูตร จตุปริวัตตสูตร และนันโทปนันทสูตร ก็เป็น
อาบัติเหมือนกัน ถึงการทรมานพญานาค ชื่อว่าอปลาละ อาจารย์ก็กล่าวไว้
(ด้วยอำนาจก่อให้เกิดอาบัติ) แต่ในมหาปัจจรีท่านปฎิเสธ (อธิบายว่าไม่ เป็น
อาบัติ).
ในปฏิภาณส่วนตัวของพระเถระ ในเมณฑกมิลินทปัญหา ไม่เป็น
อาบัติ. (แต่) เป็นอาบัติในถ้อยคำที่พระเถระนำมากล่าว เพื่อให้พระราชาทรง
ยินยอม.
อาจารย์ทั้งหลายกล่าวว่า ก็ปกรณ์ทั้งหลายมีอาทิ คือ วัณณปิฎก
อังคุลิมาลปิฎก รัฐปาลครรชิต อาลวกครรชิต คุฬหอุมมังคะ คุฬหเวสสันดร
คุฬหวินัย เวทัลลปิฎก เป็นต้น ไม่เป็นพุทธพจน์แท้
อาจารย์บางพวกกล่าวว่า ธรรมชื่อว่า สีลูปเทส พระธรรมเสนาบดี
กล่าวไว้ ในธรรมนั้น เป็นอาบัติเหมือนกัน ยังมีปกรณ์แม้อื่น เช่น มัคคกถา
* เป็นพระสูตรฝ่ายมหายาน ของเราไม่มี-ผู้ชำระ.

161
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ เล่ม ๒ – หน้าที่ 162 (เล่ม 4)

อารัมมณกถา วุฑฒิกรัณฑกญาณวัตถุ และอสุภกถาเป็นต้น ในปกรณ์
เหล่านั้น ท่านจำแนกโพธิปักขิยธรรม ๓๗ ไว้. ในธุดงคปัญหา ท่านจำแนก
ปฏิปทาไว้ เพราะเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวว่า เป็นอาบัติในปกรณ์เหล่านั้น.
แต่ในอรรถกถามหาปัจจรีเป็นต้น ท่านกล่าวอาบัติไว้ ในจำพวก
ราโชวาทสูตร ติกขินทริยสูตร จตุปริวัตตสูตร นันโทปนันทสูตร กุลุมพสูตร*
นั่นแล ซึ่งไม่ขึ้นสู่สังคีติ แล้วกำหนดอรรถไว้ดังนี้ว่า บรรดาคำที่เหลือ เฉพาะ
คำที่ท่านนำมาจากพุทธพจน์กล่าวไว้เท่านั้น เป็นวัตถุแห่งอาบัติ นอกจากนี้
หาเป็นไม่.
คำว่า เอกโต อุทฺทิสาเปนฺโต มีความว่า ภิกษุแม้เรียนบาลีร่วม
กับอนุปสัมบันกล่าวพร้อมกัน ไม่เป็นอาบัติ.
ในคำนั้น มีวินิจฉัยดังต่อไปนี้ :- อุปสัมบันกับอนุปสัมบันนั่นแล้ว
ขอให้อาจารย์สวด อาจารย์คิดว่า เราจะสวดแก่อุปสัมบันและอนุปสัมบัน
ทั้งสองผู้นั่งแล้ว จึงสวดพร้อมกันกับเธอเหล่านั้น. เป็นอาบัติแก่อาจารย์ เป็น
อนาบัติแก่ภิกษุผู้เรียนเอาพร้อมกับอนุปสัมบัน. แม้อุปสัมบันกับอนุปสัมบัน
ทั้งสองยืนเรียนอยู่ ก็มีนัยอย่างนี้เหมือนกัน ภิกษุหนุ่มนั่ง สามเณรยืน, ไม่
เป็นอาบัติแก่อาจารย์ผู้บอก ด้วยคิดว่า เราจะกล่าวแก่ภิกษุผู้นั่ง. ถ้าภิกษุหนุ่ม
ยืน ฝ่ายสามเณรนั่ง ไม่เป็นอาบัติแม้แก่อาจารย์ผู้ ล่าวอยู่ ด้วยติดว่า เราจะ
กล่าวแก่ภิกษุผู้ยืน.
ถ้าสามเณรรูปหนึ่งงอยู่ในระหว่างภิกษุมากรูป เป็นอจิตตกาบัติแก่
อาจารย์ผู้ให้กล่าวธรรมโดยบทในเพราะสามเณรนั่งอยู่ด้วย.
ถ้าสามเณรยืนหรือนั่งละอุปจารเสีย เพราะสามเณรไม่นับเนื่องอยู่ใน
พวกภิกษุที่อาจารย์ให้กล่าว (ธรรมโดยบท) เธอจึงถึงการนับว่า เรียนเอาคัมภีร์
เล็ดลอดออกไปโดยทิศาภาคหนึ่ง; เพราะฉะนั้น จึงไม่เป็นอาบัติ(แก่อาจารย์)
* เป็นพระสูตรฝ่ายมหายาน ของเราไม่มี. - ผู้ชำระ.

