หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ เล่ม ๒ – หน้าที่ 151 (เล่ม 4)

พูดเปรยกระทบรูปพรรณทราม ว่าไม่ใช่พวกเรา
. . .พวกเราไม่ใช่สูงเกินไป . . .ไม่ใช่ต่ำเกินไป . . .ไม่ใช่ดำเกินไป
. . .ไม่ใช่ขาวเกินไป . . .ภิกษุนั้นไม่ว่าคนอื่น ว่าเฉพาะท่าน ดังนี้ ต้องอาบัติ
ทุกกฏ ทุก ๆ คำพูด.
พูดเปรยกระทบรูปพรรณอุกฤษฏ์ ว่าไม่ใช่พวกเรา
. . .พวกเราไม่ใช่ไม่สูงนัก . . .ไม่ใช่ไม่ต่ำนัก . . .ไม่ใช่ไม่ดำนัก
. . . ไม่ใช่ไม่ขาวนัก . . .ภิกษุนั้น ไม่ว่าคนอื่น ว่าเฉพาะท่าน ดังนี้ ต้องอาบัติ
ทุกกฏ ทุก ๆ คำพูด.
พูดเปรยกระทบกิเลสทราม ว่าไม่ใช่พวกเรา
. . .พวกเราไม่ใช่ถูกราคะกลุ้มรุม . . . ไม่ใช่ถูกโทสะย่ำยี . . . ไม่ใช่
ถูกโมหะครอบงำ . . .ภิกษุนั้นไม่ว่าคนอื่น ว่าเฉพาะท่าน ดังนี้ ต้องอาบัติ
ทุกกฏ ทุกุๆ คำพูด.
พูดเปรยกระทบกิเลสอุกฤษฏ์ ว่าไม่ใช่พวกเรา
. . .พวกเราไม่ใช่ปราศจากราคะ . . .ไม่ใช่ปราศจากโทสะ . . .ไม่ใช่
ปราศจากโมหะ . . .ภิกษุนั้น ไม่ว่าคนอื่น ว่าเฉพาะท่าน ดังนี้ ต้องอาบัติทุกกฏ
ทุก ๆ คำพูด.
พูดเปรยกระทบอาบัติทราม ว่าไม่ใช่พวกเรา
. . .พวกเราไม่ใช่เป็นผู้ต้องอาบัติปาราชิก . . .สังฆาทิเสส . . .ถุลลัจจัย
. . .ปาจิตตีย์ . . .ปาฏิเทสนียะ . . .ทุกกฏ . . .ทุพภาสิต . . .ภิกษุนั้นไม่ว่า
คนอื่น ว่าเฉพาะท่าน ดังนี้ ต้องอาบัติทุกกฏ ทุก ๆ คำพูด.

151
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ เล่ม ๒ – หน้าที่ 152 (เล่ม 4)

พูดเปรยกระทบอาบัติอุกฤษฏ์ ว่าไม่ใช่พวกเรา
. . . พวกเราไม่ใช่เป็นผู้ต้องโสดาบัติ . . . ภิกษุนั้นไม่ว่าคนอื่น ว่า
เฉพาะท่าน ดังนี้ ต้องอาบัติทุกกฏ ทุก ๆ คำพูด..
พูดเปรยกระทบคำสบประมาททราม ว่าไม่ใช่พวกเรา
. . .พวกเราไม่ใช่มีความประพฤติดังอูฐ . . .ดังแพะ . . .ดังโค. . . .ดังลา
. . .ดังสัตว์ดิรัจฉาน . . .ดังสัตว์นรก สุคติของพวกเราไม่มี พวกเราต้องหวัง
ได้แต่ทุคติ . . .ภิกษุนั้น ไม่ว่าคนอื่น ว่าเฉพาะท่าน ดังนี้ ต้องอาบัติทุกกฏ
ทุก ๆ คำพูด.
พูดเปรยกระทบคำสบประมาทอุกฤษฏ์ ว่าไม่ใช่พวกเรา
. . .พวกเราไม่ใช่เป็นบัณฑิต . . .ไม่ใช่เป็นคนฉลาด . . .ไม่ใช่เป็น
คนมีปัญญา . . .ไม่ใช่เป็นพหูสูต . . .ไม่ใช่เป็นธรรมกถึก ทุคติของพวกเรา
ไม่มี พวกเราต้องหวังได้แต่สุคติ . . .ภิกษุนั้นไม่ว่าคนอื่น ว่าเฉพาะท่าน ดังนี้
ต้องอาบัติทุกกฏ ทุก ๆ คำพูด.
ต้องอาบัติตามวัตถุ
[๒๘๒] อุปสัมบันได้ยินถ้อยคำของอุปสัมบันแล้ว เก็บเอาคำส่อเสียด
ไปบอกแก่อุปสัมบัน ต้องอาบัติปาจิตตีย์ ทุก ๆ คำพูด.
อุปสัมบันได้ยินถ้อยคำของอุปสัมบันแล้ว เก็บเอาคำส่อเสียดไปบอก
แก่อนุปสัมบัน ต้องอาบัติทุกกฏ.
อุปสัมบันได้ยินถ้อยคำของอนุปสัมบันแล้ว เก็บเอาคำส่อเสียดไปบอก
แก่อุปสัมบัน ต้องอาบัติทุกกฏ.

152
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ เล่ม ๒ – หน้าที่ 153 (เล่ม 4)

อุปสัมบันได้ยินถ้อยคำของอนุปสัมบันแล้ว เก็บเอาคำส่อเสียดไปบอก
แก่อนุปสัมบัน ต้องอาบัติทุกกฏ.
อานาปัตติวาร
[๒๘๓] ภิกษุไม่ต้องการจะให้เขาชอบ ๑ ภิกษุไม่ประสงค์จะให้เขา
แตกกัน ๑ ภิกษุวิกลจริต ๑ ภิกษุอาทิกัมมิกะ ๑ ไม่ต้องอาบัติแล.
มุสาวาทวรรค สิกขาบทที่ ๓ จบ
มุสาวาทวรรค เปสุญญาวาทสิกขาบทที่ ๓
พึงทราบวินิจฉัยในสิกขาบทที่ ๓ ดังต่อไปนี้:-
[แก้อรรถปฐมบัญญัติเรื่องภิกษุฉัพพัคคีย์]
บทว่า ภณฺฑนซาตานํ ได้แก่ ผู้เกิดบาดหมางกันแล้ว. ส่วนเบื้องต้น
แห่งความทะเลาะกัน ชื่อว่า ภัณฑนะ (ความบาดหมาง). คือ การปรึกษา
กันในฝักฝ่ายของตน อาทิว่า เมื่อเขากล่าวคำอย่างนี้ว่า กรรมอย่างนี้ อัน
คนนี้และคนนี้กระทำแล้ว พวกเราจักกล่าวอย่างนี้ (ชื่อว่า ภัณฑนะ ความ
บาดหมาง). การล่วงละเมิดทางกายและวาจา ให้ถึงอาบัติ ชื่อว่า กลหะ
(การทะเลาะ). การกล่าวขัดแยงกัน ชื่อว่า วิวาทะ. พวกภิกษุผู้ถึงความวิวาท
กันนั้น ชื่อว่า วิวาทาปันนะ.
บทว่า เปสุญฺญํ ได้แก่ ซึ่งวาจาส่อเสียด. มีคำอธิบายว่า ซึ่งวาจา
ทำให้สูญเสียความเป็นที่รักกัน.

153
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ เล่ม ๒ – หน้าที่ 154 (เล่ม 4)