162
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ เล่ม ๒ – หน้าที่ 163 (เล่ม 4)

คำว่า เอกโต สชฺฌายํ กโรนฺโต มีความว่า อุปสันบันเมื่อกระทำ
การสาธยายร่วมกันกับอนุปสัมบัน สวดพร้อมกันกับอนุปสัมบันนั้นแล ไม่เป็น
อาบัติ. แม้ภิกษุเรียนอุเทศในสำนักแห่งอนุปสัมบัน สวดร่วมกับอนุปสัมบันนั้น
ก็ไม่เป็นอาบัติ. เพราะว่า แม้อุปสัมบันนี้ก็ถึงอันนับว่า กระทำสาธยายพร้อม
กันแท้.
คำว่า เยภุยฺเยน ปคุณํ คณฺฐํ ภณนฺตํ โอปาเตติ มีความว่า
ถ้าในคาถาเดียวกัน บาทหนึ่ง ๆ ยังจำไม่ได้ ที่เหลือจำได้ นี้ชื่อว่าคัมภีร์ที่
คล่องแคล่ว โดยมาก. แม้ในพระสูตร ผู้ศึกษาก็พึงทราบโดยนัยนี้. ไม่เป็น
อาบัติแก่ภิกษุผู้ทักให้คัณฐะนั้นค้างอยู่ จึงสวดแม้พร้อมกันด้วยกล่าวว่า เธอ
จงสวดอย่างนี้.
สองบทว่า โอสาเรนฺตํ โอปาเตติ มีความว่า ไม่เป็นอาบัติแก่
ภิกษุผู้กล่าวกะอนุปสัมบันผู้สวดสูตรวกวนอยู่ ในท่ามกลางบริษัทว่า เธอจง
สวดอย่างนี้ แล้วสวดแม้พร้อมกันกับอนุปสัมบันนั้น. ก็ดำใดที่ท่านกล่าวไว้
ในอรรถกถามหาปัจจรีเป็นต้นนี้ว่า ภิกษุผู้อันอนุปสัมบันกล่าวว่า ท่านอยู่สวด
กับผม ถ้าสวดเป็นอนาบัติ ดังนี้. คำนั้นไม่มีในมหาอรรถกถา. ก็ภาวะแห่ง
คำที่ท่านกล่าวไว้ในอรรถกถามหาปัจจรีเป็นต้น นั้นไม่มีเลย ถูกแล้ว (ก็ความที่
อาบัติไม่มีแก่ภิกษุนั้นเลย ถูกแล้ว). เพราะเหตุไร ? เพราะอาบัติเกิดจากการ
กระทำ. แต่เมื่อมีการถือเอาอรรถนอกนี้ สิกขาบทนี้ จะพึงเป็นทั้งกิริยาทั้ง
อกิริยาบท ที่เหลือในสิกขาบทนี้ มีอรรถตื้นทั้งนั้น.
สิกขาบทนี้ มีธรรมโดยบทเป็นสมุฏฐาน เกิดขึ้นทางวาจา ๑ วาจา
กับจิต ๑ เป็นกิริยา โนสัญญาวิโมกข์ อจิตตกะ ปัณณัตติวัชชะ วจีกรรม
มีจิต ๓ มีเวทนา ๓ ดังนี้แล.
ปทโสธัมมสิกขาบทที่ ๔ จบ

163
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ เล่ม ๒ – หน้าที่ 164 (เล่ม 4)

มุสาวาทวรรค สิกขาบทที่ ๕
เรื่องพระนวกะ
[๒๘๙] โดยสมัยนั้น พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าประทับอยู่ ณ
อัคคาฬวเจดีย์ เขตเมืองอาฬวี ครั้งนั้น พวกอุบาสกพากันมาสู่อารามเพื่อ
ฟังธรรม เมื่อพระธรรมกถึกแสดงธรรมจบแล้ว ภิกษุชั้นเถระกลับไปยังที่อยู่
ภิกษุชั้นนวกะสำเร็จการนอนร่วมกับพวกอุบายยสกอยู่ในศาลาที่ฟังธรรมนั้นเอง
เผลอสติ ไม่รู้สึกตัว เป็นผู้เปลือยกายละเมื่อ กรนอยู่.
พวกอุบาสกต่างก็เพ่งโทษติเตียนโพนทะนาว่าไฉนพระคุณเจ้าทั้งหลาย
จึงได้สำเร็จการนอนเผลอสติ ไม่รู้สึกตัว เป็นผู้เปลือยกายละเมอ กรนอยู่เล่า.
ภิกษุทั้งหลายได้ยินอุบาสกเหล่านั้น เพ่งโทษติเตียนโพนทะนาอยู่
บรรดาที่เป็นผู้มักน้อย สันโดษ มีความละอาย มีความรังเกียจ ผู้ใคร่ต่อสิกขา
ต่างก็เพ่งโทษติเตียนโพนทะนาว่า ไฉนภิกษุทั้งหลาย จึงได้สำเร็จการนอน
ร่วมกับอนุปสัมบันเล่า แล้วกราบทูลเรื่องนั้น แด่พระผู้มีพระภาคเจ้า .
ทรงสอบถาม
พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสถามว่า. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ข่าวว่าภิกษุ
ทั้งหลายสำเร็จการนอนร่วมกับอนุปสัมบัน จริงหรือ
ภิกษุทั้งหลายทูลรับว่า จริง พระพุทธเจ้าข้า.
ทรงติเตียนแล้วบัญญัติสิกขาบท
พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าทรงติเตียนว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ไฉน
โมฆบุรุษเหล่านั้น จึงได้สำเร็จการนอนร่วมกับอนุปสัมบันเล่า การกระทำ

164
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ เล่ม ๒ – หน้าที่ 165 (เล่ม 4)

ของโมฆบุรุษเหล่านั้นนั่น ไม่เป็นไปเพื่อความเลื่อมใสของชุมชนที่ยังไม่เลื่อมใส
หรือเพื่อด้วยยามเลื่อมใสยิ่ง ของชุมชนที่เลื่อมใสแล้ว . . .
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็แลพวกเธอพึงยกสิกขาบทนี้ขึ้นแสดงอย่างนี้
ว่าดังนี้:-
พระบัญญัติ
๕๔. ๕. ก. อนึ่ง ภิกษุใดสำเร็จการนอนร่วมกับ อนุปสัมบัน
เป็นปาจิตตีย์ .
ก็สิกขาบทนี้ ย่อมเป็นอันพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงบัญญัติแล้ว แก่ภิกษุ
ทั้งหลาย ด้วยประการฉะนี้.
เรื่องพระนวกะ จบ
เรื่องสามเณรราหุล
[๒๙๐] กาลต่อมา พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ที่เมืองอาฬวี ตาม
พระพุทธาภิรมย์แล้ว เสด็จจาริกไปโดยมรรคาอันจะไปสู่พระนครโกสัมพี เสด็จ
จาริกโดยลำดับ ถึงพระนครโกสัมพีแล้ว ข่าวว่าพระองค์ประทับอยู่ ณ พทริ-
การาม เขตพระนครโกสัมพีนั้น
ภิกษุทั้งหลายได้กล่าวคำนี้กะท่านสามเณรราหุลว่า อาวุโสราหุล พระ
ผู้มีพระภาคเจ้าทรงบัญญัติสิกขาบทไว้ว่า ภิกษุไม่พึงสำเร็จการนอนร่วมกับ อนุป-
สัมบัน อาวุโสราหุล ท่านจงรู้สถานที่ควรนอน
วันนั้น ท่านสามเณรราหุลหาที่นอนไม่ได้จึงสำเร็จการนอนในวัจจกุฎี
ครั้นปัจจุสสมัยแห่งราตรี พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงตื่นบรรทมแล้ว ได้
เสด็จไปวัจจกุฎี ครั้นถึงจึงทรงพระกาสะ แม้ท่านราหุลก็กะแอมรับ