บทว่า ภุกฺขุเปสุญฺเญ ได้แก่ ในเพราะคำส่อเสียดภิกษุทั้งหลาย,
อธิบายว่า ในเพราะคำส่อเสียดที่ภิกษุฟังจากภิกษุแล้วนำเข้าไปบอกแก่ภิกษุ.
สองบทว่า ทฺวีหิ อากาเรหิ ได้แก่ ด้วยเหตุ ๒ อย่าง.
บทว่า ปิยกมฺยสฺส วา คือ ของผู้ปรารถนาให้คนเป็นที่รักของเขาว่า
เราจักเป็นที่รักของผู้นี้ อย่างนั้น หนึ่ง
บทว่า เภทาธิปฺปายสฺส วา คือ ของผู้ปรารถนาความแตกร้าว
แห่งคนหนึ่งกับคนหนึ่ง ว่า คนนี้จักแตกกันกับคนนี้ ด้วยอาการอย่างนี้ หนึ่ง.
บททั้งปวง มีบทว่า ชาติโต วา เป็นอาทิ มีนัยดังกล่าวแล้วใน
สิกขาบทก่อนนั่นแล. แม้ในสิกขาบทนี้ ชนทั้งหมดจนกระทั่งนางภิกษุณีเป็นต้น
ก็ชื่อว่า อนุปสัมบัน.
สองบทว่า น ปิยกมฺยสฺส น เภทาธิปฺปายสฺส มีความว่า ไม่
เป็นอาบัติแก่ภิกษุผู้เห็น ภิกษุรูปหนึ่งกำลังด่า และรูปหนึ่งอดทนได้แล้วกล่าว
เพราะคนเป็นผู้มักติคนชั่วอย่างเดียว โดยท่านองนี้ว่า โอ! คนไม่มียางอาย
จักสำคัญคนดีชื่อแม้เช่นนี้ว่า ตนควรว่ากล่าวได้เสมอ บทที่เหลือมีอรรถตื้น
ทั้งนั้น.
สิกขาบทนี้มีสมุฏฐาน ๓ เกิดขึ้นทางกายกับจิต ๑ วาจากับจิต ๑
กายวาจากับจิต ๑ เป็นกิริยา สัญญาวิโมกข์ สจิตตกะ โลกวัชชะ กายกรรม
วจีกรรม อกุศลจิต มีเวทนา ๓ ฉะนั้นแล.
เปสุญญวาทสิกขาบทที่ ๓ จบ

154
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ เล่ม ๒ – หน้าที่ 155 (เล่ม 4)

มุสาวาทวรรค สิกขาบทที่ ๔
เรื่องพระฉัพพัคคีย์
[๒๘๔] โดยสมัยนั้น พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าประทับอยู่ ณ พระ
เชตวัน อารามของอนาถบิณฑิกคหบดี เขตพระนครสาวัตถี ครั้งนั้น
พระฉัพพัคคีย์ยังเหล่าอุบายสกให้กล่าวธรรมโดยบท พวกอุบายสกจึงไม่เคารพ
ไม่ยำเกรง ไม่พระพฤติให้ถูกอัธยาศัยในหมู่ภิกษุอยู่.
บรรดาภิกษุผู้มักน้อย สันโดษ มีความละอาย มีความรังเกียจ ผู้ใคร่
ต่อสิกขา ต่างก็เพ่งโทษติเตียนโพนทะนาว่า ไฉนพระฉัพพัคคีย์จึงได้ยังเหล่า
อุบายสกให้กล่าวธรรมโดยบท เหล่าอุบายสกจึงไม่เคารพ ไม่ยำเกรง ไม่ประพฤติ
ให้ถูกอัธยาศัยในหมู่ภิกษุอยู่ แล้วกราบทูลเนื้อความนั้นแด่พระผู้มีพระภาคเจ้า.
ประชุมสงฆ์ทรงสอบถาม
ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้ารับสั่งให้ประชุมภิกษุสงฆ์ ในเพราะ
เหตุเป็นเค้ามูลนั้น ในเพราะเหตุแรกเกิดนั้น แล้วทรงสอบถามพระฉัพพัคคีย์
ว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ข่าวว่า พวกเธอยังเหล่าอุบาสก ให้กล่าวธรรมโดยบท
เหล่าอุบายสกจึงไม่เคารพ ไม่ยำเกรง ไม่ประพฤติให้ถูกอัธยาศัยในหมู่ภิกษุอยู่
จริงหรือ.
พระฉัพพัคคีย์ทูลรับว่า จริง พระพุทธเจ้าข้า.
ทรงติเตียนแล้วบัญญัติสิกขาบท
พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าทรงติเตียนว่า ดูก่อนโมฆบุรุษทั้งหลาย ไฉน
พวกเธอจึงได้ยังเหล่าอุบาสกให้กล่าวธรรมโดยบทเล่า พวกอุบายสกจึงไม่เคารพ

155
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ เล่ม ๒ – หน้าที่ 156 (เล่ม 4)

ไม่ยำเกรง ไม่ประพฤติให้ถูกอัธยาศัยในหมู่ภิกษุอยู่ ดูก่อนโมฆบุรุษทั้งหลาย
การกระทำของพวกเธอนั้น ไม่เป็นไปเพื่อความเลื่อมใสของชุมชนที่ยังไม่
เลื่อมใส หรือเพื่อความเลื่อมใสยิ่งของชุมชนที่เลื่อมใสแล้ว. . .
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็แลพวกเธอพึงยกสิกขาบทนี้ ขึ้นแสดงอย่างนี้
ว่าดังนี้:-
พระบัญญัติ
๕๓.๔. อนึ่ง ภิกษุใดยังอนุปสัมบันให้กล่าวธรรมโดยบท
เป็นปาจิตตีย์.
เรื่อง พระฉัพพัคคีย์ จบ
สิกขาบทวิภังค์
[๒๘๕] บทว่า อนึ่ง . . .ใด ความว่า ผู้ใด คือ ผู้เช่นใด .. .
บทว่า ภิกษุ ความว่า ที่ชื่อว่า ภิกษุ เพราะอรรถว่าเป็นผู้ขอ ...
นี้ชื่อว่า ภิกษุ ที่ทรงประสงค์ในอรรถนี้ .
ที่ชื่อว่า อนุปสัมบัน คือ ยกเว้นภิกษุ ภิกษุณี นอกนั้นชื่อว่า
อนุปสัมบัน.
[๒๘๖] ที่ชื่อว่า โดยบท ได้แก่ บท อนุบท อนุอักขระ อนุพยัญชนะ.
ที่ชื่อว่า บท คือ ขึ้นต้นพร้อมกัน ให้จบลงพร้อมกัน.
ที่ชื่อว่า อนุบท คือ ขึ้นต้นต่างกัน ให้จบลงพร้อมกัน.
ที่ชื่อว่า อนุอักขระ คือ ภิกษุสอนว่า รูปํ อนิจฺจํ อนุปสัมบัน
กล่าวพร้อมกันว่า รู ดังนี้ แล้วหยุด.

156
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ เล่ม ๒ – หน้าที่ 157 (เล่ม 4)

ที่ชื่อว่า อนุพยัญชนะ คือ ภิกษุสอนว่า รูปํ อนิจฺจํ อนุปสัมบัน
เปล่งเสียงรับว่า เวทนา อนิจฺจา.
บท ก็ดี อนุบท ก็ดี อนุอักขระ ก็ดี อนุพยัญชนะ ก็ดี ทั้งหมด
นั้น ชื่อว่าธรรมโดยบท.
ที่ชื่อว่า ธรรม ได้แก่ บาลีที่เป็นพุทธภาษิต สาวกภาษิต อิสิภาษิต
เทวตาภาษิต ซึ่งประกอบด้วยอรรถ ประกอบด้วยธรรม.
บทว่า ให้กล่าว คือ ให้กล่าวโดยบท ต้องอาบัติปาจิตตีย์ ทุก ๆ บท
ให้กล่าวโดยอักขระ ต้องอาบัติปาจิตตีย์ ทุก ๆ อักขระ.
บทภาชนีย์
ติกปาจิตตีย์
[๒๘๗] อนุปสัมบัน ภิกษุสำคัญว่าเป็นอนุปสัมบัน ให้กล่าวธรรม
โดยบท ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
อนุปสัมบัน ภิกษุสงสัย ให้กล่าวธรรมโดยบท ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
อนุปสัมบัน ภิกษุสำคัญว่าเป็นอุปสัมบัน ให้กล่าวธรรมโดยบท ต้อง
อาบัติปาจิตตีย์.
ทุกกฏ
อุปสัมบัน ภิกษุสำคัญว่าเป็นอนุปสัมบัน ให้กล่าวธรรมโดยบท ต้อง
อาบัติทุกกฏ.
อุปสัมบัน ภิกษุสงสัย ให้กล่าวธรรมโดยบท ต้องอาบัติทุกกฏ.