165
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ เล่ม ๒ – หน้าที่ 166 (เล่ม 4)

พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสถานว่า ใครอยู่ในวัจจกุฎีนี้
ท่านสามเณรราหุลทูลว่า ข้าพระพุทธเจ้าราหุล พระพุทธเจ้าข้า
พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสถานว่า ดูก่อนราหุล เหตุไรเธอจึงนอน ณ ที่นี้
จึงท่านสามเณรราหุล กราบทูลเรื่องนั้นให้ทรงทราบ
ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงกระทำธรรมีกถา ในเพราะเหตุเป็น
เค้ามูลนั้น ในเพราะเหตุแรกเกิดนั้น แล้วรับสั่งกะภิกษุทั้งหลายว่า ดูก่อนภิกษุ
ทั้งหลาย เราอนุญาตให้สำเร็จการนอนร่วมกับอนุปสัมบันได้ ๒-๓ คืน...
ก็แลพวกเธอพึงยกสิกขาบทนี้แสดงอย่างนี้ ว่าดังนี้:-
พระอนุบัญญัติ
๕๔. ๕. ข. อนึ่ง ภิกษุใดสำเร็จการนอนร่วมกับอนุปสัมบัน
ยิ่งกว่า ๒-๓ คืน เป็นปาจิตตีย์.
เรื่องสามเณรราหุล จบ
สิกขาบทวิภังค์
[๒๙๑] บทว่า อนึ่ง ...ใด ความว่า ผู้ใด คือ ผู้เช่นใด. ..
บทว่า ภิกษุ ความว่า ที่ชื่อว่า ภิกษุ เพราะอรรถว่าเป็นผู้ขอ...
นี้ ชื่อว่า ภิกษุ ที่ทรงประสงค์โนอรรถนี้.
ที่ชื่อว่า อนุปสัมบัน คือ ยกเว้น ภิกษุ นอกนั้นชื่อว่าอนุปสัมบัน.
บทว่า ยิ่งกว่า ๒ ๓ คืน คือเกินกว่า ๒-๓ คืน4
บทว่า ร่วม คือด้วยกัน.
ที่ชื่อว่า การนอน ได้แก่ภูมิสถานเป็นที่นอนอันเขามุงทั้งหมด บัง
ทั้งหมด มุงโดยมาก บังโดยมาก

166
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ เล่ม ๒ – หน้าที่ 167 (เล่ม 4)