157
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ เล่ม ๒ – หน้าที่ 158 (เล่ม 4)

ไม่ต้องอาบัติ
อุปสัมบัน ภิกษุสำคัญว่าเป็นอุปสัมบัน ให้กล่าวธรรมโดยบท ไม่
ต้องอาบัติ.
อานาปัตติวาร
[๒๘๘] ภิกษุให้สวดพร้อมกัน ๑ ท่องพร้อมกัน ๑ อนุปสัมบันผู้
กล่าวอยู่ สวดอยู่ ซึ่งคัมภีร์ที่คล่องแคล่วโดยมาก ๑ ภิกษุวิกลจริต ๑ ภิกษุ
อาทิกัมมิกะ ๑ ไม่ต้องอาบัติแล.
มุสาวาทวรรค สิกขาบทที่ ๔ จบ
มุสาวาทวรรค ปทโสธัมมสิกขาบทที่ ๔
พึงทราบวินิจฉัยในสิกขาบทที่ ๔ ดังต่อไปนี้
[แก้อรรถบางปาฐะว่าด้วยการสอนธรรมโดยบท]
บทว่า อปฺปติสฺสา ได้แก่ ไม่ยำเกรง, อธิบายว่า เมื่อพวกภิกษุ
ฉัพพัคคีย์กล่าวว่า ดูก่อนอุบาสกทั้งหลาย ! แม้ถ้อยคำก็ไม่อยากฟัง คือ ไม่
เอื้อเฟื้อ. อีกอย่างหนึ่ง ความว่า ไม่มีความยำเกรง ไม่ประพฤติอ่อนน้อม.
บทว่า อสภาควุตฺติกา ได้แก่ ผู้มีความเป็นอยู่ไม่ถูกส่วนกัน ;
อธิบายว่า ผู้มีความประพฤติไม่ดำเนินไปเหมือนอย่างที่พวกอุบาสกควร
ประพฤติในหมู่ภิกษุ
คำว่า ปทโส ธมฺมํ วาเจยฺย ความว่า ให้กล่าวธรรมเป็นบท ๆ
รวมกัน (กับ อนุปสัมบัน), อธิบายว่า ให้กล่าว (ธรรม) เป็นโกฏฐาส ๆ

158
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ เล่ม ๒ – หน้าที่ 159 (เล่ม 4)

(เป็นต้นส่วน ๆ). ก็เพราะบทที่มีชื่อว่าโกฎฐาสนั้น มีอยู่ ๔ อย่าง. ฉะนั้น เพื่อ
แสดงบททั้ง ๔ อย่างนั้น พระอุบาลีเถระจึงกล่าวไว้ในบทภาชนะว่า บท
อนุบท อนุอักขระ อนุพยัญชนะ.
บรรดาบทเป็นต้นนั้น บท หมายเอาคาถาบาทหนึ่ง. อนุบท หมายเอา
บาทที่สอง. อนุอักขระ หมายเอาอักขระตัวหนึ่ง ๆ (หมายเอาอักขระแต่ละตัว).
อนุพยัญชนะ หมายเอาพยัญชนะตัวท้ายคล้ายกับพยัญชนะตัวต้น. ผู้ศึกษาพึง
ทราบความต่างกัน ในบทเป็นต้นนั่นอย่างนี้ คือ อักขระแต่ละตัวชนิดใด
ชนิดหนึ่ง ชื่อว่า อนุอักขระ ประชุมอักขระ ชื่อว่า อนุพยัญชนะ, ประชุม
อักขระและอนุพยัญชนะ ชื่อว่า บท, บทแรก ชื่อว่า บทเหมือนกัน บท
ที่สอง ชื่อว่า อนุบท.
บัดนี้ บัณฑิตพึงทราบวินิจฉัยในคำว่า ปทํ นาม เอกโต ปฏฺฐ-
เปตฺวา เอกโต โอสาเปนฺติ ต่อไป เมื่อภิกษุให้กล่าวธรรม เนื่องด้วย
คาถา เริ่มบทแต่ละบทนี้ว่า มโนปุพฺพงฺคมา ธมฺมา พร้อมกันกับอนุปสัมบัน
แล้วให้จบลงก็พร้อมกัน. แม้สำหรับภิกษุผู้ให้กล่าวอย่างนี้ ก็พึงปรับปาจิตตีย์
หลายตัวตามจำนวนบท.
พึงทราบวินิจฉัยในคำว่า อนุปทํ นาม ปาเฏกฺกํ ปฏฺฐเปตฺวา
เอกโต โอสาเปนฺติ ต่อไป :- เมื่อพระเถระกล่าวว่า มโนปุพฺพงฺคมา
ธมฺมา ดังนี้ สามเณรกล่าวบทนั้นไม่ทัน จึงกล่าวบทที่สองพร้อมกันว่า
มโนเสฏฺฐา มโนมยา. ภิกษุและสามเณรทั้งสองรูปนี้ ชื่อว่าขึ้นต้นต่างกัน
ให้จบลงพร้อมกัน. แม้สำหรับภิกษุผู้ให้กล่าวอย่างนี้ ก็พึงปรับปาจิตตีย์หลายตัว
ตามจำนวนอนุบท.