คำว่า สำเร็จการนอน ความว่า ในวันที่ ๔ เมื่อพระอาทิตย์อัส-
คงคตแล้ว อนุปสัมบันนอนแล้ว ภิกษุนอน ต้องอาบัติปาจิตตีย์
ภิกษุนอนแล้ว อนุปสัมบันนอน ต้องอาบัติปาจิตตีย์
หรือนอนทั้งสอง ต้องอาบัติปาจิตตีย์
ลุกขึ้นแล้ว กลับนอนอีก ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
บทภาชนีย์
ติกปาจิตตีย์
[๒๙๒] อนุปสัมบัน ภิกษุสำคัญว่าเป็นอนุปสัมบัน สำเร็จการนอน
ร่วม ยิ่งกว่า ๒-๓ คืน ต้องอาบัติปาจิตตีย์
อนุปสัมบัน ภิกษุสงสัย สำเร็จการนอนร่วม ยิ่งกว่า ๒-๓ คืน ต้อง
อาบัติปาจิตตีย์
อนุปสัมบัน ภิกษุสำคัญว่าเป็นอุปสัมบัน สำเร็จการนอนร่วม ยิ่งกว่า
๒-๓ คืน ต้องอาบัติปาจิตตีย์
ติกทุกกฏ
ในสถานที่มุงกึ่ง บังกึ่ง ภิกษุสำเร็จการนอนร่วม ยิ่งกว่า ๒-๓ คืน
ต้องอาบัติทุกกฏ
อุปสัมบัน ภิกษุสำคัญว่าอนุปสัมบัน สำเร็จการนอนร่วม ยิ่งกว่า
๒- ๓ คืน ต้องอาบัติทุกกฏ
อุปสัมบัน ภิกษุสงสัย สำเร็จการนอนร่วม ยิ่งกว่า ๒-๓ คืน ต้อง
อาบัติทุกกฏ

167
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ เล่ม ๒ – หน้าที่ 168 (เล่ม 4)

ไม่ต้องอาบัติ
อุปสัมบัน ภิกษุสำคัญว่าเป็นอุปสัมบัน สำเร็จการนอนร่วม ยิ่งกว่า
๒-๓ คืน ไม่ต้องอาบัติ.
อนาปัตติวาร
[๒๙๓] ภิกษุอยู่ ๒-๓ คืน ๑ ภิกษุอยู่ไม่ถึง ๒-๓ คืน ๑ ภิกษุ
อยู่ ๒ คืนแล้วคืนที่ ๓ ออกไปก่อนอรุณ แล้วอยู่ใหม่ ๑ อยู่ในสถานที่มุงทั้ง
หมด ไม่บังทั้งหมด ๑ อยู่ในสถานที่บังทั้งหมด ไม่มุงทั้งหมด ๑ อยู่ใน
สถานที่ไม่มุงโดยมาก ไม่บังโดยมาก ๑ อนุปสัมบันนอน ภิกษุนั่ง ๑ ภิกษุ
นอน อนุปสัมบันนั่ง ๑ หรือนั่งทั้งสอง ๑ ภิกษุวิกลจริต ๑ ภิกษุอาทิกัมมิ-
กะ ๑ ไม่ต้องอาบัติแล.
มุสาวาทวรรค สิกขาบทที่ ๕ จบ

168
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ เล่ม ๒ – หน้าที่ 169 (เล่ม 4)

มุสาวาทวรรค สหเสยยสิกขาบทที่ ๕
พึงทราบวินิจฉัยในสิกขาบทที่ ๕ ดังต่อไปนี้.
[แก้อรรถเรื่องพระนวกะและสามเณรราหุล]
สองบทว่า มุฏฺฐสฺสตี อสมฺปชานา นี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสด้วย
อำนาจการไม่ทำสติสัมปชัญญะในบุรพภาค. ก็ในกาลที่จิตจิตหยั่งสู่ภวังค์ สติ-
สัมปชัญญะจักมีแต่ที่ไหน ?
บทว่า วิกุชฺชมานา คือ ละเมออยู่.
บทว่า กากากจฺฉมานา ได้แก่ เปล่งเสียงไม่มีความหมาย ดุจ
เสียงกา ทางจมูก.
บทว่า อุปาสกา ได้แก่ พวกอุบาสกที่ลุกขึ้นก่อนกว่า.
สองบทว่า เอตทโวจุํ มีความว่า ภิกษุทั้งหลายได้กล่าวคำนี้ว่า
" ท่านราหุล ! สิกขาบทนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงบัญญัติไว้แล้ว ดังนี้ ด้วย
เคารพในสิกขาบทนั่นเที่ยว. แต่โดยปกติ เพราะความเคารพในพระผู้มีพระภาค
เจ้า และเพราะท่านราหุลเป็นผู้ใคร่ในการศึกษา ภิกษุเหล่านั้น เมื่อท่านราหุล
นั้นมายังที่อยู่ จึงปูลาดเตียงเล็ก ๆ หรือพนักพิง อย่างใดอย่างหนึ่งซึ่งมีอยู่
แล้วถวายจีวร (สังฆาฎิ) หรืออุตราสงค์ เพื่อต้องการให้ทำเป็นเครื่องหนุน-
ศีรษะ. ในข้อที่ท่านพระราหุลเป็นผู้ใคร่ในการศึกษานั้น (มีคำเป็นเครื่องสาธก)
ดังต่อไปนี้.
ทราบว่า ภิกษุทั้งหลาย เห็นท่านราหุลนั้นกำลังมาแต่ไกลเทียว ย่อม
วางไม้กวาดกำและกระเช้าเทขยะไว้ข้างนอก. ต่อมา เมื่อภิกษุพวกอื่นกล่าวว่า
ท่านผู้มีอายุ นี้ใครเอามาวางทิ้งไว้ ดังนี้ ภิกษุอีกพวกหนึ่งจะกล่าวว่าอย่างนี้ว่า