159
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ เล่ม ๒ – หน้าที่ 160 (เล่ม 4)

พึงทราบวินิจฉัยในคำว่า อนฺวกฺขรํ นาม รูปํ อนิจฺจนฺติ
วุจฺจมาโน รูติ โอปาเตติ ต่อไป:- ภิกษุสอนสามเณรว่า แน่ะสามเณร !
เธอจงว่า รูปํ อนิจฺจํ กล่าวพร้อมกันเพียงรู- อักษรเท่านั้น แล้วหยุดอยู่.
แม้สำหรับภิกษุผู้ให้กล่าวอย่างนี้ ก็พึงปรับปาจิตตีย์หลายตัวตานจำนวนอนุ-
อักขระ. และแม้ในคาถาพันธ์ บัณฑิตก็ย่อมได้นัยเช่นนี้เหมือนกันแท้ทีเดียว.
พึงทราบวินิจฉัยในคำว่า อนุพฺยญฺชนํ นาม รูปํ อนิจฺจนฺติ
วุจฺจมาโน เวทนา อนิจฺจาติ สทฺทํ นิจฺฉาเรติ ต่อไป:- สามเณร
ให้บอกสูตรนี้ว่า รูปํ ภิกฺขเว อนิจฺจํ เวทนา อนิจฺจา เป็นต้น พระเถระ
บอกว่า รูปํ อนิจจํ ดังนี้ เปล่งวาจากล่าวอนิจจบทนี้ว่า เวทนา อนิจฺจา
พร้อมกับอนิจจบทของพระเถระว่า รูปํ อนิจฺจํ นี้ เพราะเป็นผู้มีปัญญาว่องไว.
แม้สำหรับภิกษุผู้ให้กล่าวอย่างนี้ พระวินัยธรก็พึงปรับปาจิตตีย์หลายตัวตาม
จำนวนอนุพยัญชนะ. ส่วนความสังเขปในบทเหล่านี้มีดังนี้ว่า บรรดาบท
เป็นต้นนี้ ภิกษุกล่าวบทใด ๆ พร้อมกัน ย่อมต้องอาบัติด้วยบทนั้น ๆ.
[ว่าด้วยภาษิต ๔ มีพุทธภาษิตเป็นต้น]
วินัยปิฎกทั้งสิ้น อภิธรรมปิฎก ธรรมบท จริยาปิฎก อุทาน
อติวุทคกะ ชาตกะ สุตตนิบาท วิมานวัตถุ เปตวัตถุ และพระสูตรทั้งหลาย
มีพรหมชาลสูตรเป็นต้น ชื่อว่า พุทธภาษิต.
ธรรมที่พวกสาวกผู้นับเนื่องในบริษัท ๔ ภาษิตไว้ มีอนังคณสูตร
สัมมาทิฏฐิสูจร อนุมานสูตร จูฬเวทัลลสูตร มหาเวทัลลสูตรเป็นต้น ชื่อว่า
สาวกภาษิต.
ธรรมที่พวกปริพาชกภายนอกกล่าวไว้ มีอาทิอย่างนี้ คือ ปริพาชก
วรรคทั้งสิ้น คำปุจฉาของพราหมณ์ ๑๖ คน ผู้เป็นอันเตวาสิกของพราหมณ์
ชื่อพาวรี ชื่อว่า อิสิภาษิต.

160