169
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ เล่ม ๒ – หน้าที่ 170 (เล่ม 4)

ท่านผู้เจริญ ท่านราหุลเที่ยวมาในประเทศนี้ ชะรอยเธอวางทิ้งไว้กระมัง.
ส่วนท่านราหุลนั้น ไม่เคยพูดแม้ในวันหนึ่งว่า นี้ไม่ใช่การกระทำของผมขอรับ
เก็บงำไม้กวาดกำเป็นต้นนั้นแล้ว ขอขมาภิกษุทั้งหลายก่อน จึงไป.
หลายบทว่า วจฺจกุฏิยํ เสยฺยํ กปฺเปสิ มีความว่า ท่านราหุลนั้น
เพิ่มพูนอยู่ซึ่งความเป็นผู้ใคร่ในสิกขานั้นนั่นเอง จึงไม่ไปสู่สำนักแห่งพระธรรม
เสนาบดี พระมหาโมคคัลลานะ และพระอานนทเถระเป็นต้น สำเร็จการนอน
ในเวจกุฎีที่บังคนของพระผู้มีพระภาคเจ้า. ได้ยินว่า กุฎีนั้น เขาติดบานประตู
ไว้ ทำการประพรมด้วยของหอม มีพวงดอกไม้แขวนไว้เค็ม ตั้งอยู่ ดุจเจติย-
สถาน ไม่ควรแก่การบริโภคใช้สอยของตนเหล่าอื่น.
สองบทว่า อุตฺตริ ทฺวิรตฺตติรตฺตํ มีความว่า พระผู้มีพระภาคเจ้า
ได้ทรงประทานบริหารสิ้น ๓ ราตรี เพื่อต้องการทำความสงเคราะห์แก่พวก
สามเณร. จริงอยู่ การที่ภิกษุให้พวกเด็กในสกุลบวชแล้ว ไม่อนุเคราะห์ ไม่
สมควร.
บทว่า สหเสยฺยํ คือ การนอนร่วมกัน. แม้การนอน กล่าวคือ
การทอดกาย ท่านเรียกว่า ไสย. ภิกษุทั้งหลายนอนในเสนาสนะใด แม้
เสนาสนะนั้น (ท่านเรียกว่า ไสย ที่นอน). บรรดาที่นอนสองอย่างนั้น เพื่อ
ทรงแสดงเสนาสนะก่อน พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสคำมีอาทิว่า เสยฺยา นาม
สพฺพจฺฉนฺนา ดังนี้
เพื่อทรง แสดงการเหยียดกาย จึงตรัสคำมีว่า อนุปสมฺปนฺเน นิปนฺเน
ภิกฺขุ นิปชฺชติ (เมื่ออนุปสัมบันนอน ภิกษุก็นอน) เป็นต้น. เพราะฉะนั้น
ในคำว่า เสยฺยํ กปฺเปยฺย นี้ มีเนื้อความดังนี้ว่า ภิกษุเข้าไปสู่ที่นอน
กล่าวคือเสนาสนะ พึงสำเร็จ คือ พึงจัดแจง ได้แก่ ยังการนอน คือ การ
เหยียดกายให้สำเร็จ.

170